บทที่ 136 ค่ําคืนก่อนรุ่งสาง
“เดอะเมทริกซ์ วิเคราะห์ความเข้ากันได้ระหว่างคาถาเพลิงพิโรธกับคาถาลูกไฟ”
ภายหลังที่เมอร์ลินได้รับผลลัพธ์การวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนต์คาถาเพลิงพิโรธออกมา เขาก็สั่งให้เดอะเมทริกซ์ตรวจสอบความเข้ากันได้ทันที การจะจําลองคาถาสําเร็จหรือมันไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับในส่วนนี้
ปี๊บ ทําการวิเคราะห์เสร็จสิ้น มีรูปแบบ 13,628รูปแบบ ที่ไม่ขัดแย้งกับรูปแบบคาถาลูกไฟ
เดอะเมทริกซ์ทําการวิเคราะห์เสร็จสิ้นในระยะเวลาอันสั้น จากแสนกว่ารูปแบบเหลือเพียงหมื่นกว่ารูปแบบ เมอร์ลินมั่นใจว่าไม่มีนักเวทย์คนไหนที่ทําได้แบบเขาอย่างแน่นอน
แม้เรื่องของความเข้ากันได้จะเพียงทฤษฎีแต่เมอร์ลินก็กลัวว่า หากเขาจําลองรูปแบบที่ความเข้ากันได้ต่ํามันจะทําให้โครงสร้างเวทมนต์ไม่เสถียร
ดังนั้นเขาจึงพิจารณาอย่างรอบคอบ หลังจากตรวจพบว่ามีรูปแบบอันหนึ่งที่มีความเข้ากันได้สูงถึง 91%
ระดับความเข้ากันได้ที่ส่วนใหญ่ที่พวกนักเวทย์ระบุว่าอยู่ในจุดที่ปลอดภัย มันอยู่ที่ 60%
ดังนั้น 91% ถือเป็นตัวเลขที่สูงมากแต่เมอร์ลินได้ลองตรวจอีกทีพบว่า มันความเสถียรค่อนข้างปานกลางอยู่ในลําดับสามร้อยเท่านั้น
ในการสร้างโครงสร้างคาถาระดับนี้ มีเกณฑ์การพิจารณาอยู่ 3อย่าง ความเสถียร พลังและ ความเข้ากันได้ 3อย่างนี้ต้องมีความสมดุลถึงเขาจะเลือกมันมาใช้งาน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่แปลกใจเลยที่นักเวทย์ระดับเริ่มต้นทั่วไปไม่สามารถเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้ แม้ว่านักเวทย์เหล่านั้นจะมีพลังจิตที่สูงพอและได้รับโครงสร้างคาถาระดับหนึ่งมาแล้วก็ตาม
สําหรับเมอร์ลินนั้นเขามีเดอะเมทริกซ์ที่อยู่ในครอบครองของเขา ด้วยการคํานวณสุดอัจฉริยะของมันทําให้เขาสามารถแก้ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดที่เหล่านักเวทย์จะต้องพบเจอ
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า ทําไมเมอร์ลินถึงสามารถแหกกฎเกณฑ์เหนือจินตนาการและกลายเป็นนักเวทย์หกธาตุได้
เมอร์ลินพิจารณาเลือกโครงสร้างเวทมนต์อีกครั้ง เขาไม่สามารถเลือกโครงสร้างที่มีความเข้ากันได้กับคาถาลูกไฟมากที่สุดได้ เนื่องจากมันมีความเสถียรที่ต่ําเกินไป เขาจําเป็นต้องเลือกโครงสร้างเวทมนต์ที่มีความเสถียร ความเข้ากันได้และพลังโจมตีที่ยอดเยี่ยม
ในที่สุดเมอร์ลินก็ได้เลือกโครงสร้างเวทมนต์ที่มีความเข้ากันได้ถึง 81% และความเสถียรอยู่ในยี่สิบอันดับแรกในบรรดาโครงสร้างเวทมนต์นับหมื่นแบบ
หลังจากตัดสินใจเลือกโครงสร้างเวทมนต์แล้ว เขาก็รีบดําเนินต่อในขั้นตอนต่อไปอย่างกระตือรือร้น
เมอร์ลินหลับตาลงอย่างแผ่วเบาและเริ่มปรับเปลี่ยนคลื่นพลังจิตของเขา เขาเริ่มทําการจําลองคาถาเพลิงพิโรธด้วยกําลังทั้งหมดที่เขามี
หลังจากนั้นก็ได้ไปไม่กี่ชั่วโมง เมอร์ลินลืมตาขึ้น สีหน้าของดูตึงเครียดหมดนทาง
“การจําลองล้มเหลว”
สาเหตุที่เขาล้มเหลวเพราะเขาฝืนจําลองมากเกินไป แม้ว่าเขาจะมีพลังจิตจํานวนหนึ่งแต่โครงสร้างคาถาตัวนี้ต้องใช้พลังจิตมากกว่านี้เพื่อจําลอง
มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องใช้พลังจิตในการจําลองโครงสร้างเวทมนต์ เมอร์ลินได้ล้มใส่พลังจิตเข้าไปในการสร้างแต่เขาฝืนได้ครึ่งทางแต่ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้
