ตอนที่ 57
การเจรจาต่อรองระหว่างซูฮยอนกับผู้อำนวยการลากยาวไปหลายชั่วโมง
ทุกๆครั้งที่ซูฮยอนและผู้อำนวยการต่อล้อต่อเถียงกัน เสียงของคังซึงชอลจะดังออกมาเป็นระยะๆ
ข้อเสนอของซูฮยอนทำให้ผู้อำนวยการตกอยู่ในความลำบากใจ
แต่สุดท้าย ผู้อำนวยการก็ต้องยอมรับข้อเสนอของซูฮยอนอยู่ดี
ความจริงผู้อำนวยการก็ไม่อยากอ่อนข้อให้กับซูฮยอนเลยสักนิด แต่ต่อหน้าผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่มีพลังมหาศาลทำให้เขาได้แต่ประนีประนอมไปก่อน
“เฮ้อ..ไม่อย่าจะเชื่อเลยว่าฉันคนนี้จะเสียท่าให้กับเธอ เธอกำลังแบล็คเมล์ฉันอยู่สินะ”
ใบหน้าของผู้อำนวยการย่นลงด้วยความอารมณ์เสีย
ซูฮยอนเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป “ไม่ใช่หรอกครับ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว คำขอของผมแลกกับข้อมูลในเมืองอันยัง ถ้ามันหลุดออกไปยังโลกภายนอก ท่านคงไม่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ไปนานแล้ว จริงไหมครับ”
“นั่นมัน…”
“อีกอย่างคำขอของผมก็มีนิดเดียวเอง ยกตัวอย่างเช่น….”
การสาธยายของซูอยอนยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งผู้อำนวยการได้ยินมันไปนานๆ กลับรู้สึกว่าอายุของเขาเริ่มได้เวลากลับบ้านเก่าเข้าไปทุกที
คำขอเล็กน้อยงั้นเหรอ…
เล็กน้อยก็บ้าแล้ว…ตั้งแต่เกิดมาผู้อำนวยการถูกเอาเปรียบมากที่สุดก็คือครั้งนี้เป็นครั้งแรก ซูฮยอนเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ เขามีแต่เสียกับเสีย
ผู้อำนวยการจมลงสู่ห้วงความคิด ต่อให้ผ่านไปอีกหลายพันปี เรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ซูฮยอนกุมความลับของผู้อำนวยการไว้ได้…
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เผยแพร่ต่อสาธารณะไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเรื่องแดงออกไป ผู้อำนวยการคงอยู่ไม่สุข
คลิปเสียงการสนทนาระหว่างลีจุนโฮและผู้อำนวยการ….คือจุดอ่อนที่ผู้อำนวยการกลัวมากที่สุด
<<ถ้ามันหลุดออกไปยังภายนอก ไม่ต้องคิดให้มากความ ผู้คนมากมายคงรุมประณามและตะโกนสาปแช่งอย่างไม่ต้องสงสัย>>
ไม่ใช่แค่เกาหลีเท่านั้นที่ประณามเขา แม้กระทั่งคนทั่วโลกคงรุมกดดันเขาให้ออกจากตำแหน่งแน่ๆ
ในเมื่ออันยังมีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 600,000 คน หากไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นมันก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่ถ้ามีเหตุร้ายแทรกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ประชาชนให้เมืองอันยังถึงคราวจมลงสู่โศกนาฏกรรมได้เลย
ฉะนั้นผู้อำนวยการจึงยอมรับข้อเสนอของซูฮยอนแต่โดยดี เพื่อแลกกับการปกปิดคลิปเสียงที่ลีจุนโฮสนทนากับเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเมืองอันยัง…
<<ถ้าผู้อำนวยการหลุดออกจากตำแหน่งจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรยินดี>>
เพราะตอนนี้ผู้อำนวยการมีอำนาจอยู่อย่างล้นมือ ซึ่งอำนาจที่เขาครอบครองสามารถโยกย้ายหรือต่อรองกับผู้อื่นได้สบาย ไม่ว่าจะนักการเมืองหรือประธานาธิบดี
ยอมรับเลยว่าผู้อำนวยการรู้จักนักการเมืองที่มีอำนาจหลายคนและตัวผู้อำนวยการเองก็รับตำแหน่งดูแลสำนักงานมานาน ทำให้มีอำนาจต่อรองกับนักการเมืองได้โดยไม่ลำบาก…แต่ถ้าเขาถูกเตะออกจากตำแหน่งจริงๆเส้นสายที่เคยวางไว้ คงถูกนักการเมืองที่มารับตำแหน่งใหม่…กวาดล้างเส้นสายของเขาทิ้งไป จนอำนาจที่เคยล้นมือกลับหายไป
