ตอนที่ 77
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ตื่นขึ้นทุกคน แทบไม่เคยได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงฝีเท้าและเสียงลมหายใจ แต่แล้วอยู่ๆกลับมีเสียงร้องปริศนาร้องออกมา โชคยังดีที่ยังไม่มีเหตุร้ายๆเกิดขึ้น…
“เสียงเหี้ยอะไรวะนั้น?”
“มอนสเตอร์หรือป่าว?”
“ใช่แน่เหรอ?”
ผู้ตื่นขึ้นที่มีประสบการณ์บางคนเริ่มเดาออก ว่าเสียงที่ดังออกมาเป็นเสียงของอะไร…
ผู้ตื่นขึ้นที่มาโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวครั้งนี้ จากกิลด์ต่างๆส่วนใหญ่อยู่แรงค์ B ทำให้พวกเขาไม่สามารถระบุได้ ว่าเสียงได้ยินเป็นเสียงของอะไร…
แม้พวกเขาจะไม่มีประสบการณ์การโจมตีดันเจี้ยนมากนัก แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์การผจญภัยในหอคอยแห่งการทดสอบมาหลายชั้น ทำให้พวกเขาไม่ได้ตื่นกลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า..
“เสียงที่ได้ยิน เหมือนเสียงชุดเกราะกระทบกันเลย”หลังจากลีจุนโฮตั้งใจฟังให้ดีๆ เขาก็รู้ได้ว่ามันเป็นเสียงของอะไร..
ซูฮยอนพยักหน้าและตอบกลับไป “ใช่ มันเป็นเสียงชุดเกราะกระทบกัน”
“ทำไมพวกเราถึงพึ่งมาได้ยินเสียงเอาตอนนี้? ไม่สิ ทำไมพวกเราถึงได้ยินแต่เสียง?”
“มันไม่ใช่เสียงธรรมดา พวกมันเป็นมากกว่านั้น”ซูฮยอนพูด
“อะไรที่มากกว่านั้น?”
“พวกมันมากันแล้ว.”
“อะไรนะ?”
คำตอบชวนงงของซูฮยอน ทำให้ลีจุนโฮเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า….
เมื่อลีจุนโฮเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาก็สักเกตเห็นวัตถุอะไรบางอย่างลอยอยู่บนท้องฟ้า
เขารีบตระโกนเพื่อแจ้งในคนอื่นๆรับรู้ “ทุกคน ดูบนท้องฟ้า เหนือศีรษะของพวกเรา มีวัตถุแปลกด้วย”
“หืม?”
“ด้านบนเหรอ?”
ผู้ตื่นขึ้นรีบเงยหน้าขึ้นไปดูพร้อมกัน ไม่นานพวกเขาก็เห็นเงาขนาดยักษ์และวัตถุขนาดเล็ก เริ่มลอยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“พวกมันเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว”
ปัง ปัง ปัง
ชุดเกราะจำนวนมากร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ทำให้กลุ่มผู้ตื่นขึ้นที่พึ่งรวมกลุ่มกันได้ไม่นาน แตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง หากยังยืนอยู่ที่เดิมมีหวังพวกเขาโดนชุดเกราะหนักๆทับตัวแตกแน่ๆ
เมื่อกลุ่มหลักแตกแยก ทำให้ผู้ตื่นขึ้นจากกิลด์ต่างๆ ไปรวมกลุ่มกันเองโดยให้มีแต่กิลด์ของตัวเองเท่านั้น ดูเหมือนพวกเขาก็ไม่อยากทำงานร่วมกันกับกิลด์ตรงข้ามมากนัก..
<<การตอบสนองของพวกเขาค่อนข้างไว้กว่าที่คิดไว้อีกแฮะ>>ซูฮยอนคิด
ซูฮยอนก้มลงไปดูชุดเกราะที่กองอยู่ตามพื้น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมหลบ นั้นก็คือ ซูฮยอน..
“เฮ้ ซูฮยอน”
“ลองสักเกตชุดเกราะดูสิ”
ลีจุนโฮตระโกนเรียกซูฮยอน ทำให้ผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆ ก้มหน้าลงไปสังเกตชุดเกราะตามคำพูดของลีจุนโฮ…
สิ่งที่เห็น ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพราะชุดเกราะที่ร่วงลงมาเป็นชุดเกราะเปล่าๆไม่มีวัตถุแปลกปลอมอยู่ด้านใน ตอนแรกพวกเขาคิดว่าชุดเกราะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า อาจถูกสวมใส่โดยมอนสเตอร์ แต่เหมือนมันจะไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิดกัน..
“ผีเหรอ?”
