ตอนที่ 61
จ้าวเฟิง ผู้ตื่นขึ้นจากประเทศจีน กิลด์ที่เขาสังกัดอยู่มีชื่อว่ากิลด์ดัมพ์ ซึ่งกิลด์ที่กล่าวมาขึ้นชื่อเรื่องความเลวทราม สาเหตุที่เขาตัดสินใจมาเยือนประเทศเกาหลี เพื่อมาพบกับจองดงย็องโดยเฉพาะ……
<<คิมซูฮยอน…>>
แต่เมื่อมาถึงสำนักงานของกิลด์เทพสงคราม เขากลับได้ข่าวว่าจองดงย็องโดนซูฮยอนฆ่าไปเมื่อไม่นานมานี้..
<<มันกำลังคิดจะเป็นศัตรูกับกิลด์ดัมพ์อย่างงั้นเหรอ>>
ช่วงที่ผ่านมาซูฮยอนได้ยืมชื่อของกิลด์ดัมพ์มาใช้โดยพลการ จนเกิดการพูดคุยไปทั่วในหมู่ประชาชน
แต่ชื่อของกิลด์ดัมพ์ก็เป็นกระแสได้ไม่นานก่อนที่มันจะซาลง เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นทางกิลด์ดัมพ์เริ่มมีความระวังตัวมากขึ้น ในต่างประเทศ…นอกเหนือไปจากประเทศเกาหลี กิลด์ดัมพ์ เริ่มมีรากฐานที่มั่นคง….
<<ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนใหม่ของเกาหลีงั้นเหรอ…>>
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู่กับฝ่ายตรงข้ามตัวต่อตัว แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ประเมินความสามารถก็ตาม แต่ข่าวจากทางอินเตอร์เน็ต ก็กล่าวกันว่า ซูฮยอนคือผู้ตื่นขึ้น แรงค์ S คนใหม่….
เมื่อลองย้อนไปดูผลงานที่ซูฮยอนเคยสร้างไว้ มันก็สมควรได้รับตำแหน่งแรงค์ S จริงๆ ที่สำคัญการเติบโตของเขามันรวดเร็วเกินไป จนผู้ตื่นขึ้นบางคนต่างสงสัยกันว่าเจ้าตัวใช่ยาอะไรไปหรือป่าว
ถ้าซูฮยอนได้รับการประเมินว่าอยู่แรงค์ S จริงๆ กิลด์ดัมพ์คงมีเรื่องน่าปวดหัวมาอีกเรื่อง
<<ใช่เวลาอีกไม่นาน มันคงก้าวมาเป็นผู้ตื่นขึ้นที่เก่งอันดับต้นๆในประเทศเกาหลี>>
จ้าวเฟิงเฝ้าติดตามซูฮยอนผ่านทางกล้องส่องทางไกล จนเห็นร่างกายของซูฮยอนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถ้าจ้าวเฟิงเข้าไปสังเกตซูฮยอนใกล้ๆ เขาคงโดนซูฮยอนจับไต๋ได้ง่ายๆ
หากจ้าวเฟิงใช่พลังเวทย์ในการติดตาม ซูฮยอนก็คงสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ได้อยู่ดี ฉะนั้นวิธีที่จ้าวเฟิงใช้อยู่จึงเหมาะสมมากที่สุด เพราะซูฮยอนไม่อาจเห็นหน้าคนสอดแนมได้
<<ปล่อยไว้ดีแน่…ฉันต้องบอกเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าทราบเร็วๆ>>
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังวางแผนขั้นตอนต่อไป สายตาของเขาที่กำลังตรึงไปที่ร่างกายของซูฮยอนก็เบิกโพลง
“อะไรกัน..มันหายไปไหน?”