ซูฮยอนรับปากว่าความลับของผู้อำนวยการจะถูกเก็บไว้ในมุมมืดต่อไป…
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแผนการยึดตัวผู้อำนวยการให้มาเป็นเครื่องมือกำลังดำเนินไปอย่างช้าๆ
ตอนนี้ชะตากรรมของผู้อำนวยการอยู่ในกำมือของซูฮยอนเป็นที่เรียบร้อย
“เอาล่ะ..ในเมื่อข้อเสนอของผม ท่านตกลงรับปาก ผมก็ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยแล้ว ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันครับ”
เมื่อซูฮยอนไม่มีเรื่องอะไรให้พูด เขาก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานโดยไม่หันกลับหลังไปมองสีหน้าผู้อำนวยการเลยสักนิด
ผู้อำนวยการนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยอาการอดกลั้น…เนื้อตัวของเขาเริ่มสั้นเท่าไปด้วยความโกรธ เป้าหมายแรกของคือการชักชวนซูฮยอนในเข้ารวมองค์กรที่สร้างขึ้นมากับมือ แต่พอถึงเวลาจริงใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์ต่างๆมันจะกลับตาลปัตรขนาดนี้
ที่สำคัญไปกว่านั้น จุดอ่อนของเขายังไปอยู่ในมือของเด็กน้อยที่อายุยังไม่ถึง 30 อีก
หากคลิปเสียงถูกปล่อยออกไปบนโลกออนไลน์ สำนักข่าวต่างๆคงเล่นเรื่องของเขาตลอดทั้งวัน
เมื่อถึงเวลานั้นแวดวงนักการเมืองของเขาคงเริ่มถูกสังคมตีตราว่าเป็นคนโกหกปลิ้นปล้อน
ไม่ใช่แค่ในแวดวงนักการเมืองเท่านั้น แม้แต่ประชาชนคนเดินดินคงรุมประณามความไม่รอบครอบของเขาที่ปล่อยให้เหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นโดยไม่ยอมบอกกล่าว แล้วประชาชนจะฝากฝังชีวิตไปกับคนไม่เอาไหนอย่างผู้อำนวยการได้ยังไง…..
“อ๊ากกกกกก”
หลังจากซูฮยอนปิดประตู เสียงร้องโหยหวนก็ดังออกมาจากห้องทำงานของผู้อำนวยการ
ซูฮยอนยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
‘เสียใจด้วยนะผู้อำนวยการ คุณเล่นผิดคนแล้ว’
ข้อเสนอของผู้อำนวยการที่อยากให้ซูฮยอนเข้ารวมองค์กร…มันก็เหมือนกับการทํานาบนหลังคนเพราะมีแค่ซูฮยอนคนเดียวที่ต้องออกแรงมากที่สุด ผู้อำนวยการมีแต่ได้กับได้
ถ้าซูฮยอนเกิดบ้าจี้ตกลงเข้าร่วมกับองค์กรกับผู้อำนวยการ เป้าหมายที่จะยกระดับองค์กรของเขาคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
แต่ผลสุดท้ายเป้าหมายที่วางไว้กลับล้มไม่เป็นท่า
ที่สำคัญผู้อำนวยการยังโดนซูฮยอนแบล็คเมล์อีกต่างหาก ถ้าเขารู้ว่าเรื่องมันจะลงเอยเช่นนี้เขาคงไม่มีทางเชิญซูฮยอนมาหาให้พบวันนี้แน่ๆ
**************************
หลังจากซูฮยอนออกมาจากตึกของสำนักงาน เขาก็สูดหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วปล่อยออกมา
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก..ที่ซูฮยอนได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้อำนวยการแถมเขายังทำให้ผู้อำนวยการจนตรอกอีก..มันไม่มีอะไรสะใจไปกว่านี้อีกแล้ว
ซูฮยอนเดินไปขึ้นรถสปอร์ต ก่อนขับมุ่งหน้าไปยังปักหมุนที่ลีจุนโฮส่งในทางข้อความ
จุดหมายที่ซูอยอนมุ่งหน้าไปคือบ้านพักหลังเล็กที่ก่อตั้งเป็นห้องทำงาน ซึ่งที่ตั้งของมันอยู่ที่ ซินลินดง
ซูฮยอนหันไปดูเลขที่บ้านเพื่อเช็คความแน่ใจ หลังจากทุกอย่างถูกต้องตามข้อมูล เขาก็เอื้อมมือออกไปกดกริ่งหน้าบ้าน
ดิ๊งด่อง
รอไม่นานเสียงตอบรับจากด้านในก็ขานออกมา “ใครกันคะ?”