“อย่าไปหลงกล มันก็แค่ทริคอะไรบางอย่าง”
“ไม่ต้องกลัว ในดันเจี้ยนมักมีเรื่องแปลกๆเกิดเสมอ”
กิลด์มาสเตอร์จากกิลด์ต่างๆปลอบใจลูกกิลด์ของตัวเองที่กำลังอยู่ในอาการหวาดวิตก ให้กลับมามีขวัญกําลังใจเหมือนเดิม…
หากคนทั่วไปมาเห็นภากนี้ คงอดสรรเสริญกิลด์มาสเตอร์ที่ดูแลและเป็นห่วงลูกกิลด์มากขนาดนี้ไม่ได้…ผิดกลับซูฮยอน ที่ไม่เหลียวแลคนอื่น เขาเอาแค่จดจ่ออยู่กลับสถานการณ์ปัจจุบัน….
“พวกมันเริ่มลอยมาอีก ระลอกแล้ว”
ฉึก!!
ซูฮยอนใช้ดาบในมือทำลายชุดเกราะที่อยู่ใต้เท้า ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน
<<พวกมันลอยออกมาจากเรือลำนั้นสินะ>>
ซูฮยอนเหมือนจะเดาได้คร่าวๆว่าจุดประสงค์ของดันเจี้ยนแห่งนี้ต้องการให้ทำอะไร
เขาเลิกสนใจเรือที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าและหันไปมองชุดเกราะทุกอยู่รอบๆ
“ชุดเกราะที่ขยับเองได้โดยไม่ต้องมีใครสวมใส่ เหมือนในตำนาน อัศวินหัวขาดดุลลาฮานเลยแฮะ แต่ก็มีข้อแตกต่างเล็กน้อย”
ฉัวะ
ซูฮยอนยกดาบขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนตัดชุดเกราะอีกชุด..
ชุดเกราะที่ขึ้นรูปมาจากเหล็ก ถูกดาบของซูฮยอนตัดขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย
ด้านในของชุดเกราะเต็มไปด้วยความว่างเปล่าเหมือนที่ซูฮยอนคิดไว้ มันมีแค่ลวดลายแปลกๆสลักเอาไว้อยู่ด้านในเต็มไปหมด….
ซูฮยอนก้มลงไปหยิบชิ้นส่วนชุดเกราะคิดมา เพื่อตรวจสอบลวดลายที่ว่า…
“ดูเหมือนชุดเกราะทุกตัวจะมีอุปกรณ์วิเศษติดตั้งเอาไว้ และควบคุมการเคลื่อนไหวโดยใช้จิตวิญญาณ”
ชุดเกราะทุกตัวที่กองอยู่กับพื้นมีจิตวิญญาณสิงสถิตอยู่ หากบอกว่าจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในชุดเกราะเป็นมอนสเตอร์ก็ไม่ผิด
<<ฉันคิดว่าคนอื่นๆน่าจะมองออกแล้วนะ ว่าชุดเกราะเคลื่อนไหวได้ยังไง>>
ผู้ตื่นขึ้นที่กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง มองไปที่การกระทำของซูฮยอนด้วยความสนอกสนใจ
เมื่อซูฮยอนผ่าชุดเกราะออกมา ทำให้พวกเขาสังเกตเห็นลวดลายแปลกๆที่สลักไว้ด้านใน..
ในที่สุดพวกเขาก็ไขข้อสงสัยได้สักที ว่าทำไมชุดเกราะถึงเคลื่อนไหวเองได้…
ชุดเกราะที่ตอนแรกดูน่ากลัวและอันตราย กลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัวอีกต่อไป..
“นายจะรังเกียจหรือป่าว หากฉันปล่อยให้นายเป็นคนจัดการต่อ?”ซูฮยอนหันไปถามลีจุนโฮที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ฉันไม่รังเกียจเลยสักนิด”
ลีจุนโฮพยักให้กับซูฮยอน เพราะเขาเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างดี…
ซูฮยอนยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีและยกดาบขึ้นมาเตรียมตั้งท่าโจมตี เพราะชุดเกราะระลอกใหม่เริ่มปิดล้อมพื้นที่ ทำให้พื้นที่ของกลุ่มเริ่มแคบลง…
<<หนึ่ง สอง..>>ซูฮยอนนับเลขภายในใจ
ฉัวะ!!!!
ปัง ปัง
พลังเวทย์ของซูฮยอนระเบิดออกมาจากดาบอีกครั้ง…
พลังเวทย์ที่หมุนวนอยู่รอบๆดาบแกรมสว่างวาบออกมา เหมือนแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์
ผู้ตื่นขึ้นที่ยืนมองรอบนอก…ได้ยินเสียงพลังเวทย์ระเบิดออกมาอย่างชัดเจน
ชุดเกราะนับร้อยที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เมื่อโดยพลังเวทย์ของซูฮยยอน
ชุดเกราะก็ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน จนทำให้รอบๆรัศมี 20 เมตร เต็มไปด้วยชุดเกราะ….
