จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 113
หยางซานตายแล้ว หยางฮงตายแล้ว หยางเปียวและหยางคุนก็ตายแล้ว
ตระกูลหยางนับว่าถูกทําลายลงโดยสมบูรณ์
เป็นเวลาไม่ถึงสองเดือนนับตั้งแต่ราชวงศ์เทียนหยา(ขอบนภา)ถูกก่อตั้งขึ้นมา และมันก็ล่มสลายลงอย่างน่าสลดจนราวกับเป็นเรื่องตลก
ที่ราชวงศ์ต้าหลี่มีความสุขที่สุดก็คือการที่ตระกูลหยางเกิดความโกลาหลและต้องสูญเสียบรรพชนไปนี้ พวกเขาไม่แม้แต่จะต้องเคลื่อนทัพ เรื่องนี้จบลงอย่างเหนือความคาดหมายของหลี่กงอย่างมาก
นั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกัน เป็นการแสดงที่น่าดูชมจริงๆ
หลี่กงทั้งตื่นเต้นและยินดี ด้วยการตายของหยางซานในครั้งนี้ หินก้อนใหญ่ที่กดทับอยู่ในใจก็เป็นอันว่ายกวางลงได้แล้ว เมื่อเสาหลักตายไป ตระกูลหยางก็ไม่เป็นภัยคุกคามใดๆอีก การจะยึดคืนเอาดินแดนที่ถูกชิงไปก็กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
“ไปเถอะ พวกเราควรไปพบกับวีรบุรุษของราชวงศ์ต้าหลี่กันเสียหน่อย” หลี่กงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ จากนั้นจึงกระโดดไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว
หลูตงไห่และจ้าวฉางชิงหันไปแลกเปลี่ยนสายตากันคราหนึ่งพลางยิ้มออกมา จากนั้นจึงกระโดดขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปทางเมืองขอบนภา
“ท่านน้า เกิดอะไรขึ้นกับอนม่าน?” ฉินเทียนขวดคิ้วอย่างกังวล เขาไม่ค่อยรู้เรื่องพลังไปสือซานซิ่นดีนัก แต่เขาทราบถึงความร้ายกาจของหยางซานแน่นอน อวิ๋นม่านสามารถสู้กับหยางซานที่อยู่ในระดับสามขั้นสวรรค์หรือไม่? เรื่องนี้เขาไม่ทราบ
เฉินเหลียนใช้กลีบบัวศักดิ์สิทธิ์รักษาให้อวิ่นม่านสามครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา ”สมควรรักษาชีวิตของนางไว้ได้แล้ว”
ฉินเทียนระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
อย่างน้อยที่สุดก็ยังรักษาชีวิตของนางไว้ได้ ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งย่อมสามารถแก้ไข
อวิ๋นม่านหน้าขาวซีด บาดแผลเกลื่อนกล่นทั่วร่าง เห็นแบบนี้ฉินเทียนก็อดกังวลไม่ได้ กลีบบัวศักดิ์สิทธิ์เยียวยาของฉินเหลียนเป็นทักษะอันยอดเยี่ยม หากแต่ใบหน้าของอวิ่นม่านก็ยังขาวซีดอยู่ แม้จะเยียวยาไปแล้วสามครั้งแต่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เกรงว่านางคงยากจะตื่นขึ้นมาแล้ว”
ฉินเหลียนหันไปมองฉินเทียนพลางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
พลังไปสือซานซินทรงพลังเกินไป อวิ่นม่านไม่อาจควบคุมมัน การปะทุพลังของมันทําให้เส้นชีพจรของนางแบกรับแรงกดดันอย่างหนักหน่วง สําหรับการจะรักษานางนั้น หากได้ผู้เชี่ยวชาญขั้นจักรวาลมารักษาให้ บางทีนางอาจจะฟื้นขึ้นมาได้
มิเช่นนั้นชั่วชีวิตของนางก็จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไป
ฉินเทียนตกตะลึง เขาหันไปมองฉินเหลียนก่อนจะกล่าวออกมา “นางต้องนอนเป็นผักไปเช่นนี้หรือ?”