“ผมเป็นเพื่อนของฮักจุนครับ”
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”
เสียงหญิงสาวที่ฟังดูเสนาะหูตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนัก
ประตูที่ปิดอย่างแน่นหนาค่อยๆเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย
เอี๊ยด
เมื่อเจ้าบ้านโผล่ออกมาจากหลังประตู ซูฮยอนก็เห็นรูปร่างหน้าตาของเธออย่างชัดเจน
เธอมีผมยาวเสมอไหล่ ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวกระจ่างใส่ดุจไข่มุก ที่สำคัญดวงตาของเธอยังดูจิ้มลิ้มน่ารัก
เธอมีอายุ 20 ต้นๆ ซึ่งอายุของเธออยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับฮักจุน
ซูฮยอนพิจารณาสาวน้อยตรงหน้าก่อนถามออกไป “ไม่ทราบว่าเธอคือ ยันซอน ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง”
“ผมเป็นเพื่อนกับฮักจุน ถึงพวกผมจะไม่ได้สนิทกันมากแต่ว่า…”ซูฮยอนเหลือบมองไปยังมือถือของตัวเอง ที่มีข้อความของลีจุนโฮส่งมาให้ “ผมรู้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจ ถ้าไม่รังเกียจ ผมช่วยเหลือเธอได้นะ”
“คุณอยากช่วยฉันจริงๆเหรอคะ”
“เธออยู่บ้านคนเดียวสินะ พวกเราไปหาร้านกาแฟนั่งคุยธุระกับดีไหม”
“นั่นมัน….”
“ไม่ต้องห่วง ผมตรวจดูบริเวณรอบๆแล้ว แถวนี้ไม่มีคนคอยจำตาดูอยู่..ฉะนั้นไม่ต้องกังวลไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฮยอน สายตาของยันซอนก็หนุมวนไปด้วยความหวาดวิตก
เธอกัดริมฝีปากสักครู่ก่อนกลับเข้าไปในบ้านเพื่อใส่รองเท้า “คุณนำทางไปได้เลยค่ะ”
“ได้ครับ เชิญตามมาได้เลยครับ”
ร้านกาแฟที่ซูฮยอนเลือก คือร้านที่อยู่ใกล้ๆกับบ้านของเธอ ซูฮยอนเดินหาโต๊ะนั่งที่ไกลจากสายตาผู้คนให้ได้มากที่สุด
หลังจากกาแฟร้อนๆ 2 แก้วมาเสิร์ฟ ซูฮยอนก็ยกมันขึ้นจิบแล้วถามข้อสงสัยออกไป “เธอเป็นแฟนของฮักจุนใช้หรือป่าว”
“ใช่ค่ะ…พวกเรา 2 คน คบกันในสมัยเรียน”
“เมื่อกี้เธอพูดว่าสมัยเรียนงั้นเหรอ?”