แม้ชุดเกราะทุกตัวจะไม่มีคนสวมใส่และเป็นชุดเกราะที่อ่อนแอ แต่จำนวนของมันเยอะเกินไป
ต่อให้ผู้ตื่นขึ้นแบ่งกลุ่มออกไปทำลายชุดเกราะ พวกเขาก็ทำลายได้ไม่หมดอยู่ดี นอกจากจำนวนชุดเกราะจะเยอะ…ชุดเกราะที่ลอยมาโจมตีพวกเขา ยังลอยมาเร็วอีกด้วย
โชคยังดีที่ดาบของซูฮยอนสามารถตัดชุดเกราะนับร้อยได้ โดยการโบกสะบัดเพียงครั้งเดียว…
“นี้คือของขวัญจากลาของฉัน ก่อนที่ฉันจะไป”ซูฮยอนหันไปพูดกับกิลด์มาสเตอร์ทั้ง 3 คน
เมื่อพูดจบ ซูฮยอนก็กระโดดหายไปจากจุดที่ยืนอยู่..
ทิศทางที่ซูฮยอนกระโดดไป คือเรือลำใหญ่ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า..
คิมแทคฮยอน กิลด์มาสเตอร์ของเรดเดวิล หันไปพูดกับคนข้างๆ “ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทุกคน มีพลังเหมือนกับเขาหรือป่าว?”
พัคโมย็อน กิลด์มาสเตอร์ของแกมเบลอร์ สายหน้าไปมาก่อนตอบคำถามนั้น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แม้กิลด์มาสเตอร์ทั้ง 3 คน จะเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A มาเนิ่นนาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นหลังของผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S บ่อยนัก จนทำให้พวกเขาคิดมาเสมอว่า แรงค์ S หน้าใหม่อย่างซูฮยอน คงมีฝีมือใกล้เคียงกับพวกเขา แต่เมื่อมาเห็นด้วยสายตาของตัวเอง พลังของซูฮยอนเป็นสิ่งที่พวกเขาเทียบไม่ติด…
“พวกเราจะทำอะไรต่อ?”ลีคังฮุยตะโกนตามเพื่อนรวมทีมด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“แน่นอนว่าต้องทำลายชุดเกราะให้หมด”
*******
ฟรึบ ฟรึบ
เรือลำใหญ่อยู่สูงกว่าที่ซูฮยอนคิดไว้มาก หากเขาไม่ใช่สกิลจำแลง อิมูกิ แค่สกิลกระโดดธรรมดาไม่มีทางไปถึง..
“โห้….ใหญ่โตเป็นบ้า”
เรือลำใหญ่ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า สามารถบดบังแสงแดดและก้อนเมฆได้ง่ายๆ เพราะขนาดของมัน ใหญ่เทียบเท่ากับเกาะเล็ก 1 เกาะ
<<ทำไมเรือลำใหญ่ขนาดนี้ถึงรอดพ้นไปจากสายตาของฉันได้? มันโผล่ออกมาจากไหนกันแน่?>>
แม้ซูฮยอนจะไขความลับเรื่องชุดเกราะได้แล้ว ว่ามันออกมาจากเรือลำนี้
แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเรือลำนี้มีที่มาอย่างไร….ใจความสำคัญของดันเจี้ยนระดับสีเขียวแห่งนี้ก็ยังเป็นปริศนาเหมือนเดิม..
<<อืม…ช่างเถอะ เดินหน้าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้คำตอบเอง>>
จุดที่ซูฮยอนยืนอยู่เป็นชั้นล่างสุดของเรือไม่ใช่ดาดฟ้า หลังจากกระโดดมาถึงตำแหน่งของเรือลำใหญ่ เขาก็ใช้ดาบแกรมเจาะรู้ใต้ท้องเรือขึ้นมา จนทำให้ใต้ท้องเรือเกิดรูโบ๋ขนาดยักษ์…
<<ในเรือไม่เห็นมีอะไรเลย?>>
ซูฮยอนเริ่มคิดสงสัยว่ามาเสียเที่ยวหรือป่าว เพราะข้างในมันว่างเปล่าไม่เฟอร์นิเจอร์ประดับเลยสักชิ้น
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นออกเดินสำรวจให้ทั่วใต้ท้องเรือ เพื่อไม่ให้พลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆไป
ไม่นานเขาก็พบบันไดทอดยาวขึ้นไปด้านบน ความยากของมันไม่สามารถหาจุดสิ้นสุดได้…
ตุบ ตุบ
นอกจากเสียงฝีเท้า ในเรือลำนี้ก็ไม่มีเสียงอะไรเลย ด้วยความที่เป็นเรือไม้ ทุกๆครั้งที่ซูฮยอนเหยียบลงไปจะได้ยินเสียงไม้ลั่นตลอด…เดินไต่บันไดไปได้นานพอสมควร ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
“เฮ้อ….ในที่สุดก็ถึงสักที”
ซูฮยอนเอื้อมมือไปด้านหน้าเพื่อเปิดประตู….เมื่อมาถึงดาดฟ้าเรือ ความกว้างของดาดฟ้า ทำให้เขาตกอยู่ในความตกใจ..