“ท่านน้า นางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกจริงๆ? ไม่มีวิธีเลยหรือ?” ฉินเทียนไม่ยอมแพ้ หากไม่ได้นาง ตัวเขาก็คงตายไปแล้ว
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีเลย”
“ต้องพึ่งพาผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลกรุยเส้นลมปราณให้นาง นางอาจจะฟื้นขึ้น”
เสียงฝีเท้าของคนสามคนดังขึ้น เมื่อได้พบฉินเทียนหลูตงไห่ก็ตื่นเต้นขึ้นมา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มใจดี
ฉินเทียนตกตะลึง เขากวาดตามองคนทั้งสามคราหนึ่งก่อนจะพบว่าชื่อของสามคนนี้เป็นสีขาว เขาจึงวางใจได้ในที่สุด แต่ความแข็งแกร่งของบุคคลทั้งสามก็ทําให้เขาตกตะลึงจริงๆ มีสองคนที่อยู่ในขั้นสวรรค์ ขณะที่อีกคนอยู่ระดับสุดยอดของขั้นกลั่นวิญญาณ
เป็นกลุ่มผู้แข็งแกร่ง
มองดูเครื่องแต่งกายของพวกเขา ฉินเทียนก็ประหลาดใจ เขามองไปที่หลี่กงก่อนจะแสดงความเคารพ
หลี่กงยิ้มบางพลางบอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นจึงหันไปมองฉินเหลียนก่อนจะกล่าวชื่นชมออกมา “เป็นนางเซียนที่งดงามจริงๆ”
หลูตงไห่เดินเข้ามาวางมือบนไหล่ของฉินเทียน “สหายน้อย เจ้าทําให้พวกเราประหลาดใจจริงๆ ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณสังหารระดับสุดยอดขั้นกลั่นวิญญาณ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนจริงๆ”
หลงไห่กล่าวอย่างเป็นกันเอง ให้ความรู้สึกถึงความสนิทสนม
ฉินเทียนฝืนหัวเราะอย่างขมขึ้น “ผู้เยาว์ไม่คู่ควรกับคําชมของผู้อาวุโสหรอกขอรับ”
“ฮ่าๆ” หลูตงไห่หัวเราะ
“ทําตัวตามสบายเถอะ หากเจ้าเต็มใจ เจ้าสามารถเรียกข้าพี่ใหญ่หลู”
ถ้อยคํานี้ทําให้ฉินเทียนประหลาดใจ
หลูตงไห่กําลังปกป้องเขาอยู่ หลี่กงย่อมเป็นจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังทรงพลัง ขณะที่ชายชราอีกคนก็เป็นผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์ ในเมื่อฉินเทียนสามารถสังหารหยางฮงได้ตั้งแต่อยู่ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณ ภัยคุกคามของเขาต่ออาณาจักรต้าหลี่ก็คงไม่น้อยไปกว่าตระกูลหยางเลย
หากบุคคลทั้งสองร่วมมือกัน การฆ่าเขาก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
กระนั้นการกระทําของหลูตงไห่กลับสกัดขัดขวางจิตสังหารของหลี่กง
ฉินเทียนเข้าใจเรื่องนี้และรีบเรียกหาหลูตงไห้ด้วยความเคารพ ” พี่ใหญ่หลู”
“ฮ่าๆ ดี ดี ดี” หลูตงไห่ยิ้มก่อนจะนําเอาเม็ดยาออกมา “พี่ชายไม่มีของมีค่าอะไรนัก รับโอสถเปยหยวนนี้ไป ถือเป็นของขวัญแรกพบของพวกเรา”
“โอสถเปยหยวน?!” ฉินเทียนตกตะลึงและสํานึกขอบคุณ โอสถเปยหยวนเป็นโอสถระดับแปดที่กลั่นจากแก่นจํานวนนับไม่ถ้วน เป็นโอสถที่ยากจะได้ครอบครอง ถือเป็นสมบัติที่ล้ําค่าอย่างยิ่ง
หลี่กงและจ้าวฉางชิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาย่อมทราบกระจ่างถึงความล้ําค่าโอสถชนิดนี้ดีกว่าใครทั้งหมด คิดไม่ถึงว่าหลูตงไห่จะนําออกมาง่ายๆเช่นนี้
ก่อนที่ฉินเทียนจะทําอะไร หลูตงไห่ก็ยัดเม็ดยาลงในมือของฉินเทียน จากนั้นสายตาจึงหันไปมองอวิ๋นม่าน ” หากต้องการช่วยนางให้ตื่นขึ้นมา มีแต่ต้องให้ผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลช่วยเหลือ มิเช่นนั้นนางคงต้องตกอยู่ในสภาพนี้ไปชั่วชีวิต…”
ฉินเทียนรู้สึกขอบคุณหลูตงไห่จากใจ
“ขั้นจักรวาล นี่เป็นตัวตนที่เป็นดั่งเทพเจ้าสําหรับพวกเรา”
ขันจักรวาล ตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแห่งการฝึกตน เป็นตัวตนที่ยากจะพบพาน และขณะเดียวกันก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยิ่งผยอง แล้วตัวตนเช่นนี้จะยินดีช่วยผู้อื่นหรือ?