จ้าวเฟิงพยามยามแพนกล้องหาซูฮยอน แต่ไม่ว่าจะหายังไง เขาก็หาไม่เจอ เหมือนตัวซูฮยอนกลมกลืนไปกลับฝูงชน เผลอไปแค่แปปเดียวเป้าหมายกลับหายไป….จ้าวเฟิงลองพยายามลองดูใหม่อีกครั้ง แต่ก็คว้าน้ำเหลว..
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่ามันรู้ว่าฉันกำลังจับตาดูอยู่?”จ้าวเฟิงบ่นพึมพำออกมา
“มันเป็นผีหรือไง ทำไมถึงหายไปเร็วจัง”
ฟรึ่บ
ทันใดนั้น เสียงอะไรบางอย่างก็ดังออกมาจากด้านหลังของจ้าวเฟิง
เขาอดสะดุ้งไม่ได้เพราะอยู่ๆด้านหลังที่เงียบสงบกลับมีการเคลื่อนไหว จ้าวเฟิงค่อยๆหันกลับไปมอง จนเจอใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าที่ว่าคือซูฮยอน เป้าหมายที่หายตัวไปอย่างลึกลับ..
ปัง!!!!
*************************
เมื่อจ้าวเฟิงเริ่มได้สติ หัวสมองของเขากลับมีความมึนงง เนื่องจากนอนหลับนานไป จะว่าหลับก็ไม่เชิง เพราะเขาโดนใครบางคนลอบทำร้ายจนสลบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“อ้าว…ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงตอบกลับเป็นภาษาจีนดังออกมาจากมุมห้องที่มืดมิด จ้าวเฟิงนั่งอยู่กับพื้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะเสียงที่พูดภาษาจีนออกมามันชัดเจน จนเหมือนเป็นเจ้าของภาษามาพูดให้ฟัง
จ้าวเฟิงพยายามยันร่างกายให้ลุกขึ้น แต่ตามร่างกายของเขากลับโดนเชือกพันธนาการเอาไว้ จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
“เปล่าประโยชน์ ไม่ว่านายจะขัดขืนมาแค่ไหน นายก็ไม่มีทางหลุดพ้นไปจากมันได้ เพราะมันถูกสร้างมาจากช่างฝีมือที่เก่งกาจ เพื่อใช้กับผู้ตื่นขึ้นอย่างนายโดยเฉพาะ”
ซูฮยอนเดินออกมาจากมุมมืดและไปนั่งบนโต๊ะด้วยท่าทีผ่อนคลาย ก่อนจะมองไปยังใบหน้าของจ้าวเฟิง
เมื่อจ้าวเฟิงรู้ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงล้มเลิกความคิดและเงยหน้าขึ้นไปมองซูฮยอนด้วยสายตาสั่นเทา ก่อนถามออกไปด้วยความหวาดวิตก
“แกต้องการอะไร?”จ้าวเฟิงถาม
“นายอยู่แรงค์ B ใช่ไหม นายสอดแนมฉันจากระยะไกลๆสินะ แต่ฉันแข็งแกร่งกว่านาย ฉะนั้นไม่แปลกว่าทำไมฉันถึงสัมผัสถึงการมองของนายได้”
จ้าวเฟิงแสดงสีหน้าตกใจออกมาหลังจากอีกฝ้ายพูดภาษาจีนออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเหตุการณ์ต่างๆมันถึงพลิกกลับได้ขนาดนี้
“นายอยู่กิลด์ดัมพ์ใช่หรือป่าว?”
