WS บทที่ 122 ตกใจและผิดหวัง
“คาเปซ แคทเธอรีน พวกคุณมาทําอะไรที่นี่”
หลังจากฝูงค้างคาวแวมไพร์ที่ตามสองพี่น้องมาถูกกําจัดหมดแล้ว พ่อมดแดนเบ้ก็สังเกตเห็นสองพี่น้อง
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน พ่อมดแดนแดนเป้ได้โปรดช่วยพ่อและพ่อมดปาริโอ้เร็วเข้า”
เห็นได้ชัดว่าแคทเธอรีนรู้จักกับพ่อมดแดนเบ้เป็นอย่างดี ดังนั้นเธอจึงอธิบายทุกอย่างให้เขาฟังสั้น ๆ
สีหน้าของแดนเบ้เปลี่ยนไป เขาหันมาพูดกับโฮล์มส์ว่า
“ พ่อมดโฮล์มส์ เราจะทําอย่างไรดี”
โฮล์มส์เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้วตอนนี้ หลังจากที่เขาพิจารณาอย่างดีแล้ว เขาก็คิดว่าพวกเขาต้องเข้าใจสถานการณ์ของค้างคาวแวมไพร์โดยสมบูรณ์เพื่อทําภารกิจให้สําเร็จ
เขาหรี่ตาไปมองแคทเธอรีนกับคาเปซและพูดว่า
“ช่วยพาพวกเราไปที่รังของค้างคาวแวมไพร์ที่”
หลังจากพูดจบ พวกเขาก็รีบนําทางเข้าไปในป่าทันที
ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงทุ่งโล่งกว้าง ตามพื้นมีศพนอนกองบนพื้น พวกเขาคือนักดาบธาตุระดับสี่ที่เมืองดอนกลินส่งมา พวกเขาส่วนใหญ่เสียชีวิตที่นี่ กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นได้ลอยยออกมา
พวกเขาทั้งหมดเป็นนักดาบธาตุขั้นกลางที่มีทักษะการต่อสู้พอฟัดพอเหวี่ยงกับนักเวทย์แต่พวกเขากลับตายเกือบทั้งหมดนี่แสดงให้เห็นว่าค้างคาวแวมไพร์ มันรับมือยากแน่นอน
“ในถ้ำพวกนั้นสินะ?” โฮล์มส์ขมวดคิ้วพลางมองไปที่ถ้ำ
“ก๊าซซซ!”
ทันใดนั้นเองได้มีเสียงแหลมเล็กดังขึ้น พวกเขามองเห็นร่างที่มีแสงสีแดงของค้างคาวแวมไพร์ พวกมันบินจากถ้ำอันมืดมิด
พวกมันบินอกมาเป็นฝูงได้ปกคลุมท้องฟ้า พวกมันรวมกันคล้ายกลุ่มเมฆสีแดง พวกมันมีอย่างน้อยพันตัว ไม่แปลกใจเลยที่พวกนักดาบน้ำแข็งจะเสียท่าและตายในที่สุด
“หมอกรัตติกาล”
เมอร์ลินตั้งสติได้เร็วที่สุด ทันทีที่พวกมันบินออกมาจากถ้ำ เขาได้ร่ายหมอกรัตติกาลไปรอแล้ว
กลุ่มหมอกสีได้ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า พวกหมอกคลอบคลุมพื้นที่มากกว่าหลาย 10เมตร พวกมันลอยอยู่เหนือถ้ำทั้งสองแห่งแต่ทว่าคาถาหมอกรัตติกาลไม่มีผลอะไรกับพวกมันเลย พวกค้างคาวบินฝ่าหมอกดําและพุ่งหาเมอร์ลนและคนอื่น ๆ อย่างบ้าคลั่ง
“ค้างคาวแวมไพร์เป็นอสูรธาตุมืด ดังนั้นคาถาธาตุจึงไม่ได้ผลกับพวกมัน ทุกคนรีบจัดการพวกมันเร็วเข้า ทุ่มทุกอย่างที่พวกคุณมี ถ้าหากกําจัดพวกมันก่อนเราก็จะเข้าไปข้างในไม่ได้”
พ่อมดโฮล์มส์กล่าวพลางเปิดใช้งานเสื้อคลุมของเขา ตัวอักษณรูนได้เปล่งแสงออกมา พวกค้างคาวแวมไพร์ที่บินเข้ามาหาเขาได้พลังรูนอันลับลับดีดกระเด็นไปไกลหลายเมตร
“กรงวายุ!”
