ตอนที่ 63
เมื่อซูฮยอนเดินเข้าไปด้านในสำนักงาน เจ้าหน้าที่ก็มาแจ้งข่าวให้แก่ทุกคนที่ยืนรอกันอยู่ ว่าซูฮยอนไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ทำให้คนที่มารอตั้งนานอดเสียใจไม่ได้….
คิมซ็อกจินผู้ไม่รู้จำอะไรต่อไป ได้ยกซิการ์ขึ้นมาดูดอีกแท่ง
“ดูเหมือนเขาไม่อยากผูกมัดกับใครสินะ”
“มันแปลกเหรอครับ?”ผู้ช่วยถาม
คิมซ็อกจินส่ายหัวไปมาก่อนหันไปตอบผู้ช่วยของเขา “ไม่แปลกหรอก ก็สมกับเป็นตัวเขาดี”
“ครับ?”
“นายอย่าลืมสิว่าคิมซูฮยอนหลบอยู่ในมุมมืดมาตั้ง 2 ปี ไม่แปลกที่เขายังไม่อยากเข้าร่วมกิลด์กับใคร ในปัจจุบันผู้ตื่นขึ้น แรงค์ S หลายคนก็ไม่ได้สังกัดอยู่กับกิลด์ไม่ใช่เหรอ ส่วนใหญ่พวกเขามักเป็นทหารรับจ้าง ไม่ก็วนเวียนอยู่กับหอคอยแห่งการทดสอบมากกว่า”
ในกิลด์ริปเปอร์พัคจีย็อนก็มีนิสัยคล้ายๆกับคนอื่น คือเธอสนใจแต่การปีนป่ายหอคอยแห่งการทดสอบเท่านั้น ยกเว้นมีดันเจี้ยนระดับยากโผล่ออกมา เธอจึงจะออกมาจากสู่โลกแห่งความจริง นิสัยเช่นนี้ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เกือบทุกคนเป็นหมด
หากคุณอยากได้แรงค์ S มาครอบครอง มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือการเคลียร์ภารกิจในดันเจี้ยนในได้สมบูรณ์แบบมากที่สุด…
“ทั้งคิมซูฮยอนและพัคจีย็อนต่างก็เป็นคนประเภทเดียวกัน”
“งั้นทำไมเขาถึงพึ่งมาประเมินแรงค์ใหม่ เอาตอนนี้ละครับ”ผู้ช่วยถาม
“อืม…คงเพราะสิทธิประโยชน์ล่ะมั่ง ไม่ก็เรื่องเงิน…”
“แม้แต่รองหัวหน้าก็ยังไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของฝ่ายตรงข้ามสินะ”
“ตามนั้น คนเรามักมีจุดประสงค์ต่างกัน”คิมซ็อกจินพยักหน้าตอบกลับก่อนหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋า
แต่ทันใดนั้นเอง…..มือถือของเขาก็มีสายโทรเข้า รายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เป็นชื่อที่คิมซ็อกจินรู้จักเป็นอยากดี
คิมซ็อกจินยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขากำลังจะโทรไปหาอีกฝ่ายพอดี แต่บังเอิญอีกฝ่ายกับชิงโทรมาหาเขาก่อน..