“ค่ะ…ฉันตัดสินใจคบกับเขาตอนอยู่มัธยมปลายปีที่ 2 ถ้านับเวลาที่คบกันมา พวกเราคบกันมาได้ 4 ปีแล้ว”
“อืม…เป็นช่วงเวลาที่วัยหนุ่มสาวมักเจอคู่ครองจริงๆด้วยแฮะ”
เมื่อลองคิดดูดีๆซูฮยอนก็อายุไล่เลียกับวัยหนุ่มสาว แต่เขากลับไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือแม้กระทั้งตอนนี้ ซูฮยอนเคยอ่านเจอให้หนังสือว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม มันสามารถเยียวยาจิตใจที่แสนอ่อนล้าของผู้คนได้เป็นอย่างดี ถ้าซูฮยอนได้สัมผัสกับความรัก ในชีวิตที่แล้วเขาคงไม่จมปลักอยู่คนเดียว
ยันซอนเป็นผู้หญิงที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี เธอไม่ขัดขวางจินตนาการของซูฮยอน แต่เธอกลับนั่งรอเงียบๆด้วยความอดทน หลังจากท่าทีซูฮยอนกลับมาจริงจังอีกครั้ง ยันซอนถึงถามออกไปด้วยความใคร่รู้
“คุณบอกเป็นเพื่อนกับฮักจุน แล้วคุณรู้จักฮักจุนได้ยังไงคะ?”
“อ่อ..พวกเราเคยร่วมงานด้วยกันมาก่อน”
“แสดงว่าคุณเป็นผู้ตื่นขึ้นสินะ”
“ใช่ครับ..แต่ผมบอกรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ทำไม่ได้หรอกนะ เพราะมันซับซ้อนเกินไป มันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ…แต่คุณใช่คิมซูฮยอนหรือป่าว”
ซูฮยอนเบิกตากว้างด้วยความตกใจหลังจากยันซอนรู้จักชื่อของเขา “เธอรู้ได้ไง”
“ฮักจุนเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณในฉันฟังบ่อยๆ ฮักจุนเคยบอกว่ามีรุ่นพี่ที่เขานับถือมากๆอยู่คนหนึ่ง ซึ่งคนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครนอกจาก คุณยังไงล่ะ”
“อ่า…งั้นเหรอครับ”
ยังงี้ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงรู้จักชื่อของเขา แสดงว่าฮักจุนต้องเล่าเรื่องของซูฮยอนให้เธอฟังบ่อยแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเธอคงจำซูฮยอนไม่ได้
<<ก็ดีเหมือนกัน เรื่องราวมันจะได้ง่ายขึ้น>>
ต้องขอบคุณที่เธอเคยรู้จักซูฮยอนมาบ้าง ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่มีทางเชื่อใจคนแปลกหน้าอย่างเขาแน่นอน
ซูฮยอนคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องถามสารทุกข์สุกดิบอีกต่อไป เขาควรมุ่งหน้าสู่ประเด็นที่คาใจไว้เลยดีกว่า
“เอ่อ..จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมจะขอเข้าเรื่องเลย?”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
“คุณยันซอนครับ…ช่วยเล่าสถานการณ์ปัจจุบันของคุณกับฮักจุนให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“สถานการณ์ของพวกเรางั้นเหรอคะ..”
หลังจากได้ยินคำถามของซูฮยอน ใบหน้าที่เคยสดใส่กลับมืดมนลงทันตา
ยันซอนหลับตาลงเพื่อไตร่ตรองอะไรสักอย่าง ใช่เวลาไม่นานเธอก็ลืมตาขึ้นมาแล้วถามซูฮยอน
“ก่อนที่ฉันจะบอกคุณ…คุณช่วยตอบหน่อยได้ไหม ว่าคุณอยากรู้ไปทำไม?”
“ผมบอกเธอไปตั้งแต่ตอนแรกแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“คุณอยากช่วยพวกเราจริงๆเหรอ”
“แน่นอนสิ”
“แต่…เพราะอะไรกัน?”
‘ทำไมเธอจึงถามจู้จี้ขนาดนี้’ซูฮยอนบ่นอุบอิบในใจ
ตอนแรกแววตาของเธอยังเต็มไปด้วยความหวังอยู่เลย ไหงตอนหลังถึงกลายเป็นคนขี้สงสัยไปได้ หรือเธอไม่สามารถเชื่อใจใครได้เพราะเคยโดนหักหลังมาก่อนกันนะ….
