ตอนที่ 94 เหรียญตราครองสวรรค์
เพียงพริบตายเดียว เวลาได้ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
ภายในห้อง หยางเยถือพู่กันเขียนยันต์ไว้ในมือ และกําลังเขียนยันต์ลงในกระดาษ เขามีท่าที่จริงจังและเคร่งครีมอย่างมากขณะดวงตาจ้องมองกระดาษยันต์อย่างไม่กระพริบ
ความยากในการสร้างยันต์เทวะนั้นยากกว่ายันต์ขั้นธรรมดาทั่วไปหลายเท่านัก ถึงแม้หลินชานจะแนะนํา หยางเยู่และเปาเอ๋อสามารถทําได้สําเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันหาได้ใช่พรสวรรค์ของพวกเขาไม่เพียงพอ แต่เพราะยันต์เทวะนั้นซับซ้อนอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ความเร่าร้อนในตอนแรกของเปาเอ๋อหายไปหมดสิ้น และนางรู้สึกท้อแท้อย่างมาก
แต่ความเร่าร้อนนั้นก็กลับมาอีกครั้งเมื่อหลินชานกล่าวเพียงประโยคเดียว หลินชานบอกว่า”มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เจ้ากําลังกังวลสิ่งใดนั้นหรือ? ข้าใช้เวลาตั้งสองเดือนกว่าจะทําแผ่นแรกได้!”
เมื่อหลินชานบอกเช่นนั้น ไม่ใช่เพียงเปาเอ๋อที่มีความมั่นใจกลับคืนมา หยางเย่เองก็เช่นกัน
หยางเย่เพ่งสมาธิอย่างหนักอยู่ในห้องขณะเขียนยันต์ตามจังหวะพร้อมเม็ดเหงื่อที่แตกพลั่กมันเป็นเช่นนี้มาหนึ่งชั่วยามแล้ว หยางเยู่ได้ถอนพู่กันออก หลังจากนั้น เขาสูดหายใจลึกพร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุข
หยางเยู่เช็ดเหงื่อบนใบหน้าก่อนจะหยิบยันต์ที่เปล่งแสงออกม
จากนั้นได้รีบวิ่งไปยังที่พักหลนชาน
ในห้องของหลินชาน เขาชะงักไปชั่วครู่เมื่อมองไปยังยันต์ของหยางเย่ หลังจากหายจากอาการตกใจ เขากล่าวด้วยน้ําเสียงประหลาดใจ “เจ้าสร้างมันขึ้นมางั้นหรือ?”
หยางเยู่พยักหน้าด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย กล่าวได้ว่าเขาแทบไม่ได้หลับนอนตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษายันต์เทวะ หลังจากศึกษาอย่างบ้าคลั่งมาหนึ่งเดือน ในที่สุดวันที่ประสบความสําเร็จก็มาถึง เช่นนั้นจะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้ยังไง?
มุมปากของหลินชานกระตุกเล็กน้อย และดูเหมือนจะตกตะลึงอย่างมาก ถึงแม้หยางเย่จะสร้างยันต์พายุคมดาบระดับต่ําสุด แต่เขาก็สามารถสร้างได้ภายในหนึ่งเดือน! เขาทราบดีว่าการสร้างยันต์เทวะนั้นซับซ้อนเพียงใด เพราะหลายปีก่อนหน้านี้ หลินชานใช้เวลาเกือบสองเดือนในการสร้างยันต์เทวะขั้นต่ําได้เพียงแผ่นเดียว แต่หยางเย่สามารถทําได้หลังจากผ่านไปแค่หนึ่งเดียว ทั้งยังเป็นยันต์ขั้นต่ําระดับสูงด้วย
ความมั่นใจของหลินชานได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากสิ่งนี้ แต่ก็รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขเพราะหยางเย่เป็นศิษย์ของเขา
ขณะจ้องมองหยางเยู่ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาหลินชานเผยถึงคําชื่นชมอย่างไม่ต้องปกปิด ในช่วงระยะเวลาสองเดือนที่อยู่กับหยางเย่ เขารู้สึกพึงพอใจกับหยางเยเป็นอย่างมากไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของหยางเย่ แต่เป็นเพราะทัศนคติของเขาที่ชัดเจนมากขึ้นตลอดเวลา ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นวิถีแห่งการใช้ยันต์ หรือการบ่มเพาะพลัง หยางเยู่ทํามันอย่างสุดความสามารถและฝึกฝนอย่างหนักโดยแท้จริง สิ่งนี้ทําให้หลินชานรู้สึกพอใจที่สุด
เพราะไม่ว่ายังไง หากใครสักคนมีพรสวรรค์แต่ละทิ้งการฝึกฝนอย่างหมั่นเพียร ท้ายที่สุดผู้นั้นก็กลายเป็นแค่คนล้มเหลว ตลอดเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ของเขตแดนใต้ ไม่มีปรมาจารย์ยันต์คนไหนในวิถีแห่งยันต์สามารถประสบความสําเร็จได้โดยอาศัยเพียงพรสวรรค์ พวกเขาฝึกฝนอย่างหนักตลอดเวลา
การฝึกฝนอย่างหนักสําคัญกว่าพรสวรรค์ คําเหล่านี้เป็นประโยคที่สมเหตุสมผลอย่างนัก!