“ว่าไงครับกิลด์มาสเตอร์”
********************
ซูฮยอนเดินตามหลังเจ้าหน้าที่มาเรื่อยๆจนมาถึงห้องชั้นใต้ดิน
ชั้นใต้ดินถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ พวกมันถูกสร้างมาจากวัสดุที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันพลังเวทย์ไม่ให้รั่วไหลออกไปภายนอก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถป้องกันไม่ให้การระเบิดของพลังเวทย์กระทบขึ้นไปด้านบนอีกด้วย…
ในชั้นใต้ดินมีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 คน พวกเขาทำการตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆเพื่อเตรียมความพร้อมในการประเมิน เมื่อทุกอย่างไม่มีอะไรเสียหาย เจ้าหน้าที่จึงเปิดปากพูด
“ก่อนอื่น ผมขออธิบายข้อกำหนดของแรงค์ S ให้คุณฟังก่อน ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทุกคนจะได้เงินเดือนทุกๆวันที่ 1 ของเดือน ซึ่งทางรัฐบาลจะเป็นคนจ่ายเงินให้กับคุณ แต่มีข้อแม้ว่า ในฐานะที่คุณอยู่แรงค์ S คุณต้องผลัดเปลี่ยนกับผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนอื่นๆ เพื่อมาโจมจีดันเจี้ยนระดับพิเศษที่ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นไม่สามารถจัดการได้ อย่างน้อย 1 ครั้งในรอบ 1 เดือน คุณเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายไปใช่ไหมครับ”
ซูฮยอนไม่ได้ตกใจกับคำอธิบายของเจ้าหน้าที่เพราะเมื่อชีวิตที่แล้วเขาเคยได้ยินมันมาก่อน
ซูฮยอนเลิกสนใจคำพูดของเจ้าหน้าที่ ก่อนหันหน้าไปมองอุปกรณ์ที่ใช้ในการประเมินรอบๆห้องแทน…
<<ดูเหมือนการประเมินจะเป็นเหมือนเดิมกับในอดีตจริงๆ>>
ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ไม่ได้ประเมินแค่ระดับเวทย์กับปัจจัยเวทย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสถิติอย่างอื่นอีกด้วย
ถ้าอยากเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คุณต้องผ่านบททดสอบที่เจ้าหน้าที่กำหนดเท่านั้น และต้องทำมันให้สมบูรณ์แบบ…..แม้ผู้ตื่นขึ้นในปัจจุบันจะอยู่แรงค์ A กันหลายคน แต่ส่วนใหญ่พวกเขามักมาตกม้าตายทุกครั้งเมื่อถึงคิวประเมิน….
“ยังมีเรื่องปลีกย่อยอีกเยอะ ทางเรามีเอกสารให้คุณกลับไปอ่านที่บ้าน”
เจ้าหน้าที่ยืนเอกสารให้กับซูฮยอน หน้าปกของเอกสารถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีทองอร่าม เนื้อหาภายในระบุไว้ว่าผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง ซูฮยอนอ่านแค่ผ่านๆตาก่อนเซ็นชื่อลงบนเอกสาร…
“เรียบร้อยครับ เมื่อไหร่พวกเราจะเริ่มการประเมินครับ”ซูฮยอนพูด
“รอสักครู่นะ ทางเรากำลังตรวจเช็คอุปกรณ์อีกรอบเพื่อความแน่ใจ”
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็ตรวจเช็คอุปกรณ์จนเสร็จ รอบๆตัวของซูฮยอนเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ดูแปลกตา เพราะพวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการประเมินพลังเวทย์โดยเฉพาะ
“อย่างแรกที่พวกเราจะประเมินคือ ระดับเวทย์และปัจจัยเวทย์ของคุณ อย่างที่สองเราจะประเมินความสามารถในการควบคุมพลังเวทย์ อย่างทีสามเราจะประเมินทักษะทางกายภายของคุณ ไม่ทราบว่าคุณใช้อาวุธอะไรได้บ้าง?”
“อาวุธที่ผมใช้ส่วนใหญ่มักเป็นดาบและหอก….”
“ดาบและหอกงั้นเหรอ…คุณคงถนัดการต่อสู้ระยะประชิดสินะ เอาหล่ะงั้นต่อไปสกิลเฉพาะตัวเองคุณคืออะไร?”
“ส่วนเรื่องสกิล…”
เจ้าหน้าที่ถามคำถามกับซูฮยอนไปหลายข้อ ซึ่งซูฮยอนก็ตอบไปตามตรง ว่ากันตามจริงต่อให้ถามข้อมูลสกิลไปเยอะมากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่กล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่
เพราะทักษะและสกิลส่วนใหญ่สามารถพิสูจน์ได้ชัดๆ เฉพาะช่วงต่อสู้จริงเท่านั้น..