โชคดีที่เขาได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจ
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องมีพลังจิตมากกว่านี้”
ความล้มเหลวในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากพลังจิตที่อ่อนแอโดยตรง หากเขาจะปรุงน้ํายามนตราอสูรขึ้นมาใหม่เพื่อเพิ่มพลังจิต มันจะทําให้พลังจิตของเขามาที่จะรองรับคาถาระดับหนึ่งได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากเขาเดินหน้าปรุงยาตอนี้ มันก็ไม่ทันงานชุมนุมนักเวทย์แถมตอนนี้เขามีวัตถุดิบในการปรุงยาเพียงแค่สองชุดเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนและทําสมาธิเพื่อเฝ้ารองานชุมนุมที่กําลังมาถึง
10วันผ่านไป ตัวอักษรรูนจํานวนมากได้ปรากฏในกลางห้องของเมอร์ลิน ใจกลางของวงแหวนเวทย์มีใบหน้ามนุษย์โปร่งแสงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา
“เมอร์ลินมาที่ห้องของข้า ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย” เสียงอันแหบแห้งของพ่อมดลีโอดังขึ้น
เมอร์ลินได้นิ่งไปพักนึ่งและนึกขึ้นไปว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันที่จัดงานชุมนุมนักเวทย์ของดินแดนมนต์ดํา เขาจึงแปลกใจที่พ่อมดลีโอมาเรียกในเวลาแบบนี้
เขาได้ลืมตาขึ้นและออกจากห้องไปทันทีและไปที่ห้องของพ่อมดลีโอ
“เข้ามา”
เสียงอันเย็นชาของพ่อมดลีโอได้ดังจากข้างใน เมอร์ลินได้ผลัก
เขาได้มองเห็นดวงตาสีแดงสดบนหน้าผากพ่อมดลีโอได้จ้องมองเขาและกะพริบอย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดจากดวงตาดวงนั้น เขามีข้อมูลของดวงตาแห่งความมืดของพ่อลีโอน้อยมาก เขารู้เพียงแค่ว่ามันมีพลังลึกลับมากอย่างก็ตามเขาไม่ว่ามันมีพลังอะไรบ้าง
จากนั้นดวงตาแนวตั้งได้ปิดลงและพ่อมดลีโอได้พูดขึ้นมาว่า
“ พรุ่งนี้จะเป็นวันงานชุมนุมนักเวทย์ ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ก็เพื่ออธิบายกฎต่าง ๆ ของงานชุมนุมนักเวทย์ให้เจ้าฟัง”
เมอร์ลินพยักหน้ารับ จากนั้นพ่อมดลีโอได้อธิบายกฎต่าง ๆ ให้เมอร์ลิน เขารับฟังทุกอย่างอย่างตั้งใจแต่มีสิ่งหนึ่งที่เมอร์ลินได้ฟังก็รู้สึกสงสัย นั่นก็คือผู้เข้าร่วมงานชุมนุมสามารถต่อสู้ได้อย่างอิสระและยังสามารถใช้พวกอุปกรณ์เวทมนต์ได้
เมอร์ลินรู้สึกว่ามันจะทําให้เขาเสียเปรียบมาก ถ้าหากอีกฝ่ายใช้ม้วนคัมภีร์คาถาระดับหนึ่งหรือระดับสองมา เขามีหวังได้ตกรอบแรกอย่างแน่นอน
ราวกับพ่อมดลีโออ่านใจของเมอร์ลินได้ เขาได้โบกมือและพูดว่า
“ไม่จําเป็นต้องพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมหรือความอยุติธรรม หากเราไปเปรียบเทียบกับพ่อมดพเนจร พวกเขาก็มองว่ามันไม่ยุติธรรมเช่นกันที่พวกเขาต้อยกว่านักเวทย์ที่อยู่ในองค์กรนักเวทย์ แล้วอีกอย่างอุปกณ์เวทมนต์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถเช่นกัน ไม่ว่าใครก็อยากได้อันดับสูง ๆ จริงมั้ย?” จากพ่อมดลีโอได้กล่าวต่อว่า “ส่วนว่านักเวทย์คนไหนจะถูกรับเลือก มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแสดงความสามารถออกไปมากแค่ไหนดังนั้นการพึ่งพาแต่อุปกรณ์เวทมนต์มันไม่ส่งผลดีต่อคนที่ใช้อย่างแน่นอน”