เหตุผลที่ซูฮยอนอยากช่วยเหลือฮักจุน มีอยู่ 2 เหตุผล
เหลุผลที่ 1
เพราะซูฮยอนยังไม่อยากปล่อยให้ฮักจุนตกลงสู่ก้นบึ้งแห่งความอำมหิต
และเหตุผลที่ 2
<<สิบปีต่อจากนี้>>
พรสวรรค์และความสามารถฮักจุนจะพุ่งทะยานขึ้นด้วยความรวดเร็ว
และนั่นคือต้นเหตุที่ทำให้อารมณ์ของฮักจุนเริ่มเกิดการแปรปรวน ซูฮยอนพยายามหยุดยั้งเรื่องราวในอนาคตที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ร้ายๆซ้ำรอยเดิมจากในอดีต
ขนาดพรสวรรค์ของฮักจุนตื่นขึ้นยังไม่เต็มที่ แต่เขาก็ยังปีกป่ายจากแรงค์ต่ำสุดไปถึงแรงค์ A โดยใช่เวลาแค่ 2 ปี ในบรรดาผู้ตื่นขึ้นทั้งหมด ฮักจุนเป็นเพียงคนเดียวที่ทะยานขึ้นสู่แรงค์ A เร็วที่สุด
ซูฮยอนอดคิดไม่ได้ว่า ตัวเขาเพียงคนเดียวจะแก้ไขสถานการณ์ฮักจุนได้หรือป่าว
<<แต่ถ้าได้ผู้หญิงตรงหน้ามาช่วย เขาอาจทำมันได้ ก่อนที่ฮักจุนจะเดินไปในทางที่ผิด>>
ซูฮยอนจ้องมองไปยังสายตาของเธอก่อนพูดออกไป “ผมต้องอธิบายเหตุผลให้คุณฟังจริงๆเหรอ ฮักจุนเป็นรุ่นน้องที่รักของผมแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“คุณไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่ใช่ไหม”
“ไม่มีแน่นอน ปัญหาที่เกี่ยวก้องกับพวกคุณอย่างน้อยผมก็พอช่วยได้ ผมคิดว่าคุณคงรู้เรื่องนั้นดีกว่าใครจริงไหม”
“ใช่ค่ะ”
ซูฮยอนผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่ก้าวมาอยู่ในจุดสูงสุดได้ไม่นาน..
ถ้าเธอไม่รู้จักซูฮยอนมาก่อน เธอไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากเขาแน่ๆ แต่ตอนนี้เธอไม่อาจปล่อยมือจากซูฮยอนไปได้ เพราะซูฮยอนอาจเป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยเหลือเธอได้…
ฐานะทางสังคมที่เรียกว่า ‘ผู้ตื่นขึ้น’ คือตัวตนที่ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ แค่คุณอยู่แรงค์ C ก็เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับครอบครัวได้ง่ายๆ แต่ถ้าก้าวไปอยู่แรงค์ S เมื่อไหร่
คุณจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจรองลงมาจากรัฐบาล แม้แต่ทางรัฐบาลยังต้องประนีประนอมกับคุณ…
“คุณจะช่วยพวกเราจริงๆเหรอ”
“ใช่..ผมจะช่วยพวกคุณ”
“พวกเราไม่มีอะไรตอบแทนคุณหรอกนะ แม้แต่เงินพวกเราก็ไม่มีให้คุณ”
“ผมไม่ต้องการของพวกนั่นหรอกครับ ปล่อยมันไปเถอะ ผมช่วยด้วยความเต็มใจ”
“ขนาดฉันบอกไปขนาดนี้แล้ว คุณก็ยัง….”
ยันซอนถามคำถามเดิมๆวกไปวนมา แต่ซูฮยอนก็ยังอดทนตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจังทุกครั้ง..
“ขอบคุณจริงๆค่ะ”
หยาดน้ำตาเม็ดเล็กๆหล่นออกมาจากห่างตาของยันซอน
เธอต้องการคนช่วยเหลือมาโดยตลอด ในที่สุดวันที่เคยฝันไว้ก็มาถึง….