“ในเมื่อคุณพร้อมแล้วกรุณาเดินไปที่แท่นประเมินด้วยครับ การประเมินรอบแรกจะดำเนินการโดยใช้ภาพลวงตา”
“มีกฎตายตัวไหมครับ”ซูฮยอนถาม
“เราไม่สามารถบอกได้ คุณต้องหามันด้วยตัวเอง แต่คุณจงจำไว้ว่า เวลาเป็นกุญแจสำคัญ”
เจ้าหน้าทีไม่ได้อธิบายกฎเพิ่มเติม ดูเหมือนผู้ประเมินต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
<<เหมือนในหอคอยแห่งการทดสอบเลยแฮะ>>
ในการประเมินแรงค์ S ทุกประเทศจะใช้ระบบเดียวกัน นั้นก็คือเครื่องจำลองภาพเสมือนจริง
การทำงานของมันก็คล้ายๆกับหอคอยแห่งการทดสอบ เมื่อผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A อยู่ในจุดอิ่มตัว
ถ้าพวกเขาอยากได้แรงค์ S พวกเขาต้องประเมินผ่านเครื่องจำลองเท่านั้น ไม่สามารถใช้วิธีลัดอย่างอื่นได้….
“โปรดก้าวไปที่ แท่นประเมินด้วยครับ”
ซูฮยอนก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นตามคำพูดของเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ที่ใช้ในการประเมินส่วนใหญ่ถูกสร้างมาจากหินอีเธอร์ ซึ่งพลังงานขับเคลื่อนหลักๆของอุปกรณ์ก็เป็นหินอีเธอร์อีกเช่นเคย ดูเหมือนหินอีเธอร์จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ขาดไปไม่ได้
<<อักษรที่สลักไว้อยู่รอบๆ คงเป็นวงเวทย์ภาพลวงตาสินะ>>
จอห์นนี แบรด ผู้ตื่นขึ้นที่มีชื่อเสียงมากๆคนหนึ่ง สกิลที่เขาเชียวชาญมากที่สุดคือภาพลวงตา
เขาเป็นคนที่มีผลงานมากมายจนทั่วโลกต่างในการยอมรับ อุปกรณ์ที่ซูฮยอนกำลังใช้อยู่ก็มาจากผลงานของเขา
ถึงแม้เครื่องที่ซูฮยอนยืนอยู่จะทำให้ ผู้ใช้สามารถอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตาได้ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับสกิลของจอห์นนี แบรดโดยตรง
คนทั่วไปอาจโดนเจ้าเครื่องนี้หลอกหลอนได้ง่ายๆ แต่สำหรับผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ประสิทธิภาพที่แสดงออกมากลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณห้ามขัดขืนต่อพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากเครื่องโดยเด็ดขาด หากคุณปล่อยให้มันหลอมรวมเข้ากับจิตสำนึก เครื่องจะทำงานโดนอัตโนมัติ”
ซูฮยอนพยักหน้าตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ถ้าเขาอยากขัดขืน เขาก็ทำได้ง่ายๆ สำหรับซูฮยอนภาพลวงตาจากเครื่องมือนี้ ไม่สามารถทำอันตรายต่อเขาได้……….