เมอร์ลินพยักหน้า คําพูดของพ่อมดลีโอ มันช่วยทําให้เขาเข้าใจโลกของนักเวทย์มากขึ้น ผู้ที่แข็งแกร่งมีสทธิ์กล่าวอ้างถึงความยุติธรรม ส่วนผู้ที่อ่อนแอก็ต้องอยู่อย่างเงียบๆ ไร้สิทธิ์ไร้เสียงใด
ส่วนงามชุมนุมนักเวทย์มีจุดประสงค์เฟ้นหานักเวทย์ที่เก่งกาจดังนั้นพวกเขาต้องแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้รับการยอมรับ เมื่อได้รู้แบบนี้จึงทําให้เขาไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนั้น
ภายหลังจากที่เมอร์ลินเข้าใจรายละเอียดทุกอย่างแล้ว เขาก็ได้บอกลาและกลับไปที่ห้องของเขา
ภายใต้แสงตะเกียงอันเรืองรอง เมอร์ลินกางกระดาษสีขาวออกบนโต๊ะไม้ เขาถือปากกาขนนกไว้ในมือ เขามองทอดยาวไปในท้องฟ้ายามค่ําคืนในระหว่างทบทวนความทรงจําที่ผ่านมาของเขา
นี่มันก็เกือบปีแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาออกจากเมืองปรากาซอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้ซีเลียกับโคซิออนน่าจะเริ่มหัดเดินแล้ว เขารู้สึกไม่ดีที่ทําหน้าที่พ่อได้ไม่ดี เขาไม่สามารถอยู่กับลูก ๆ ได้ในขณะที่พวกเขาค่อย ๆ เติบโตขึ้น
ตอนนี้เมอร์ลินกําลังเขียนจดหมายหาครอบครัวของเขา เขาสามารถเขียนจดหมายในดินแดนมนต์ดําได้แต่การจะส่งออกไปต้องใช้ 5แต้มสนับสนุน นี่เป็นทางส่งไปทางเดียว ไม่มีส่งกลับเนื่องจากไม่มีสามารถล่วงรู้ตําแหน่งที่แท้จริงของที่นี่ได้
การส่งจดหมายครั้งหนึ่งต้องใช้ถึงห้าหมื่นเหรียญทอง นี่ถึงเป็นการส่งจดหมายที่แพงที่สุดในโลก
ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ตัวเขาแทบจะไม่มีแต้มสนับสนุนสักแต้ม เขาไม่มีทางนํามันมาใช้ส่งจดหมายอย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตามเขาได้รับแต้มสนับสนุนจํานวนมากจากเลอแรนก้า ทําให้เขามีแต้มมากพอที่จะทําอยางนี้ได้
เมอร์ลินจมอยู่ในห้วงของความคิดถึง เขาใช้เวลาอยู่นานก่อนจะเริ่มจรดปากกาขนนก เขียนลงไปบนกระดาษ
“ถึงเชอรีส แอวริลสุดที่รัก”
โปรดส่งความคิดถึงของฉันไปหาท่านพ่อของฉัน ฉันต้องขอโทษพวกเธอด้วยที่ไม่ได้เขียนอะไร ส่งมาหาพวกเธอเลย เนื่องจากการส่งจดหมายที่นี่ต้องใช้เงินจํานวนมาก
จากนั้นก็เกือบหนึ่งปีแล้ว ซีเลียกับโคซิออนเป็นอย่างไรบ้าง ลูก ๆ สบายดีมั้ย ฉันคิดถึงลูกของพวกเรา
ฉันอยู่ในดินแดนมนต์ดํา พวกเธอไม่ต้องกังวล ฉันปลอดภัยดี ก่อนที่ฉันจากเดินทางก่อนจะออกจากเมืองปรากาซ ฉันได้ขอให้เคานต์เซลินกับพ่อมดฮิลล์ช่วยดูแลตระกูลวิลสันและดินแดนของเรา ดังนั้นฉันจึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นที่นั้น
ฉันอาจกลับไปหลังจากสองปี ช่วยส่งข้อความไปยังพ่อมดฮิลล์ด้วยว่า ที่ดินแดนมนต์ดํามียาที่ช่วยทําให้โครงสร้างเวทมนต์คงที่ ฉันจะคิดหาวิธีที่จะได้รับน้ํายาตัวนี้มาและจะนําไปให้คุณ หลังจากสองปี”
เมื่อเขาเขียนถึงตรงนี้ เขารู้สึกว่าไม่มีอัไรเขียนต่อแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เขียนถึงภรรยาทั้งสอง และก็เซ็นชื่อลงท้ายกระดาษ
เมอร์ลินได้อ่านเนื้อหาในจดหมายซ้ําแล้วซ้ําเล่า มันทําให้เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นขึ้นมาในใจของเขา
ตอนนี้จิตใจของเขาผ่อนคลายขึ้นมา มันทําให้เขาพร้อมแล้วสําหรับงามชุมนุมนักเวทย์ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้