พ่อมดโฮล์มส์โบกมือ จากนั้นลมอันรุนแรงนับไม่ถ้วยปรากฏขึ้นมากรงพวกค้างคาวแวมไพร์เอาไว้
“ระเบิดน้ำแข็ง”
คาถาของโฮล์มส์เกี่ยวใหญ่เป็นคาถาประเภทโจมตี แม้แต่คาถาประเภทน้ำแข็งเองก็ยังสามารถโจมตีเป็นวงแคบ ๆ ได้
โฮล์มส์ร่ายเวทอย่างอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะกักอะไรไว้ เขาพร้อมที่จะทุ่มหมดหน้าตักเพื่อจัดการพวกมัน เขาได้ร่ายคาถาทั้งสี่ของเขาอย่าง หอกมังกรธรณี, ระเบิดน้ำแข็ง, กรงวายุและเพลิงประกายแสง ด้วยคาถาโจมตีที่รุนแรงพวกนี้ทําให้ไม่มีค้างคาวแวมไพร์ตัวไหนเข้าใกล้โฮล์มส์กับรีลลิสได้เลย
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันทรงพลังของโฮล์มส์ในฐานะที่เขาได้รับการขนานนามของอัจฉริยะของดินแดนมนต์ดํา
เขาสามารถโจมตีไปพร้อมกับปกป้องริลลีสที่อยู่ข้างหลังเขาแต่ทางฝั่งเมอร์ลิน ทั้งเลอแรนก้ากับแดนเบ้ พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น พวกเขาจึงทําไดพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถปกป้องคาเปซกับแคทเธอรีนได้
ด้วยเหตุทําให้สถานการณ์ของสองพี่น้องอยู่ในความเสี่ยงอย่างมาก
ด้วยเหตุเมอร์ลินจึงไม่สามารถปกปิดความสามารถที่แท้จริงของเขาได้อีกต่อไป
“เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจยาว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและรวบรวมพลังจิตอันทรงพลังกระตุ้นตรงไปที่โครงสร้างเวทมนต์ของเขาอย่างรวดเร็ว
“ข่ายสายฟ้า!!”
เนื่องจากหมอกรัตติกาลทําอะไรพวกมันไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงร่ายคาถาข่ายสายฟ้าที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
หลังจากที่เขาร่ายเสร็จ เสียงฟ้าร้องได้ดังขึ้นมา แสงวาบได้สว่างขึ้นลําแสงสายฟ้าได้เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียวอย่างรวดเร็ว โดยตาข่ายไฟฟ้านี้ได้อยู่เหนือกลุ่มค้างคาวแวมไพร์จํานวนมาก
*เปรี้ยง!*
สายฟ้าอันทรงพลังได้พุ่งเข้าหาค้างคาวแวมไพร์ทันที เดิมทีคาถาข่ายสายฟ้านี้เป็นคาถาที่กินกว้างขนาดใหญ่ ยิ่งกว่านั้นมันยังทําให้ศัตรูอยู่ในสถานนะมึนงงด้วย ในหมู่คาถาระดับศูนย์ คาถาข่ายสายฟ้าถือว่าทรงพลังมาก ไม่อย่างมันถึงไม่ใช้แต้มสนับสนุนแลกตั้ง 5แต้ม
แม้ว่าพลังสายฟ้าของข่ายสายฟ้าจะทําอะไรค้างคาวแวมไพร์ไม่ได้แต่มันสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของพวกมันได้ชั่วคราว
*หวู่ม!*
เมอร์ลินรวบรวมพลังจิตอีกครั้ง เขาได้ร่ายคาถาลมพายุ ทําให้ทุกคนเห็นเมอร์ลินเป็นภาพเบลอและหายเข้าไปในฝูงค้างคาวแวมไพร์
“แช่แข็ง!!”