ตัวตนที่สูงส่งเช่นนั้นจะยินยอมช่วยเหลือจริงๆหรือ?
ในทางกลับกันหากว่าต้องการบ่มเพาะไปจนถึงขั้นจักรวาล เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด และเมื่อเขาไปถึงเขตขั้นนั้นได้แล้ว อวิ๋นม่านจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? หากเส้นชีพจรของนางตกอยู่ในสภาพนี้นานเกินไป กระทั่งขั้นจักรวาลก็หมดหนทางเยียวยาให้
ฉินเทียนนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด
ฉินเหลียนรู้สึกปวดใจเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะกล่าวว่า “เทียนน้อย ข้าจะกลับไปที่นิกายเพื่อขอให้ท่านประมุขช่วยดูให้ นางจะต้องช่วยอวิ๋นม่านได้แน่ๆ”
หลี่กงและจ้าวฉางชิงได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ ดูท่าเบื้องหลังของฉินเหลียนจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ล่วงเกินนาง มิเช่นนั้นหากไปตอแยตัวตนขั้นจักรวาลเข้าจริงๆ อาณาจักรต้าหลี่ก็คงไม่แคล้วถูกถล่มราบเป็นหน้ากลอง
” ท่านน้า!” ฉินเทียนดีอกดีใจ ก่อนจะพบว่าสีหน้าของฉินเหลียนดูไม่ดีนัก ในใจก็พลันรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมา
ที่ต้องการที่สุดก็คือความแข็งแกร่ง เมื่อแข็งแกร่งพอ ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนกระทําได้ ไม่จําเป็นต้อ งหยิบยืมความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ในโลกนี้ผู้ที่ดีต่อเขามากที่สุดก็คือ ฉินเหลียน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการไปขอร้องความช่วยเหลือจาผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลนั้นยากเย็นเพียงใด กระทั่งว่าอาจจบลงด้วยชีวิต ฉินเทียนย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ ฉินเหลียนเต็มใจจะทําทุกอย่างเพื่อเขากระทั่งถึงขั้นเสียสละตัวเอง ฉันเรียนรู้สึกเกลียดชังตัวเองจนแทบยากจะทุบตีตัวเองให้หนัก ในใจสาบานว่าจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
ฉินเทียนขมวดคิ้วมั่น ในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด
แต่มันก็ไม่มีหนทางใดอีก ตัวเขาย่อมไม่รู้จักผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาล ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะเชิญมาช่วยกรุยเส้นลมปราณให้กับอวิ่นม่าน
“เทียนน้อย เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า นิกายจิงซินเป็นนิกายที่มีหลักเมตตาธรรม ฝึกฝนในเคล็ดของพุทธะ ท่านประมุขจะต้องยอมช่วยเหลือแน่”
ฉินเหลียนย่อมทราบเกี่ยวกับนิกายจิงซินดีที่สุด ยามที่นางกลับไปก็คงไม่พ้นถูกลงโทษ และการจะขอให้ประมุขนิกายช่วยเหลือก็ยิ่งยากอย่างที่สุด แต่ในเมื่อไม่เหลือหนทางใดแล้ว นางก็ต้องกลับไป ใครก็ตามที่ฉินเทียนห่วงใย นางก็จะห่วงใยด้วยเช่นกัน
เพื่อฉินเทียนแล้วนางเต็มใจกระทําทุกอย่าง ไม่ว่าจะยากลําบากเพียงใดก็ตาม