ห้าวันต่อมา พายุได้พัดเข้าสู่อาณาจักรกลาง ในช่วงห้าวันนี้ กองกำลังของสาขาต่างๆของเก้าอารามได้ถอนตัวกลับอย่างกะทันหัน คนงานทั้งหมดที่ถูกบังคับให้สร้างวิหารก็ถูกส่งกลับบ้าน ทุกคนเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆที่ค่อยๆครอบคลุมอาณาจักรกลาง และเดากันอยู่ในใจว่าการกระทำของเก้าอารามและการโจมตีของกองทัพราตรีจะต้องเกี่ยวพันกันอย่างแน่นอน ทุกคนต่างรอคอยอย่างเงียบๆ รอให้กองทัพราตรีสร้างพายุลูกใหญ่ขึ้นซัดเก้าอารามแรงๆสักที ความสงบสุขจะได้หวนคืนสู่อาณาจักรกลางอีกครั้ง
ที่สาขาหนึ่งของเก้าอาราม ชายหน้าตาดีคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของอารามหลิงซวี เหล่าผู้อาวุโสรวมตัวกันอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงใหญ่ และยังมีผู้บัญชาการจากอาณาจักรบนอีกหลายคน ”วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเวลาครึ่งเดือนที่กองทัพราตรีประกาศไว้ แต่พวกเขาก็ยังไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าพวกนั้นกำลังเล่นอะไรอยู่” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของอารามหลิงซวีกล่าวอย่างระมัดระวัง สายตามองไปที่ชายหน้าตาดีที่นั่งอยู่ด้านบนด้วยความเกรงกลัว
ชายคนนั้นดูเหมือนอายุประมาณ 28 – 29 ปี ใบหน้าของเขาหล่อมาก แต่ใบหน้าที่ชวนมองนั้น บัดนี้กลับดำทะมึนเหมือนถ่าน
หนานกงเล่ยมีสีหน้ามืดมน ชิวอวิ๋นพ่ายแพ้เมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนนี้เวลาผ่านไป 15 วันแล้ว พวกซูจิ่งเหยียนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ถ่ายทอดคำประกาศจากจวินอู๋เสีย
ภายในครึ่งเดือน พวกเขาจะล้างเก้าอารามด้วยเลือด เป็นการยั่วยุบ้าบออะไรกัน!
แต่ในครึ่งเดือนนี้ ไม่ว่าพวกผู้ใช้พลังวิญญาณสีทองของอาณาจักรบนและคนของเก้าอารามจะใช้ความพยายามในการค้นหามากเพียงใด ก็ยังไม่พบเบาะแสเกี่ยวกับกองทัพราตรีหรือจวินอู๋เสียเลย เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หนานกงเล่ยจึงทำได้แค่สั่งให้กองกำลังทั้งหมดของเก้าอารามกลับมารอคำสั่งและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
“กองทัพราตรีอะไร? ก็แค่พวกหนูขี้ขลาดกลัวตายเท่านั้นแหละ พวกมันทำได้แค่เรื่องที่น่าอับอายบอกใครไม่ได้ มีแค่พวกเจ้า ไอ้พวกสวะอาณาจักรกลาง ที่กลัวพวกมันขนาดนี้ ข้าว่านะ ที่พวกมันประกาศวันนั้นก็แค่ขู่ตบตาไปงั้น ไม่อย่างนั้นครึ่งเดือนมานี้จะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยได้ยังไง?” ชายร่างสูงจากอาณาจักรบนเย้ยหยันอย่างจองหอง เขาจงรักภักดีต่อหนานกงเล่ย และไม่เห็นชิวอวิ๋นอยู่ในสายตา เทียบกับหนานกงเล่ยที่เป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือ ความสามารถของชิวอวิ๋นย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว
เหล่าผู้อาวุโสของวิหารหลิงซวีก้มหน้า แต่ในใจก่นด่าบรรพบุรุษชายคนนั้นไป 18 ชั่วโคตร แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
บอกว่ากองทัพราตรีแค่ขู่ตบตาไปงั้นอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมสิว่าพวกคนอาณาจักรบนของเจ้าตายด้วยน้ำมือของกองทัพราตรีไปไม่น้อย ยังจะมาเสแสร้งอ้างโน่นนี่อะไรอยู่อีก?
เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามต่างโกรธเคือง แต่ไม่กล้าแสดงออกมา
“ท่านหนานกงเล่ย ข้าคิดว่าคงจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรจากกองทัพราตรีแล้ว ก่อนหน้านี้เพราะพวกเราไม่ทันได้เตรียมตัว พวกมันเลยใช้ช่องโหว่นั้นได้ แต่ตอนนี้พวกเราเฝ้าระวังเก้าอารามกันเหมือนป้อมปราการเหล็ก อย่าว่าแต่กองทัพราตรีเลย แมลงวันสักตัวก็ไม่สามารถบินเข้ามาได้ ไม่จำเป็นต้องประเมินค่าพวกหนูฝูงนี้ให้สูงเกินไปหรอกขอรับ” ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งจากอาณาจักรบนไม่เชื่อว่า ในอาณาจักรกลางจะมีกองกำลังที่สามารถต่อสู้กับกองทัพผู้ใช้พลังวิญญาณสีทองได้
หนานกงเล่ยหน้าเครียด อาณาจักรบนส่งเขากับชิวอวิ๋นมาที่อาณาจักรกลางโดยมีเขาเป็นผู้นำ ขณะที่ชิวอวิ๋นเป็นรองหัวหน้า แม้ว่าเขาจะไม่เห็นพลังของชิวอวิ๋นอยู่ในสายตา แต่เขายอมรับว่าถึงชิวอวิ๋นจะเทียบกับสิบยอดฝีมือไม่ได้ แต่เขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถควบแน่นแหวนวิญญาณได้แล้ว
เขาตายอย่างง่ายดาย แถมตายแบบศพไม่สมบูรณ์อีกด้วย นี่มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ
หนานกงเล่ยเป็นคนสุขุมรอบคอบ ไม่ได้โง่เขลาและหุนหันพลันแล่นเหมือนชิวอวิ๋น เขาจึงเตรียมการเอาไว้ก่อนล่วงหน้า
ที่สาขาหนึ่งของเก้าอาราม ชายหน้าตาดีคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของอารามหลิงซวี เหล่าผู้อาวุโสรวมตัวกันอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงใหญ่ และยังมีผู้บัญชาการจากอาณาจักรบนอีกหลายคน ”วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเวลาครึ่งเดือนที่กองทัพราตรีประกาศไว้ แต่พวกเขาก็ยังไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าพวกนั้นกำลังเล่นอะไรอยู่” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของอารามหลิงซวีกล่าวอย่างระมัดระวัง สายตามองไปที่ชายหน้าตาดีที่นั่งอยู่ด้านบนด้วยความเกรงกลัว
ชายคนนั้นดูเหมือนอายุประมาณ 28 – 29 ปี ใบหน้าของเขาหล่อมาก แต่ใบหน้าที่ชวนมองนั้น บัดนี้กลับดำทะมึนเหมือนถ่าน
หนานกงเล่ยมีสีหน้ามืดมน ชิวอวิ๋นพ่ายแพ้เมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนนี้เวลาผ่านไป 15 วันแล้ว พวกซูจิ่งเหยียนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ถ่ายทอดคำประกาศจากจวินอู๋เสีย
ภายในครึ่งเดือน พวกเขาจะล้างเก้าอารามด้วยเลือด เป็นการยั่วยุบ้าบออะไรกัน!
แต่ในครึ่งเดือนนี้ ไม่ว่าพวกผู้ใช้พลังวิญญาณสีทองของอาณาจักรบนและคนของเก้าอารามจะใช้ความพยายามในการค้นหามากเพียงใด ก็ยังไม่พบเบาะแสเกี่ยวกับกองทัพราตรีหรือจวินอู๋เสียเลย เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หนานกงเล่ยจึงทำได้แค่สั่งให้กองกำลังทั้งหมดของเก้าอารามกลับมารอคำสั่งและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
“กองทัพราตรีอะไร? ก็แค่พวกหนูขี้ขลาดกลัวตายเท่านั้นแหละ พวกมันทำได้แค่เรื่องที่น่าอับอายบอกใครไม่ได้ มีแค่พวกเจ้า ไอ้พวกสวะอาณาจักรกลาง ที่กลัวพวกมันขนาดนี้ ข้าว่านะ ที่พวกมันประกาศวันนั้นก็แค่ขู่ตบตาไปงั้น ไม่อย่างนั้นครึ่งเดือนมานี้จะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยได้ยังไง?” ชายร่างสูงจากอาณาจักรบนเย้ยหยันอย่างจองหอง เขาจงรักภักดีต่อหนานกงเล่ย และไม่เห็นชิวอวิ๋นอยู่ในสายตา เทียบกับหนานกงเล่ยที่เป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือ ความสามารถของชิวอวิ๋นย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว
เหล่าผู้อาวุโสของวิหารหลิงซวีก้มหน้า แต่ในใจก่นด่าบรรพบุรุษชายคนนั้นไป 18 ชั่วโคตร แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
บอกว่ากองทัพราตรีแค่ขู่ตบตาไปงั้นอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมสิว่าพวกคนอาณาจักรบนของเจ้าตายด้วยน้ำมือของกองทัพราตรีไปไม่น้อย ยังจะมาเสแสร้งอ้างโน่นนี่อะไรอยู่อีก?
เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามต่างโกรธเคือง แต่ไม่กล้าแสดงออกมา
“ท่านหนานกงเล่ย ข้าคิดว่าคงจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรจากกองทัพราตรีแล้ว ก่อนหน้านี้เพราะพวกเราไม่ทันได้เตรียมตัว พวกมันเลยใช้ช่องโหว่นั้นได้ แต่ตอนนี้พวกเราเฝ้าระวังเก้าอารามกันเหมือนป้อมปราการเหล็ก อย่าว่าแต่กองทัพราตรีเลย แมลงวันสักตัวก็ไม่สามารถบินเข้ามาได้ ไม่จำเป็นต้องประเมินค่าพวกหนูฝูงนี้ให้สูงเกินไปหรอกขอรับ” ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งจากอาณาจักรบนไม่เชื่อว่า ในอาณาจักรกลางจะมีกองกำลังที่สามารถต่อสู้กับกองทัพผู้ใช้พลังวิญญาณสีทองได้
หนานกงเล่ยหน้าเครียด อาณาจักรบนส่งเขากับชิวอวิ๋นมาที่อาณาจักรกลางโดยมีเขาเป็นผู้นำ ขณะที่ชิวอวิ๋นเป็นรองหัวหน้า แม้ว่าเขาจะไม่เห็นพลังของชิวอวิ๋นอยู่ในสายตา แต่เขายอมรับว่าถึงชิวอวิ๋นจะเทียบกับสิบยอดฝีมือไม่ได้ แต่เขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถควบแน่นแหวนวิญญาณได้แล้ว
เขาตายอย่างง่ายดาย แถมตายแบบศพไม่สมบูรณ์อีกด้วย นี่มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ
หนานกงเล่ยเป็นคนสุขุมรอบคอบ ไม่ได้โง่เขลาและหุนหันพลันแล่นเหมือนชิวอวิ๋น เขาจึงเตรียมการเอาไว้ก่อนล่วงหน้า