วุซ วุซ
ไม่นานกลไกของอุปกรณ์ก็ถูกเปิดใช้ พลังเวทย์จำนวนมหาศาลถูกปล่อยออกมาจากหินอีเธอร์ ไม่กี่อึกใจพลังเวทย์ก็ซึมซับลงไปในสมองของซูฮยอน
เขาหลับตาลงและซึมซับพลังเวทย์ลงไปที่ละนิด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ผิวหน้าของเขากลับสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆพัดโชยมากระทบตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ซูฮยอนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่าทิวทัศน์ด้านหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม
กา กา กา
เสียงของอีกาดังออกมาจากบนท้องฟ้า ตามพื้นที่ซูฮยอนเหยียบย่ำเต็มไปด้วยหอกจำนวนนับไม่ถ้วน
เมื่อซูฮยอนลองเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า กลับพบว่าท้องฟ้าถูกแต่งแต้มไปด้วยสีดำ
ไม่สิต้องบอกว่ามีนกที่รูปร่างเหมือนอีกกาบินอยู่เต็มไปหมดเลยต่างหาก ทำให้ท้องฟ้าสีครามสดใสถูกบดบังรัศมี
“มันดูเหมือนอีกาก็จริง แต่รูปร่างของมันเหมือน ปักษาทมิฬไม่มีผิด”
ปักษาทมิฬ เป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายๆกับอีกาของโลกมนุษย์ แต่ขนาดตัวของพวกมันใหญ่กว่าหลายเท่า ถ้ามองผ่านๆคนทั่วไปไม่สามารถแยกออกได้เลยว่าพวกมันเป็นปักษาทมิฬหรืออีกากันแน่ เพราะหน้าตาของมันเหมือนกับอีกกาปกติอย่างกับแฝด
ตามสัญชาตญาณของ ปักษาทมิฬ ชีวิตของพวกมันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นการต่อสู้ถ้าไม่จำเป็นพวกมันจึงพยายามเลี่ยง เพื่อรักษาชีวิตในมีอายุยืนยาว ถ้าเราไม่ไปโจมตีมันก่อน มันก็ไม่มีทางโจมตีเรา…
<<พวกมันพยายามเลี่ยงก็จริง แต่ปัญหาคือ ถ้าพวกมันตัดสินใจโจมตี คนที่โดนพวกมันโจมตี คงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะความแข็งแกร่งของพวกมันไม่ใช่เล่นๆ>>
ดูเหมือนซูฮยอนจะพอเดาได้คร่าวๆว่าการประเมินต้องการให้ซูฮยอนทำอะไร
<<ฉันต้องจัดการพวกมันสินะ>>
ซูฮยอนหวนนึกไปถึงคำใบ้ของเจ้าหน้าที่ เขาบอกกับซูฮยอนว่า เวลาเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งมันหมายความว่ายิ่งจัดการกับพวกมันได้เร็ว ผลการประเมินก็ยิ่งดี
ไม่แปลกว่าทำไมบนพื้นถึงมีหอกปักอยู่เต็มไปหมด มันมีไว้สำหรับต่อสู้กับปักษาทมิฬนี้เอง
เมื่อซูฮยอนลองสํารวจพื้นที่รอบๆกลับพบว่า พวกมันถูกสร้างขึ้นมาอย่างจำกัด แม้ว่าสายตาจะเห็นปลายทางทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา แต่มันก็มีจุดสิ้นสุด ที่ต้องทำเช่นนี้เพื่อกันไม่ให้ ปักษาทมิฬ บินออกไปยังบริเวณอื่น…
“พื้นที่แบบนี้ มันเหมาะแก่การอาละวาดจริงๆ”
ซูฮยอนก้มหน้าลงไปหยิบหอกที่ปักอยู่ตามพื้นขึ้นมา ถ้าเขาใช้สกิลกระโดดและสกิลเพลิงพิโรธ
คงสามารถจัดการกับมันได้ง่ายๆ แต่ว่าการประเมินครั้งนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับทดสอบพลังเวทย์
อาวุธที่ซูฮยอนมักใช้เป็นประจำคือดาบกับหอก ฉะนั้นการประเมินครั้งนี้คือการทดสอบความสามารถในขว้างหอกของซูฮยอนอย่างแน่นอน พูดตามตรงมันเป็นการทดสอบที่ค่อนข้างยาก
<<หากอยากจัดการกับพวกมันทั้งหมด ต้องใช่เวลานานแค่ไหน?>>
ปักษาทมิฬขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ดังนั้นการจัดการกับพวกมันจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก พวกมันไม่ทีทางรออยู่เฉยๆ เพื่อรอการโจมตีของซูฮยอนแน่นอน
ซูฮยอนดึงหอกออกมาจากพื้นดิน ก่อนจับหอกเอาไว้แน่น เขาถอยหลังไปเล็กน้อยและขว้างหอกออกไปสุดแรงเกิด