หลังจากคิดได้เช่นนั้น หลินชานมองไปที่หยางเย่พร้อมพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขากล่าว”ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ทางด้านยันต์ หรือการต่อสู้ พรสวรรค์ของเจ้าก็ยอดเยี่ยมอย่างมากข้าขอให้เจ้าหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างนักต่อไปดั่งที่ทําในอดีต”
เมื่อกล่าวจบ หลินชานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “อย่าได้ใจร้อนเกี่ยวกับเรื่องมารดาเจ้า ข้าไปสืบเรื่องนี้มาแล้ว ราชวังบุปผากักขังนางไว้ใต้ผาสิ้นรักเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นอย่าเอาตัวเข้าไปแลกโดยไม่จําเป็น เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อได้ยินว่ามารดาถูกขังอยู่ใต้ผาสิ้นรัก ความตื่นเต้นในดวงตาหยางเย่หายไปทันที เขาทําได้เพียงแค่กําหมัดแน่น ผ่านไปชั่วครู่ เขาสูดหายใจลึก “อย่ากังวลไปเลยอาจารย์หากข้าไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ เช่นนั้นข้าจะไม่ไปยังราชวังบุปผาเพื่อเอาชีวิตไปทิ้งแน่นอน!”
หลินชานถอนหายใจเมื่อเห็นเปลวไฟแห่งความโกรธปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่ เขากล่าว “ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่อยากช่วยเจ้า แต่อาจารย์ก็ทําตัวไม่ถูกเช่นกันในเรื่องนี้ หากมารดาเจ้าละเมิดกฏธรรมดาของราชวังข้าก็ยังพอช่วยได้ แต่มารดาของเจ้าละเมิดกฏที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งราชวังบุปผาโดยตรง และกฏนี้ยังเป็นกฏดั้งเดิมของสํานัก ดังนั้นแม้แต่เจ้าสํานักยังต้องรับโทษหนักหากฝ่าฝืน อย่าว่าแต่ข้าที่ไม่สามารถอะไรได้ แม้กระทั่งประธานแห่งสมาคมผู้ใช้ยันต์ก็ไม่สามารถทําสิ่งใดได้!”
หยางเย่ปิดตาพร้อมกําหมัดแน่นจนทําให้เล็บจิกเข้าไปถึงฝ่ามือ ในใจเขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก มันจะเป็นไปได้งั้นหรือที่จะให้ท่านแม่รอเราถึงสองสามปี? ท่านแม่จะทนได้นานถึงขนาดนั้นหรือไง!?”
หลินชานเองก็ไม่อาจทนเห็นหยางเย่เจ็บปวดเช่นนี้ได้ เขาจึงรีบกล่าว “มีสองเงื่อนไขหากต้องการช่วยมารดาเจ้า!”
หยางเย่เปิดตากว้างทันทีที่ได้ยินพร้อมคุกเข่าลงกับพื้น “ได้โปรดบอกข้าด้วยอาจารย์!”