เมื่อซูฮยอนถามออกไป ความเงียบก็ปกคลุมทั่วห้อง…
“สาเหตุที่นายมัวแต่อ้ำอึ้งไม่ยอมพูด แสดงว่าการสันนิษฐานของฉันคงถูกต้องสินะ”
คำพูดของซูฮยอนมันถูกต้องตามที่กล่าวจริงๆ ทำให้จ้าวเฟิงได้แต่นิ่งเงียบพร้อมกัดริมฝีปาก
<<เจ้าบ้านี้ต้องการอะไรกันแน่?>> จ้าวเฟิงคิดในใจ
ก่อนที่ จ้าวเฟิง จะมาประเทศเกาหลี เขาเคยสืบประวัติของซูฮยอนมาบาง..จากการสืบค้นประวัติของซูฮยอน เขาก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ขนาดการศึกษาเขายังออกจากมัธยมปลายกลางคัน จ้าวเฟิงไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมซูฮยอนถึงพูดภาษาจีนได้คล่องปรื๋อเช่นนี้…แถมเจ้าตัวยังรู้อีกว่าจ้าวเฟิงเป็นคนของกิลด์ดัมพ์อีก..
ที่ขาดไปไม่ได้คือประสาทสัมผัสที่แสนเฉียบคมของซูฮยอน ขนาดจ้าวเฟิงแอบดูจากที่ห่างไกล ซูฮยอนยังสัมผัสได้ถึงที่อยู่ของเขา
<<แล้วไอ้เชือกเวรนี้เขาไปเอามาจากไหน อย่าบอกนะว่าเขาเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว?>>
“แก…แกต้องการอะไรจากฉันกันแน่?”จ้าวเฟิงถาม
“ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของศัตรูหรอกนะ ไม่สิ..ถ้าเป็นไปได้แกควรอยู่เงียบๆ รอจนกว่าฉันจะถามดีกว่า”
“ไอ้ปัญยาอ่อน..พูดบ้าอะไรของแก”จ้าวเฟิงตะโกนด่า
ซูฮยอนเดินไปหาจ้าวเฟิงอย่างช้าๆแล้วบีบไหล่ของเขา จนไหลของจ้าวเฟิงเกิดเสียงปริแตกของกระดูก
แต่จ้าวเฟิงกลับไม่ส่งเสียงของออกมาสักนิด เขาพยายามกัดฟันสู้ เพื่ออดทนต่อความเจ็บปวด
เมื่อซูฮยอนเห็นว่าจ้าวเฟิงมีความอดทนสูง เขาก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“โห เป็นคนที่อดทนเก่งจริงๆ”
ในกิลด์ดัมพ์มีคนหลากหลายประเภทอาศัยอยู่รวมกัน ซูฮยอนเชื่อว่าจ้าวเฟิงคงเคยชินกับการทรมาร ฉะนั้นความเจ็บปวดสำหรับเขามันจึงเป็นเรื่องธรรมดา
“ต่อไปนายไม่มีสิทธิ์ถามฉัน นายมีทางเลือกแค่ตอบคำถามของฉันก็พอ ถ้าไม่ตอบฉันจะหักกระดูกของนายไปที่ละซี่”
“ฆ่าฉันซะ”จ้าวเฟิงกล่าว
“ฉะ..ฉันไม่มีทางบอกแกแน่”
ซูฮยอนออกแรงบีบไหล่ของจ้าวเฟิงอีกครั้ง จนเจ้าตัวเผลอส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วงถ้านายไม่ยอมบอกฉัน นายได้ตายสมพรปากแน่ งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่า คำถามขอที่หนึ่ง”
ซูฮยอนโน้มตัวไปหาจ้าวเฟิงแล้วกระซิบข้างหูเบาๆ “ในประเทศเกาหลี มีใครบางที่เกี่ยวข้องกับกิลด์ดัมพ์บ้าง?”
หลังจากซูฮยอนยิงคำถามออกไป อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ ทำให้ห้องลับตกอยู่ในความสงบ….