ฟิ้ว
หอกที่ซูฮยอนขว้างออกไปทิ่มทะลุร่างของปักษาทมิฬ 3 ตัวในคราวเดียว
เมื่อเห็นดังนั้นซูฮยอนจึงตัดสินใจใช้มือทั้งสองข้างหยิบหอกขึ้นมาอย่างละเล่ม และขว้างมันไปอีกรอบ
ฟิ้ว
หอกที่ซูฮยอนขว้างออกไป โบยบินไปกับท้องฟ้า และโจมตีปักษาทมิฬโดนเหมือนตอนแรกเป๊ะๆ
“ไม่เกิน 30 นาที ฉันคงจัดการพวกมันได้ทั้งหมด”
*******************
“ผ่านไปกี่นาทีแล้ว?”คิมฮยอนซูหนึ่งในเจ้าหน้าที่ถาม
เจ้าหน้าที่ก้มลงไปดูสักครู่ก่อนตอบกลับ “ผ่านไป 15 นาทีแล้วครับ”
“เหลือเวลาอีก 45 นาที”
“ตามจริงไม่ต้องถามผมก็ได้น่ะครับ เดี๋ยวผมจะรายงานเวลาให้ทุกๆท่านทราบทุกๆ 5 นาทีอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่ 5 นาที แต่ต้องเป็น 10 นาที ถ้าเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง และเจ้าตัวยังไม่ออกมา แสดงว่าเขาทำการประเมินล้มเหลว เมื่อถึงตอนนั้นอย่างลืมทำความสะอาดเครื่องประเมินด้วยล่ะ”
“ได้ครับ”
“อ่าจริงสิ ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว 20 นาที บอกให้เจ้าหน้าที่ไปเช็คความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการประเมินตัวอื่นด้วย เพื่อเขาผ่านการประเมินจริงๆ เราจะได้ประเมินกันต่อเลย”
“รับทราบ”
คิมฮยอนซูกอด-อกพร้อมมองร่างกายของซูฮยอนที่ยืนอยู่บนเครื่องประเมิน ที่ผ่านมา ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทั้งหมด 5 คน เขาเป็นคนประเมินเองกับมือ จะบอกว่า 5 คนก็ไม่ใช่ เพราะมีคนมาประเมินแรงค์ S มากกว่า 10 ครั้ง แต่ผู้ที่ประเมินจนผ่านแรงค์ S ได้มีแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น
ส่วนพวกที่ไม่ผ่านการประเมิน ก็มักถูกคัดออกจากการประเมินรอบแรก..
<<ในอดีตรู้สึกจะมีชายคนหนึ่งอยู่ในนั้นนานที่สุด เพราะเขาใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง…>> แต่คิมฮยอนซูก็จำไม่ได้ว่าเป็นใครเพราะมันเลือนลางเหลือเกิน
สาเหตุที่เขาใช้เวลานานที่สุดเพราะเจ้าตัวไม่สามารถกำจัดภาพลวงตาของตัวเองได้ สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องขอยอมแพ้ เพื่อให้หลุดพ้นจากภาพลวงตาที่แสนน่ากลัวนั้น…
“ส่วนคนที่เร็วที่สุดก็เป็น พัคจีย็อน เธอใช้เวลาไปแค่ 40 นาทีเท่านั้น”
พัคจีย็อนเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เพียงคนเดียวในเกาหลีที่มีอายุน้อยที่สุด ที่สำคัญเธอยังผ่านการประเมินได้เร็วกว่าทุกคน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเธอแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมาตั้งแต่เป็นผู้ตื่นขึ้นมือใหม่
ถึงแม้พัคจีย็อนจะผ่านการประเมินได้เร็วกว่าทุกคน แต่ก็บอกไม่ได้ว่าในบรรดาแรงค์ S ใครเก่งที่สุด เพราะการประเมินจากภาพลวงตาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครจะเจอกับภารกิจยากหรือภารกิจง่าย ก็ขึ้นอยู่กับดวงเท่านั้น ดังนั้นถึงจะทำเวลาได้ดีกว่าคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะเก่งกว่าคนอื่น
แม้จะหาข้อสรุปที่แน่ชัดไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่ก็สามารถเก็บข้อมูลเอาไว้วิเคราะห์อะไรได้หลายอย่างๆ
คิมฮยอนซูหยิบเอกสารของผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ขึ้นมาอ่าน
“ต่อจากพัคจีย็อน ก็คือคว็อนเจฮุน เขาใช้เวลาไป 43 นาที ต่อมาก็จ็องยุนโฮ ใช้เวลาไป 48 นาที และ…..”