ยันซอนอ้าปากเล็กๆของเธอและเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง จองดงย็อง กับ ฮักจุน ที่เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อไม่นานมานี้ให้กับซูฮยอนฟัง
***************************
เมื่อซูฮยอนรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาก็พายันซอนเดินออกจากร้านกาแฟแล้วอาสาไปส่งที่บ้านเหมือนเดิม
ในตอนนี้สมองของซูฮยอนเริ่มมีความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามา..
<<ในที่สุดเขาก็รู้ได้สักที ว่าทำไมสีหน้าของฮักจุนถึงดูทุกข์ใจ>>
ว่ากันว่าก่อนที่จองดงย็องจะเป็นคนมีชื่อเสียงเช่นนี้ เขาเคยเป็นนักเลงตัวพ่อมาก่อน
หลังจากเป็น ‘ผู้ตื่นขึ้น’ จองดงย็องก็สาบานไว้ว่าจะกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ เพื่อไถ่บาปที่ตัวเองเคยกระทำ แต่มีหรือคนที่เคยเจอกลับจองดงย็องมาก่อนจะเชื่อคำพูดของนักเลงตัวพ่อง่ายๆ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี…การกระทำของจองดงย็องก็พิสูจน์ความดูถูกของทุกคน ด้วยพลังที่แข็งแกร่งของเขาในที่สุดก็สามารถสร้างกิลด์ที่มีความเข้มแข็งขึ้นมาได้สำเร็จ
‘ผู้ตื่นขึ้น’จากวงการใต้ดินอันมืดมิด กลับกล้าละทิ้งสังคมที่เลวทรามเช่นนั้น แล้วออกมาเข้าร่วมกับสังคมโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก…มันเป็นภาพพจน์ที่แฟนคลับของจองดงย็องบรรยายออกมา
แน่นอนว่าบนโลกนี้ไม่สามารถบังคับคนให้คล้อยตามได้…มีประชาชนหลายคนไม่เชื่อว่าจองดงย็องจะวางมือจากวงการใต้ดินจริงๆ พวกเขาตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าจองดงย็องอาจอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายๆบางเหตุก็ได้….ถึงจะมีคำวิจารณ์มากมายถาโถมเข้ามา แต่จองดงย็องก็ปล่อยให้มันผ่านไป
เขายังคงเดินหน้าสร้างภาพให้ตัวเองเป็นคนดีต่อไป เพื่อสลัดคราบอาชญากรที่เคยสร้างไว้ให้หลุดพ้น
แต่ทว่า…
“ดูเหมือนเขาจะหนีออกจากสังคมที่เน่าเฟะเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ อย่างคำที่ว่า [หมามันเคยกินขี้มันก็ยังกินขี้อยู่วันยังค่ำ]”
ทันใดนั้นฝีเท้าของซูฮยอนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
ขณะที่ซูฮยอนจวนจะถึงบ้านของยันซอน เขาสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาทางพวกเขา ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
เมื่อสายตาคู่นั้นรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ซูฮยอนปล่อยออกมา มันก็เคลื่อนย้ายตัวหลบหนีไปในมุมมืดอย่างไร้ร่องรอย
ต้องขอขอบคุณลีจุนโฮที่ส่งข้อความมาบอกว่ามีคนคิดปองร้ายยันซอน ทำให้ซูฮยอนรู้ได้ถึงจิตสังหารของคนเมื่อครู่ที่หลบหนีออกไป
หมับ
ซูฮยอนกำหมัดตัวเองด้วยความรำคาญ
ไม่สิ..ไม่ใช่แค่รำคาญเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความโกรธปะปนมาด้วย
เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าฝ่ายตรงข้ามจะเล่นไม้นี้ ไม่แปลกใจว่าทำไมฮักจุนถึงจมลงสู่ด้านมืดโดยไม่อาจหวนกลับ เพระโลกใบนี้มันโหดร้ายกับตัวเขา และนั่นคือต้นเหตุที่ทำให้จิตใจของฮักจุนถูกความอำมหิตเข้าครอบงำ
ในที่สุดซูฮยอนก็รู้สักทีว่าทำไมกิลด์เทพสงครามถึงถูกฮักจุนตามล้างผลาญ…
ซูฮยอนดึงมือถือจากกระเป๋าขึ้นมาแล้วต่อสายไปหาใครบางคน
ซูฮยอนถือสายรอไม่นาน ก่อนที่ปลายสายจะกดรับ เสียงที่สดใสทักทายซูฮยอนผ่านทางมือถือ
ผู้ที่รับสายก็คือ คิมดูอุย ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A เขาเปรียบเสมือนมือขวาของผู้อำนวยการ เพราะคิมดูอุยเป็นหัวหอกหลักในการดูแลองค์กรที่ผู้อำนวยการสร้างขึ้น
คิมดูอุยให้เบอร์กับซูฮยอนไปเมื่อนานมาแล้ว เผื่อซูฮยอนมีเรื่องร้อนใจอยากขอความช่วยเหลืออจากคิมดูอุย แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปได้ไม่นานซูฮยอนกลับโทรมาหาเขาเอง
“ผมรบกวนคุณอยู่หรือป่าว ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยหน่อย”
“คุณเคยบอกว่ามีเรื่องอะไรที่ขาดเหลือก็โทรมาได้เลย ดังนั้นผมจึงลองโทรหานายดู”
“ว่าไง…ได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
[อืม…บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชําระ ในเมื่อนายมีบุญคุณต่อฉัน ฉันจะช่วยนายหน่อยก็ได้ ว่าแต่เรื่องอะไรที่นายอยากให้ฉันช่วย?]
“ขอบคุณมาก ดูเหมือนฉันจะติดหนี้นายเข้าให้แล้ว”
หลังจากซูฮยอนพูดขอบคุณออกไป เสียงหัวเราะของคิมดูอุยก็ดังออกมาจากมือถือ
เมื่อทุกอย่างกลับมาเงียบสงบซูฮยอนก็พูดเข้าเรื่องโดยไม่รีรอ “ผมอยากให้คุณช่วยคุ้มกันคนรู้จักให้หน่อย พอดีผมจะลงมือทำอะไรสักอย่าง เลยกลัวว่าเธอจะได้รับอันตราย”
[ทำอะไรสักอย่างงั้นเหรอ…นายว่างแผนจะทำอะไรกัน?]
“เอ่อ….”
เมื่อซูฮยอนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้คิมดูอุยฟัง เขาก็พูดออกมาด้วยความตกใจ
“ตามความคิดเห็นของฉัน ถ้าสถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง มันอยู่ในสถานะล่อแหลมจริงๆ ไม่แน่ถ้าเจาะลึกลงไปอีกอาจเจอกับเบาะแสอะไรบางอย่างก็ได้ ทำไมนายไม่ลองสืบสวนดูก่อนละ จะได้ไม่ประมาท”
“ไม่ล่ะผมไม่อยากเสียเวลาไปกับมัน ถ้าวิธีแรกไม่ได้ผล เดี๋ยวผมลองเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น ที่ผมเร่งรีบขนาดนี้เพราะผมอารมณ์เสียนิดหน่อย”ซูฮยอนกัดฟันแล้วพูดตัดจบ
***********************
ฮักจุนสวมใส่ชุดสูทสีดำ จนเขาเหมือนกับนักธุรกิจหนุ่มมาดเข้ม เขากำลังก้าวเดินไปตามโถงทางเดินที่ถูกตกแต่งไปด้วยเพชรนิลจินดา
ที่นี่คือ กิลด์เฮาส์ ของกิลด์เทพสงคราม
ทางกิลด์เทพสงครามได้เช่าตึกหรูแถวย่านคังนัมเป็นสำนักงาน
ซึ่งราคาสำหรับค่าเช่ามันแพงจนคนทั่วไปไม่อยากได้ยิน เพราะพวกเขากลัวเป็นลมล้มพับ
แต่สำหรับกิลด์เทพสงครามค่าเช่าที่จ่ายไปมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ต่อให้เช่าอีก 10 แห่งพวกเขาก็จ่ายไหว เพราะรายได้ที่พวกเขาทำได้มันเยอะจนไม่รู้จะใช้หมดหรือป่าว
ขณะที่ฮักจุนกำลังเดินไปตามทาง เขากลับรู้สึกไม่สบายใจ….