“จะไม่พูดจริงๆใช่ไหม ดีมาก”
กร็อบแกร็บ
“อะ..อ๊าก”
“ว่าดูกันสิว่าระหว่างนายกันฉัน ใครจะทนได้นานกว่ากัน”ซูฮยอนพูด
ซูฮยอนหักแขนของจ้าวเฟิงโดยไม่คิดให้เสียเวลา เขาทำลายข้อต่อกระดูกอย่างช้าๆเพื่อให้จ้าวเฟิงได้ลิ้มรสความทรมาน เมื่อกระดูกของจ้าวเฟิงแตกหักออกจากกัน
จ้าวเฟิงก็ร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด เขาพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดโดยใช้วิธีการใจดีสู้เสือ แต่ด้วยบาดแผลที่เกิดจากภายใน ทำให้เขาทนกับมันไม่ได้จนเผลอกรีดร้องออกมา..
<<แมร่งเอ้ย…>>จ้าวเฟิงกรีดร้องภายในใจ
ทำไมจินตนาการกับความจริงมันถึงแต่ต่างกันมากขนาดนี้ ไม่เพียงแต่เขาโดนทำร้าย แต่เขายังโดนฝ่ายตรงข้ามพยายามเค้นถามข้อมูลของกิลด์ดัมพ์อีก…
<<ชายคนนี้ กล้าเป็นศัตรูกับกิลด์ดัมพ์ จริงๆเหรอ?>>
สิ่งที่ซูฮยอนทำอยู่มันเป็นเหมือนการประการสงครามกับกิลด์ดัมพ์ชัดๆ
********
การไต่สวนของซูฮยอนกินเวลาไปหลายชั่วโมง รอบๆห้องที่ซูฮยอนอยู่ ถูกล้อมรอบไปด้วยม่านพลังเวทย์ ที่เขาต้องทำเช่นนี้ เพื่อป้องกันเสียงกรีดร้องของจ้าวเฟิง ไม่ให้มันลอยออกไปรบกวนคนอื่น…
เมื่อจ้าวเฟิงไม่ยอมพูดซูฮยอนจะหักกระดูกของจ้าวเฟิงทุกครั้ง ในฐานะที่จ้าวเฟิงเป็นสมาชิกของกิลด์ดัมพ์ ทำให้ซูฮยอนเชื่อว่าข้อมูลที่จ้าวเฟิงมี น่าจะพอคาดเดาอะไรหลายๆอย่างได้. แต่ทว่า…
<<เฮ้อ…เขามีข้อมูลน้อยกว่าที่ฉันคิดไว้อีก>>
เมื่อการการไต่สวนสิ้นสุดจ้าวเฟิงก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาเฮือกใหญ่ แต่ซูฮยอนกลับอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะข้อมูลที่ได้มันมีนิดเดียว จนปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้มาก
“กิลด์ดัมพ์ มีความพยายามตั้งรกรากในประเทศเกาหลี แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่านอกจาก กิลด์เทพสงคราม มีกิลด์อื่นอีกหรือไม่ ที่ติดต่อกับกิลด์ดัมพ์อย่างลับๆ แต่อยากน้อยก็มีข้อมูลสำคัญ เช่นกิลด์จากประเทศจีนเป็นตัวกลางในการเชื่อมสัมพันธไมตรีล่ะหว่างกิลด์ดัมพ์กลับกิลด์เทพสงคราม”
สิ่งที่ซูฮยอนกล่าวออกมา คือข้อสรุปที่ได้มาจากข้อมูลทั้งหมด
ข้อมูลที่มีประโยชน์ชัดๆ มีแค่ 1 อย่างเท่านั้น คือ มีกิลด์บางแห่งในประเทศจีน มีความใกล้ชิดกับกิลด์ดัมพ์อย่างลับๆ…………
<<ดูเหมือนเรื่องราวต่อจากนี้ คงต้องปล่อยให้ผู้มีอำนาจเป็นคนจัดการดีกว่า>>
มันจะมีความชัดเจนมากกว่านี้ ถ้าให้คนมีอำนาจเป็นคนจัดการ เพราะพวกเขามีกำลังสำหรับสืบสวนอยู่แล้ว ถ้าปล่อยให้ซูฮยอนตามสืบเองคงกินเวลานานเกินไป..