หลินชานพยุงหยางเยู่ขึ้นพร้อมกล่าว “หากเจ้าต้องการช่วยมารดา เช่นนั้นต้องเปลี่ยนกฏที่ถูกตั้งไว้โดยบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งราชวังบุปผา ในการเปลี่ยนกฏนี้ เจ้าต้องมีความแข็งแกร่งทัดเทียมสวรรค์ ถูกต้องความแข็งแกร่ง หากเจ้ามีความแข็งแกร่งที่เพียงพอ อย่าว่าแต่เปลี่ยนกฎของราชวังบุปผา แม้กระทั่งทําลายราชวังบุปผาเจ้าก็สามารถทําได้ แต่ความแข็งแกร่งเช่นนั้นหาได้ทําง่ายไม่ ในหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทําเช่นนั้นได้!”
“แล้วเงื่อนไขที่สองล่ะครับ?”
“สําหรับเงื่อนไงที่สอง…” หลินชานกล่าวอย่างช้า ๆ “เงื่อนไขที่สองเจ้าต้องมีเหรียญต ราครองสวรรค์เจ้าคงเคยได้ยินคําว่าเทียบอันดับสวรรค์ เทียบอันดับสวรรค์นั้นจัดขึ้นโดย การรวมจักรวรรดิต้าฉินและหกมหาอํานาจเข้าด้วยกัน นอกจากได้รับทรัพยากรบ่มเพาะพลังแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่ส่งเสริมบรรดาอัจฉริยะทั้งหลายสําหรับเหตุผลที่พวกเขาต้องการส่งเสริมบรรดาอัจฉริยะนั้น เจ้าจะพบคําตอบเองในอนาคต เพื่อเป็นการกระตุ้นให้อัจฉริยะทั้งหลาย เข้าร่วมจักรวรรดิต้าฉินและหกมหาอํานาจจะมอบรางวัลที่น่าดึงดูดอย่างมาก และเหรียญตราครองสวรรค์คือหนึ่งในรางวัลนั้น ผู้ถือเหรียญตราครองสวรรค์สามารถขอให้มหาอํานาจทั้งหลายทําบางอย่างที่ตนขอได้ แน่นอนว่ามันต้องไม่มากเกิน”
“ข้าสามารถขอให้ราชวังบุปผาปล่อยตัวมารดาได้หากมีเหรียญตราครองสวรรค์งั้นหรือ?” หยางเย่กล่าวด้วยอาการตื่นเต้นเล็กน้อย
หลินชานส่ายหัวพร้อมกล่าว “ไม่ได้ แต่เจ้าสามารถขอให้พวกเขาลดโทษให้มารดาเจ้าเพื่อซื้อ วลาให้ตนเอง เพราะไม่ว่ายังไงแม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณก็ไม่สามารถอยู่ใต้ผานั้นได้นานพอ”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หยางเย่สูดหายใจลึกพร้อมกล่าว “ข้าจะได้รับตรานั่นได้อย่างไร?”
หลินชานมองไปที่หยางเยู่พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นอันดับหนึ่งในเทียบอันดับสวรรค์!”
“อันดับหนึ่ง?” ดวงตาหยางเย่หรี่เล็กลงขณะเอ่ย
หลินชานกล่าวอีกครั้ง “เจ้าหนู อย่าคิดว่ามันง่าย หากเจ้าไม่สามารถเข้าถึงเจตจํานงแห่งดาบที่แท้จริงได้ เช่นนั้นต่อให้มีพรสวรรค์ขั้นสูง หรือพลังปราณห้าธาตุทองคํา มันก็ยังยากที่จะเข้าสู่ห้าสิบอันดับแรกได้ เมื่อเจ้าบรรลุเจตจํานงแห่งดาบแล้ว การขึ้นสู่สามสิบอันดับแรกนับว่าไม่ยากเลย ข้าไม่อยากปั่นทอนความมั่นใจเจ้า แต่ให้ข้ากล่าวตามตรงคือความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้ยังเป็นไปไม่ได้! เพราะบรรดาอัจฉริยะที่อยู่ในร้อยอันดับแรกนั้น สามารถเอาชนะขั้นพลังที่เหนือกว่าได้ตลอดเวลา”
หยางเย่พยักหน้าเล็กน้อย เขาทราบดีว่าการเข้าสู่เทียบอันดับสวรรค์นั้นยากลําบากมากอย่าว่าแต่สํานักอื่น เพียงแค่หยวนเยีแห่งโรงเรียนปราชญ์ที่ซูชิงฉือบอกก็น่าสะพรึงพอแล้วยิ่งกว่านั้นหยวนเยี่ยังอยู่เพียงอันดับสิบสี่เท่านั้นในเทียบอันดับสํานักนอกของโรงเรียนปราชญ์เพียงแค่อันดับสิบสี่ยังน่าสะพรึงเพียงนั้น แล้วพวกที่อยู่เหนือกว่าเขาล่ะ?