ซ่า!!!!!!!
ในขณะที่เขากำลังอ่านเอกสารการประเมินของผู้ตื่นขึ้น เครื่องประเมินที่ซูฮยอนใช้อยู่ ก็เกิดปฏิกิริยา
คิมฮยอนซูรีบปิดเอกสารและเงยหน้าขึ้นไปถามเจ้าหน้าที่
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ผมคิดว่า สกิลในเครื่องประเมินกำลังจะยุติครับ”
“สกิลในเครื่อง? นายหมายถึงสกิลลวงตาใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเครื่องพูดยืนยัน คิมฮยอนซูก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ จนเวลาล่วงเลยไป เขาก็ยังอยู่ในสภาพเดิม
“แล้วเวลาที่ใช้ไป มันผ่านไปแล้วกี่นาที?”
“19 นาทีครับ”
“อะไรนะ 19 นาที!!!!”
เวลาที่ซูอยอนใช้ไปยังไม่ถึง 20 นาทีเลยด้วยซ้ำ สมองของคิมฮยอนซูตกอยู่ในความคิด ในฐานะที่เขาเป็นคนประเมินผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มากหลายคน ทำให้เขารู้ว่าเจ้าเครื่องประเมินมันมาถึงขีดจำกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ที่คิมฮยอนซูต้องถามเจ้าหน้าที่ เพราะเขาต้องการความแน่ใจ……
<<เขาทำได้ยังไงกัน?>>
ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆใช้เวลาไปไม่น้อยกว่า 40 นาที แต่ซูฮยอนกลับใช้เวลาไปแค่ 20 นาที ซึ่งมันเป็นสถิติที่หน้าเหลือเชื่อมากๆ มันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ที่คนหนึ่งๆจะใช้เวลาแค่นั้น….
หินอีเธอร์ซึ่งเป็นแกนหลักของเครื่องประเมินสว่างวาบจนแสบตา มันเป็นเครื่องหมายแสดงว่าการทดสอบสิ้นสุดลงเรียบร้อยแล้ว
“ฟู่”
เมื่อซูฮยอนหลุดพ้นออกมาจากภาพลวงตา เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนหันไปมองคิมฮยอนซูและเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเครื่อง..
“ผมใช้เวลาไปมากแค่ไหน?”
“อ่า…เอ่อ…”เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเครื่องตกอยู่ในอาการอึกๆอักๆ ก่อนหันไปดูตัวเลข “คุณใช้เวลาไป 19 นาที 58 วินาทีครับ”
“เกือบ 20 นาทีสินะ”ซูฮยอนพึมพำออกมาด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนเวลาที่เขาทำไปไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ซูฮยอน ยังไม่รู้ตัวว่าสถิติของตัวเอง ทำให้คิมฮยอนซูอยู่ในอาการตกใจ
เขาหันไปถามคิมฮยอนซูด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“พวกคุณเตรียมการประเมินรอบต่อไปเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วพวกเรามาเริ่มกันต่อเถอะ”
แต่หารู้ไม่ ซูฮยอนเคลียร์การประเมินเร็วเกินไป มันเร็วถึงขนาดเจ้าหน้าที่ยังเตรียมการประเมินรอบต่อไปไม่เสร็จ….