<<บอดี้การ์ดงั้นเหรอ…>>
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ขณะที่ฮักจุนกำลังระบายความโกรธ เขากลับได้รับคำสั่งให้ไปงานเลี้ยงเพื่อเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของพวกสังคมชั้นสูง
เลือดลมภายในของฮักจุนผันผวนไปหมดหลังจากได้ยินคำสั่ง เพราเขาต้องไปเจอกับใครบางคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด
<<ทำไมฉันต้องทำงานเยี่ยงทาสขนาดนี้ด้วย>>
ฮักจุนพยายามลืมเรื่องร้ายๆในอดีต แต่สมองของเขากลับไม่ยอมลบความทรงจำแย่ๆนั้นทิ้งออกไป
<<ไม่แปลกใจว่าทำไมหัวหน้ากิลด์ถึงยังออมมือกับฉัน>>
เพราะตัวฮักจุนยังมีประโยชน์อยู่ เลี้ยงดูปูเสื่อมาตั้งนานจะเขี่ยทิ้งก็เสียดาย สู้เก็บไว้ใช้งานต่อไม่ดีกว่าเหรอ…
<<นอกจากเงินและอำนาจ หัวหน้ากิลด์ ก็ไม่สนใจอะไรเลย แม้แต่ความรู้สึกของลูกน้อง เขายังปล่อยผ่านไปเหมือนพวกเขาเป็นเพียงแค่ธาตุอากาศ>>
ฮักจุกกัดฟันและบ่นพึมพำออกมาด้วยความโกรธ
<<รอให้ถึงคราวฉันบ้างเถอะ ฉันจะ…>>
เขาหลับตาลงและลบความคิดที่มีน้ำโหออกไป
ต่อไปนี้เขาต้องแสดงอารมณ์และท่าทางที่เหมาะสมของบอดี้การ์ดออกมา
เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ‘ยิ้มให้เมื่อเจอกัน’ มันเป็นคำที่ผู้คนทั่วโลกมักใช้กันเสมอ ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาแค่ไหน ขอแค่มีรอยยิ้มความหนักใจที่เคยมี จะถูกรอยยิ้มกลบหายไป
ฉะนั้นฮักจุนจึงปั้นใบหน้ารูปยิ้มขึ้นมาเพื่อกลบสีหน้าบึ้งตึง ถ้าเขามีสีหน้าอาลัยอาวรณ์ภาพลักษณ์ของบอดี้การ์ดคงดูไม่ดี
ฮักจุนตบหน้าของตัวเองเพื่อเรียกสติกลับคืนมา
<<ฉันต้องฝืนทนกับมันให้ได้>>
เมื่ออารมณ์โกรธเคืองของเขาหายไปฮันจุนก็สูบหายใจเข้าลึกๆแล้วปล่อยออกมา
ฮักจุนเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก่อนจะหักเลี้ยวไปทางหัวมุม
แต่สิ่งที่รอเขาอยู่กลับไม่ใช่ทางเดินโล่งๆ….เพราะตรงหน้ามีคนที่ฮักจุนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดียืนดักรออยู่
“โย้ว…มาได้สักทีนะ”
“พี่ซูฮยอน?”
คนที่ดักรออยู่ก็คือซูฮยอน คนที่ฮักจุนเล่าในแฟนฟังเป็นประจำ..
ฮักจุนมองซูฮยอนด้วยความแปลกใจ ถ้าเป็นเวลาปกติซูฮยอนไม่มีทางมาอยู่ในที่แห่งนี้แน่ๆ ตามนิสัยส่วนตัวของซูฮยอน เขามักจมปลักอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบจนหามรุ่งหามค่ำ ถ้าเคลียร์ชั้นของหอคอยไม่ได้เขาไม่มีทางออกมาชมแสงตะวันแน่….
ฮักจุนรีบมุ่งหน้าไปหาซูฮยอนแล้วถามข้อสงสัยออกมา “ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่?”