<<หวังว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อของพวกมันตามประเทศต่างๆ คงมีคนไปช่วยมั้งนะ>>
กิลด์ดัมพ์ เป็นกลุ่มอาชญากรที่เลวร้ายมากที่สุดในโลก ขนาดสหรัฐอเมริกายังโดนพวกมันเล่นงาน
แม้แต่หน่วยข่าวกรองอย่าง CIA ที่ขึ้นชื่อเรื่องการสืบค้นยังโดนพวกมันปั่นหัว การตามหาที่อยู่ของพวกมันแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะที่ตั้งของกิลด์ดัมพ์ย้ายที่ไปเรื่อยๆจนตามหาตัวได้ยาก
เมื่อกิลด์ดัมพ์ในสหรัฐอเมริกามีอำนาจมากพอ มันจึงมุ่งมั่นขนาดอำนาจไปยังหมู่ประเทศอื่นๆ ซึ่งเกาหลีก็เป็น 1 ในเป้าหมายของมัน แต่โชคยังดีที่กิลด์ดัมพ์สาขาเกาหลียังไม่ได้มีอิทธิพลมากนัก
แต่การกระทำของซูฮยอนเมื่อไม่นานมานี้ ได้ดึงดูดความสนใจจากกิลด์ดัมพ์ทั้งหมด เพราะซูฮยอนกล้าเปิดเผยชื่อกิลด์ให้ประประชนได้รับรู้ แถมยังขัดแข้งขัดขากิลด์ดัมพ์ โดยการกำจัดหัวหน้ากิลด์อย่างจองดงย็อง เพื่อไม่ให้กิลด์เทพสงครามเป็นตัวกลางระหว่างกิลด์ดัมพ์กับเกาหลีอีกต่างหาก
<<ถ้าพวกมันยังกล้ามายังประเทศเกาหลีอีก ฉันจะต้อนรับพวกมันด้วยความยินดี>>
ในตอนที่ซูฮยอนกล้าเอาชื่อกิลด์ดัมพ์ไปใช้อพยพคนในเมืองอันยัง ซูฮยอนก็รู้ชะตากรรมอยู่แล้วว่าพวกมันต้องเพ่งเล็งมาทางเขาอย่างแน่นอน ซึ่งการดึงดูดความสนใจของกิลด์ดัมพ์ก็เป็นสิ่งที่ซูฮยอนต้องการอยู่แล้ว ในเมื่อมีการปะทะกันหนึ่งครั้ง ครั้งที่สองย่อมตามมา…
ซูฮยอนเลือกใช้วิธีไม้แข็งต่อกิลด์ดัมพ์ เพื่อดึงกิลด์ดัมพ์ให้ออกมาจากมุมมืด เมื่อกิลด์ดัมพ์เริ่มทนไม่ไหวต่อการกระทำของซูฮยอน ถึงตอนนั้นพวกมันคงออกมาหาเขาเอง โดยที่ไม่ต้องออกแรงตามหาให้เสียเวลา
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมด ซูฮยอนก็ปล่อยให้จ้าวเฟิงนอนอยู่กับพื้นต่อไป เขาไม่มีเวลามาดูแลศัตรูที่คิดปองร้ายเขาหรอกนะ เพราะซูฮยอนยังมีคนที่ต้องไปหาอีกคน…
หลังจากซูฮยอนกับถึงห้องพัก เขาก็พบกับลีจุนโฮที่กำลังยืนรออยู่หน้าห้อง…
“นายมาช้าจัง?”ลีจุนโฮถาม
หลังจากเสร็จสิ้นการคุ้มกันยันซอน เขาก็มาที่บ้านของซูฮยอนตามที่นัดหมายกันไว้ แต่ดูเหมือนเจ้าของห้องจะมาสายไปหลายนาที
“มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกลางทางนิดหน่อย”ซูฮยอนกล่าว
“เกิดอะไรขึ้น?”ลีจุนโฮถาม
“ฉันไปเจอสมาชิกของกิลด์ดัมพ์มาน่ะสิ”
“กิลด์ดัมพ์?…นายแน่ใจนะ?”
ซูฮยอนเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้น ว่าเขาเจอกับผู้ตื่นขึ้นสมาชิกกิลด์ดัมพ์แห่งสาขาประเทศจีนได้ยังไง…
เมื่อลีจุนโฮได้ฟังสีหน้าของเขาก็มืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด
“กิลด์ดัมพ์คงกำลังจับตาดูนายอยู่สินะ”
“ไม่น่าใช่ ตอนที่ฉันสอบปากคำ เขาบอกว่าในระหว่างทางไปกิลด์เทพสงคราม เขาเจอกับฉันโดยบังเอิญ”
“กิลด์เทพสงคราม? สอบปากคำ? นายไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนนะ?”
“ไม่นะ ฉันสบายดีหายห่วง แต่ฉันได้ข้อมูลบางอยากมาจากการสอบปากคำ นายช่วยตรวจสอบให้หน่อยได้ไหม”
ซูฮยอนเล่าเรื่องเกี่ยวกับจ้าวเฟิงให้ลีจุนโฮฟังทั้งหมด เมื่อได้ยินข้อสรุปที่ซูฮยอนข้อร้อง เขาก็พยักหน้าเข้าใจก่อนถอนหายใจออกมา
“ฉันควรเปลี่ยนอาชีพดีไหมเนี่ย ฉันคิดว่าการเป็นนักสืบมันได้ค่าจ้างเยอะกว่าการเป็นผู้ตื่นขึ้นซะอีก”
“ฉันจ่ายค่าจ้างให้นายได้นะ ถ้านายต้องการ”
“อ่า..ไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับความหวังดี พอดีค่าตัวฉันแพงมากๆ กลัวว่านายจะจ่ายไม่ไหว”ลีจุนโฮกล่าว
ซูฮยอนยิ้มขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของลีจุนโฮ แต่ทันใดนั้นมือถือของเขาก็เด้งแจ้งเตือนข้อความขึ้นมา ซึ่งผู้ส่งก็คือฮักจุน ข้อความที่ส่งมามีแค่คำ [ขอบคุณ] ถึงแม้จะเป็นข้อความสั้นๆแต่ซูฮยอนกลับสัมผัสได้ว่ามันเป็นคำขอบคุณที่ออกมาจากใจฝ่ายตรงข้ามจริงๆ
“จริงสิ นายเห็นคนที่ไปรอใช่ไหม”
“นายหมายถึงฮักจุนใช่ไหม?”
“ใช่”
“แน่ว่าเจอ พวกฉันรออยู่หน้าบ้านได้ไม่ได้นาน เขาก็มาถึงแล้ว แต่รู้อะไรไหมฉันเกือบตายไปแล้ววันนี้”
ลีจุนโฮยกมือขึ้นมาจับลำคอพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ด้วยความสามารถของฮักจุนที่สูงกว่าลีจุนโฮหลายเท่า ถ้าในตอนนั้นฮักจุนอยากหักคอของเขาคงทำได้ง่ายๆ…คิดและก็เสียวไม่หาย
“นายไม่ต้องคิดมาก ฮักจุนคงกังวลว่าพวกนายเป็นศัตรูที่ส่งมาจัดการแฟนสาวก็ได้ เขาเลยทำแบบนั้น”ซูฮยอนพูด
“ฉันรู้ เพื่อเป็นการไถ่โทษเขาต้องเลี้ยงข้าวฉันสักมื้อ ค่อยดูนะฉันจะเลือกอาหารที่แพงที่สุดในร้าน พอบิลเรียกเก็บเงินมาเมื่อไหร่ เจ้ามื้อคงนั่งร้องไห้แน่ๆ ฮ่า ฮ่า”
