WS บทที่ 119 เมืองดอนกลิน PART 2
ในไม่ช้ากลุ่มนักดาบที่นําโดยพ่อมดปาริโอได้เคลื่อนพลออกจากเมืองดอนกลินไปอย่าเงียบ ๆ
แต่ในระหว่างที่พวกเขากําลังเดินทางอยู่นั้นได้มีร่างเงาทั้งสองปรากฏตัวอยู่ด้านหลังพวกเขา
ทั้งสองเสื้อผ้าทะมัดทะแมงและพกดาบใหญ่ไว้ด้านหลัง ดูเหมือนพวกเขาจะเฝ้ารอจังหวะนี้มานานแล้วแต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะเกิดลังเลที่จะดําเนินแผนการนี้
“แคทเธอรีน ก่อนหน้านี้ที่เราหนีออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปค้นหาองค์กรนักเวทย์ ตอนนั้น เราโดนพ่อก็โกรธมากแล้ว ถ้าพ่อเกิดรู้เรื่องนี้อีก พี่กลัวว่าเราจะไม่ได้ออกจากบ้านอีกเลย”
แคทเธอรีนจ้องไปที่พี่ชายของเธอและพูดว่า “คาเปซ ไม่ต้องกังวลไปถึงค้างคาวแวมไพร์จะน่ากลัวแต่คราวนี้มีพ่อมดปาริโอ พ่อมดซิมป์และก็พ่อ แล้วอีกอย่างพวกเขายังพานักดาบน้ําแข็งกว่าสามสิบคนไปอีกด้วย ไม่มีทางที่จะเกิดอันตรายอย่างแน่นอน พี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก พวกเรารีบตามไปเถอะ เดี๋ยวจะพลาดฉากสําคัญ” แคทเธอรีนกล่าวพลางดึงคาเปซด้วยความตื่นเต้น พวกเขาแอบตามกองกําลังของพ่อมดปาริโอและออกจาก มืองดอนกลินไป
นอกเมืองดอนหกลิ่น กลุ่มคนหนุ่มสาวทั้งสี่คนกําลังเดินทางมาที่เมืองนี้ด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขาเดินทางมาไกลมากเรียวแรงของพวกเขาค่อย ๆ น้อยลงไปทุกที
“นั่นเมืองดอนกลินนี่ รีบไปกันเถอะ เราจะไปพบกับมาควิสบารอสซ่าโดยตรง ฉันเชื่อว่าเขาน่าจะข้อมูลเกี่ยวกับค้างคาวแวมไพร์”
โฮล์มส์รับหน้าที่เป็นผู้นํากลุ่มโดยที่เลอแรนก้ากับเมอร์ลินไม่ได้คัดค้านอะไร พวกเขาอยู่เงียบ ๆ และตามทําตามคําสั่งของโฮล์มส์
ผ่านไปพักใหญ่พวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองดอนกลินเรียบร้อยแล้ว
เมืองดอนกลิ่นแห่งนี้มีความรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองปรากาซอย่างเทียบไม่ติดโดยตำแหน่งขุนนาง สูงสุดของที่นี่คือมาควิส เมืองดอนกลินถูกจัดเป็นเมืองระดับกลาง
ภายในเมืองเต็มไปด้วยชาวเมืองที่พลุกพล่าน เมอร์ลินและคนอื่น ๆ ไม่มีเวลามาชมสถาปัตยกรรมของที่นี่ พวกเขามุ่งหน้าไปที่ปราสาทของมาควิสบารอสซ่าเพื่อเริ่มทําภารกิจ
ในระหว่างทางเมอร์ลินได้ศึกษาเรื่องของเมืองนี้มาอย่างคราว ๆ แล้ว เมืองดอนกลิ่นปกครอง โดยมาควิสบารอสซ่า เขามีนักดาบธาตุขั้นกลางกว่าร้อยนายและอัศวินชั้นยอดหลายแสนคนภายใต้การบัญชาของเขา นอกจากนี้เขายังมีพ่อมดพเนจรอย่างน้อย 5คนที่ทํางานให้เขานี่แสดงให้ เห็นถึงขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ในมือของเขา
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโฮล์มส์จะไม่สนใจกองกําลังของมาควิสบารอสซ่าเลย แผนของเขาก็เรียบง่ายแบบที่อ ๆ เขาจะบุกเข้าไปในปราสาทตรง ๆ เพื่อพบกับมาควิสบารอสซ่าและถามข้อมูลของค้างคาวแวมไพร์โดยตรง
“หยุดอยู่ตรงนั้น! พวกเจ้าเป็นใคร”
โฮล์มส์เดินนําทุกคนเข้าไปในปราสาทและพวกเขาก็ถูกทหารยามขวางไว้ทันที
“กรงวายุ”
โฮล์มส์ขมวดคิ้วและโบกมือเบา ๆ พลังธาตุลมได้ก่อตัวขึ้นมาล้อมรอบทหารยามทันที
“ไปต่อกันเถอะ” โฮล์มส์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเดินนําเดินไปในปราสาทโดยไม่แม้แต่จะชายตามองทหารยามพวกนี้
เมอร์ลินหรี่ตามองและพึมพําเบา ๆ “คาถาประเภทควบคุมธาตุลมงั้นเหรอ?”