เมอร์ลินร่ายคาถาแช่แข็งอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าจะหยุดพัก ทุกย่างก้าวที่เขาเดินผ่านพวกค้างคาวจะกลายเป็นก้อนน้ำแข็งทันที พวกมันไม่สามารถขยับตัวได้จึงทําให้พวกมันไม่มีโอกาสป้องกันตัวเลย
หลังจากเมอร์ลินแช่แข็งเสร็จ พวกมันก็ตกลงพื้นและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ลูกไฟ, แช่แข็ง, ลมพายุ, หมอกรัตติกาลและข่ายสายฟ้า ไม่อยากจะเชื่อ นี่พ่อมดเมอร์ลินเป็นนักเวทย์ห้าธาตุ…”
เมื่อเห็นเมอร์ลินสามารถจัดการค้างคาวแวมไพร์ทั้งฝูงได้อย่างง่าย ทุกคนพากันตกตะลึง
เนื่องจากนักเวทย์ห้าธาตุมีน้อยและหายากมาก แม้แต่องค์กรนักเวทย์ขนาดใหญ่ก็ตาม โฮล์มส์ที่สร้างคาถาสี่ธาตุยังรู้เลยว่ามันยากเพียงใด การที่จะเป็นนักเวทย์ห้าธาตุนั้นต้องใช้ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นสําหรับการเตรียมใจของผลลัพธ์ที่จะออกมา
รีลลิสมองเมอร์ลินอย่างสับสน เธอจําได้ว่าเมอร์ลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต้มสนับสนุนคืออะไร แต่ทว่าพอผ่านไปครึ่งปีเขากลับกลายเป็นนักเวทย์ห้าธาตุแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้มันเหลือเชื่อเกินไป
“เขาเป็นอัจฉริยะหรือคนบ้าที่ยอมแพ้ต่อเส้นทางของตัวเอง”
โฮล์มส์กล่าวพลางมองเมอร์ลินด้วยสายตาอันซับซ้อน จริงอยู่ว่านักเวทย์ห้าธาตุนั้นจัดว่าเป็นอัจฉริยะแต่อย่างไรก็ตาม เขาอยู่ในหอคอยของพ่อมดลีโอซึ่งเป็นพ่อมดที่ไม่ใสใจในลูกศิษย์ของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงทําเรื่องทุกอย่างนี้ด้วตัวเอง
บางทีเขาอาจจะหมดหวังกับการเป็นนักเวทย์ระดับ เขาจึงสร้างคาถาระดับศูนย์จํานวนมากโดยไม่สนใจผลกระทบที่ตามมา
“นักเวทย์ห้าธาตุเขายอมแพ้แล้วงั้นหรือ?”
เลอแรนก้าก็มีความคิดเช่นเดียวกับโฮล์มส์ เธอเองก็มาจากตระกูลนักเวทย์ดังนั้นเธอจึงเข้าใจดีว่าผู้ที่สามารถสร้างคาถาระดับศูนย์ได้ห้าอย่าง คน ๆ นั้นจะแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ใดและยิ่งเขาเลื่อนระดับสูงขึ้นไปเรื่อยก็ยากที่นักเวทย์ในระดับเดียวกันจะเทียบเขาได้
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าคน ๆ นั้นต้องเป็นอัจฉริยะในรอบ 100ปี
แต่อย่างไรก็ตาม เลอแรนก้ารู้ถึงขีดจํากัดของเมอร์ลินดี ในฐานะที่เขาเป็นพ่อมดพเนจรมากก่อน ลําพังโครงสร้างคาถาที่เขามีก็ไม่เสถียรอยู่แล้ว เขากลับเพิ่มคาถาลงไปอีกโดยไม่ปรุงแต่งใด ๆ ในสายตาของเธอมองว่า เมอร์ลินละทิ้งโอกาสที่จะกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว
แววตาที่เธอมองเขามันเต็มไปด้วยความผิดหวัง