“เฮ้อ…หยุดความคิดบ้าๆของนายเลยนะ ฮักจุนไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ตั้งแต่เขาทะเลาะกับหัวหน้ากิลด์ ค่าตอบแทนที่ควรได้ เขากลับโดนเบี้ยว ฮักจุนโดนหัวหน้ากิลด์กดดันมาตั้งนาน”
“ใครสนกันหล่ะ ในเมื่อเขาจ่ายไม่ได้ นายก็จ่ายแทนซะสิ ยังไงในอนาคตพวกนาย 2 คน ก็มีอนาคตที่สดใสรออยู่ จ่ายเงินค่าอาหารแค่นิดๆหน่อยๆ ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก ฮ่า ฮ่า”ลีจุนโฮหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย
เป็นที่แน่ชัดว่าฮักจุนเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีแนวโน้มมาอยู่ในตำแหน่งแรงค์ S เพราะไม่ว่าจะความสามารถหรืออายุที่ยังน้อย ทำให้เขายังมีโอกาสพัฒนาตัวเองไปได้อีกไกล
โดยเฉพาะเสี้ยนหนามอย่างจองดงย็องที่ไปเยือนยมบาลเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ภาระที่ฮักจุนเคยแบกรับถูกกำจัดออกไป เมื่อไม่มีเรื่องอะไรต้องมาเป็นห่วงทำให้ฮักจุนสามารถพัฒนาตัวเองได้โดยไร้ความกังวล…
ในที่สุดปัญหาที่ซูฮยอนไม่สบายใจก็ถูกสะสางไปซะที แต่ก็ยังเหลืออีกปัญหาอีกหนึ่งอย่างที่ซูฮยอนต้องทำโดยเร่งด่วน….
“จริงสินายรู้เรื่องเกี่ยวกับพรุ่งนี้แล้วใช่ไหม?”ลีจุนโฮถาม
“ใช่ ฉันรู้”
“ฉันหวังว่าการประเมินครั้งนี้คงจัดขึ้นอย่างเงียบๆ แต่ก็นะ…ไม่แน่บางกิลด์อาจได้ข่าวของนายไปแล้วก็ได้ ดังนั้นหลังจากผลการประเมินออกมา…คงถูกตีแผ่สู่สาธารณะแน่ๆ”
เรื่องที่ซูฮยนอนกับลีจุนโฮกำลังคุยกันอยู่คือ การประเมินแรงค์ใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็นานเหมือนกันที่ซูฮยอนไม่ได้ไปประเมินแรงค์ของตัวเอง ในที่สุดก็ถึงฤกษ์งามยามดีสักที
ซูฮยอนมีความมั่นใจว่าตัวเองอยู่แรงค์ S แน่ๆ ทำให้เขาตัดสินใจไปประเมินแรงค์ใหม่โดยไม่รีรอ เพราะซ่อนความสามารถต่อไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี……….
“น่าจะเป็นแบบที่นายพูดนั่นแหละ แต่ก็นะฉันไม่กังวลอะไรอยู่แล้ว”
แรงค์ S หมายถึงตัวตนที่ทรงพลัง…ผู้ก้าวข้ามผู้ตื่นขึ้นทั้งมวล ซึ่งการได้แรงค์ S คุณต้องได้จากการประเมินเท่านั้น
หากซูฮยอนได้รับการประเมินและอยู่แรงค์ S จริงๆ สิทธิประโยชน์ที่ได้ คงทำให้เขาจัดการเรื่องต่างๆได้สะดวกมากขึ้น
ฉะนั้นลีจุนโฮจึงอดดีใจไม่ได้ อย่างน้อยก่อนตาย เขาก็มีโอกาสจับมือกับแรงค์ S ตัวเป็นๆ
“งั้นพรุ่งนี้ฉันไปหานายที่สำนักงาน ก็แล้วกัน”ลีจุนโฮกล่าว