ยิ่งกว่านั้นอัจฉริยะจากสามหาอํานาจอื่นล่ะ? พวกเขาจะมีอัจฉริยะอีกมากมายเพียงใด? มีผู้คนนับพันล้านคนในเขตแดนใต้ ดังนั้นจะมีอัจฉริยะมากมายเพียงใดกันในนั้น? หยางเย่เองก็มีความมั่นใจมาก แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นได้ แม้จะจัดการยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ได้ก็ตาม
ยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ที่แท้จริงหาได้น่ากลัวไม่เมื่อเทียบกับยอดฝีมือในหอคอยผู้รับใช้ดาบความแข็งแกร่งของหยางเยู่พัฒนาขึ้นมาก แต่ก็ไม่สามารถจัดการผู้รับใช้แห่งดาบได้ในครั้งเดียวเมื่อเทียบกับหลิวชิงอวี่ ยิ่งกว่านั้นเขาไม่กล้าบอกว่าไม่มีใครในเขตแดนใต้ที่ด้อยกว่าผู้รับใช้แห่งดาบ เพราะเขตแดนใต้นั้นกว้างใหญ่อย่างมาก และยังมีอัจฉริยะอยู่อีกมากมาย
จากการปะทะกับผู้รับใช้แห่งดาบ และสัตว์อสูรราชันภายในหอคอยผู้รับใช้ดาบ หยางเตระหนักได้ถึงความสามารถของตนเองอย่างชัดเจน
แล้วยังไงล่ะ? มันยากที่เราจะสามารถไปถึงอันดับหนึ่งได้ด้วยความแข็งแกร่งตอนนี้ แต่เรายังเวลาอีกตั้งครึ่งปีไม่ใช่หรือ? อีกครึ่งปีนับจากนี้จะเป็นโอกาสพลิกสถานการณ์ของเรา!”
เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่มองไปที่หลินชานพร้อมกล่าว “อาจารย์ ข้าต้องการไปฝึกฝนในขุนเขาไม่สิ้นสุด!”
หากเขาต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว เช่นนั้นต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอกเขาต้องผ่านการต่อสู้ที่แท้จริงให้มากกว่าเดิม และเผชิญหน้ากับความเป็นตายยิ่งกว่าเดิม!
“เจ้ามั่นใจงั้นหรือ?”
หยางเย่พยักหน้า ไม่ว่าจะเป็นเพราะซูชิงฉือหรือมารดา หยางเย่ก็ต้องเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ แต่อันดับที่เขาตั้งไว้นั้นยากลําบากกว่าเดิมนับพันเท่า
หลินชานพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมเขาสะบัดมือ ทําให้ยันต์ประมาณสิบแผ่นปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ “มียันต์อสนีบาตขั้นสูงระดับต่ําสามแผ่นอยู่ในนี้ หากเจ้าเผชิญหน้ากับยอดฝีมือและไม่สามารถเอาชนะได้ให้โยนยันต์ทั้งสามแผ่นนี้ใส่คนผู้นั้น ยันต์อสนีบาตนี้มีผลต่อยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณอย่างมาก!”
หยางเย่รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน เขาหาได้ปฏิเสธที่จะรับมันไม่ หยางเยโค้งคํานับหลินชานก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
ขณะมองหยางเย่จากไป หลินชานลูบเคราพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยมมากเจ้าหนูเจ้ามีทั้งพรสวรรค์และจิตใจที่แน่วแน่แข็งแกร่ง ครั้งนี้นับว่าเปาเอ๋อได้กระทํา บางอย่างที่ถูกต้องให้ข้าเสียที!”