ตั้งแต่ที่เมอร์ลินเข้าสู่ดินแดนมนต์ดํา เขาได้ศึกษาเรียนรู้คาถาทุกประเภท เขาไม่ใช่พ่อมดมือใหม่อีกต่อไปด้วยเหตุเขาถึงรู้ว่าคาถาที่โฮล์มส์ร่ายออกไปนั้นคืออะไร
คาถานี้มันสามารถทําการกักขังทหารยามได้หลายคนในการร่ายเพียงครั้งเดียวซึ่งมันน่าจะเป็นคาถากรงวายุ มันต้องใช้แต้มสนับสนุน 5แต้มในการแลกเปลี่ยนจากหอสมุด
เมื่อโฮล์มส์ได้เคลียร์เส้นทางข้างหน้าแล้ว พวกทหารยามไม่มีโอกาสเข้าใกล้พวกเขาด้วยซ้ํา พวกเขาจึงสามารถเข้าไปในปราสาทอย่างง่ายดายราวกับไม่มีใครอยู่หน้าปราสาทเลย
*ตึงตึงตึง*
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้ามาในห้องโถง กลุ่มนักดาบธาตุจํานวนมากได้หลังไหลเข้ามา ข้างในพร้อมพลังธาตุที่อยู่ตัวดาบของพวกเขา
พวกเขาเหล่านี้น่าจะเป็นนักดาบธาตุระดับสามกันทั้งหมด
“พวกเจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงถึงกล้าบุกเข้ามาในปราสาทของท่านมาควิส”
ที่ด้านหลังของกองอัศวินมีชายชราร่างผอมสวมชุดสีน้ําเงินยาวกําลังจ้องมองพวกเมอร์ลินอย่างดุเดือด
“ให้ตายสิ ดูเหมือนว่าฉันต้องฆ่าใครสักคนก่อน” หลังจากกล่าวจบ ตัวอักษรรูนบนเสื้อคลุม ของโฮล์มส์เรืองแสงอย่างช้า ๆ พลังจิตของเขาเริ่มผันผวน ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมร่ายเวทย์
พ่อมดโฮล์มส์ ฉันว่าเราไม่ต้องทําถึงขนาดนั้นหรอก” ทันใดนั้นก็มีเสียงอันสงบดังขึ้นข้างหูของ โฮล์มส์
“พ่อมดเมอร์ลิน คุณมีวิธีอื่นงั้นหรือ?” โฮล์มส์มองเมอริ้ลนอย่างแปลกใจ
เมอร์ลินไม่ตอบโฮล์มส์โดยตรง เขากลับมองไปที่เหล่านักดาบธาตุที่กําลังกรูเข้ามา
“หมอกรัตติกาล!!”
เมอร์ลินเปิดใช้งานหมอกรัตติกาลทันที ทันใดนั้นหมอกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือห้องโถงอย่างรวดเร็ว พวกมันได้กลืนกินนักดาบธาตุพวกนั้นเข้าไป
หมอกรัตติกาล เป็นคาถาประเภทลวงตา หากผู้ที่มีพลังจิตอ่อนแอ พวกเขาจะถูกหลอกมีดหลอกหลอน ขนาดเมอร์สินที่มีพลังจิตที่แข็งแกร่งยังตกอยู่ในอํานาจของหมอกรัตติกาลเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะไม่รับผลของมันมากขนาดไหน
พวกเขาทั้งหมดต่างสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดและยืนเหม่อลอยพร้อมกับทิ้งอาวุธลงไป
*หวุ่ม*
เมอร์ลินร่ายคาถาลมพายุและพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามาถึงตรงที่ ๆ ชายวัยกลางคนคนนั้นอยู่ เขาได้กล่าวด้วยน้ําเสียงอันสงบว่า
“มาควิสบารอสซ่า พวกเรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องค้างคาวแวมไพร์ ท่านไม่จําต้องกังวลไป”
มาควิสบารอสซ่าที่มีท่าที่สงบ เขาจ้องมองไปที่เมอร์ลินจากนั้นเขาก็หันไปมองชายชราร่างผอมที่อยู่ข้าง ๆ เขา
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาได้ถอนหายใจและกล่าวว่า
“ท่านมาควิส พวกเขาน่าจะเป็นนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดํา”
ชายชราคนนี้น่าจะเป็นพ่อมดพเนจรที่ทํางานภายในคําสั่งของมาควิสบารอสซ่า จึงไม่แปลกที่เขาจะรับรู้ถึงตัวตนของเมอร์ลินกับพวกเป็นสมาชิกของดินแดนมนต์ดํา เพราะในท้ายที่สุด เมืองดอนกลินก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของดินแดนมนต์ดํา
มาควิสบารอสซ่าได้ยินอย่างนั้น เขาได้รู้สึกผ่อนคลายและยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นพวก คุณคือนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดําสินะ ก่อนหน้านี้แม่มดนาชาก็เคยมาที่เมืองนี้เหมือนกัน เธอได้พาเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์ไปกับเธอ ตอนนี้เด็กหญิงคนนั้นสบายดีมั้ย?”
“พอดีผมเพิ่งเข้าร่วมกับดินแดนมนต์ดําได้ไม่นาน ผมจึงไม่ค่อยรู้เรื่องของแม่มดนาชาเท่าไหร่นัก ผมต้องขออภัยด้วยขอรับ”
เมื่อได้ยินมาควิสบารอสซ่าพูดถึงแม่มดนาชา เมอร์ลินก็รู้ว่าเขาไม่ได้โกหกดังนั้นเขาถึงโบกมือเบา ๆ เพื่อคลายคาถาหมอกรัตติกาลออก
เมื่อนักดาบธาตุหลุดจากมนต์สะกดแล้ว พวกเขาต่างมองไปที่เมอร์ลินด้วยความหวาดกลัว
“นี่เขาร่ายคาถาหมอกรัตติกาลอย่างงั้นเหรอ?”
ไม่เพียงแต่นักดาบธาตุเท่านั้น แม้แต่พ่อมดโฮล์มส์ก็เงยหน้าขึ้นมองเมอร์ลินด้วยแววตาที่ซับซ้อน