พื้นดาดฟ้าที่กว้างขว้างเต็มไปด้วยชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วน แค่มองดูด้วยสายตาเปล่าๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าชุดเกราะที่กองอยู่ที่นี้ เหมือนกับชุดเกราะที่ตกลงไปด้างล่างไม่มีผิด..
“ไม่สิ ไม่ได้มีแต่ชุดเกราะเพียงอย่างเดียว”
ท่ามกลางชุดเกราะที่กองเรียงลายอยู่ตามพื้น สายตาของซูฮยอนกลับมองเห็นว่า มีอยู่ 1 ตัวที่แปลกกว่าเพื่อน เพราะชุดเกราะที่ว่านั่งอยู่บนบัลลังก์ แถมในมือยังถือหมวกเหล็กเอาไว้
<<ดุลลาฮานเหรอ?>>
รูปร่างของมันดูเหมือนกับดุลลาฮานก็จริง แต่มันก็มีข้อแต่ต่างเล็กน้อย โดยปกติ ดุลลาฮาน จะถือศีรษะของมัน ไม่ใช่หมวกเหล็ก…เป็นไปได้ว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอาจเป็นดุลลาฮานตัวจริงแต่มันเกิดการวิวัฒนาการขึ้น ทำให้รูปร่างของมันเปลี่ยนไป หรือไม่มันอาจเป็นตัวปลอม
[เจ้าเป็นศัตรูของข้าใช่หรือไม่?]
เสียงพูดของใครบางคนดังออกมา…แต่เสียงที่ว่ากลับดังออกมารอบทิศทาง ทำให้ซูฮยอนระบุไม่ได้ว่าเสียงดังออกมาจากตรงไหน
ตึก
ในตอนที่ซูฮยอนกำลังสับสนอยู่ว่าเป็นเสียงใคร ดุลลาฮานที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ลุกขึ้นมา..
“เป็นศัตรูหรือป่าวงั้นเหรอ….ผมอาจจะเป็นศัตรูของคุณก็ได้”ซูฮยอนรีบตอบกลับ
[อาจจะงั้นรึ?]
“ผมขอถามคำถามสักขอได้หรือป่าว คำตอบของคุณ อาจทำให้ผมเป็นแขก หรือไม่ ก็อาจเป็นศัตรูกัน”
[ถามมา]
“หากคุณออกไปจากเรือลำนี้ คุณจะออกไปโจมตี คนที่อยู่ด้านล่างใช้หรือป่าว?”
[ถูกต้อง]
เมื่อดุลลาฮานพูดจบ มันก็กำหมัดของตัวเองไว้แน่น เหมือนกำลังแสดงความแน่วแน่ออกมา
[ภารกิจของข้า คือสังหารสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ขว้างหน้า ในเมื่อข้าไม่มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ทุกคนก็ต้องตายในหมด]
ความคิดเห็นของมัน ช่างเป็นความคิดเห็นที่เห็นแก่ตัวจริงๆ ในเมื่อมันไม่สารมารถมีชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติได้ มันจึงตัดสินใจสังหารสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนเท่าเทียมกับมัน..
ซูฮยอนแสดงสีหน้ายับยู่ยี่ออกมาหลังจากได้ยินคำตอบ เขาอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็สายหัวไร้ความคิดนั้นออกมาไป..เพราะมันเป็นคำพูดที่ไร้สาระ
“ให้เมื่อคุณวางแผนจะสังหารสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ขว้างหน้า ทำไมถึงยังถามความเป็นศัตรูจากผมอีก” ซูฮยอนถาม
[เพราะข้าไม่อยากสู้กับเจ้า]
“ทำไม?”
[เจ้ามันอันตรายเกินไป เจ้ามีพลังมากพอ ที่จะส่งพวกข้ากลับบ้านเก่าอีกครั้ง ข้าจึงไม่อยากสู้กับเจ้า]
“งั้นเหรอ….”
พลังที่ดุลลาฮานหมายถึง คงเป็นสกิลเพลิงพิโรธที่ซูฮยอนครอบครอง
แม้จะไม่มีสกิลเพลิงพิโรธ หากทำลายลวดลายหรืออักขระเวทมนตร์ในชุดเกราะได้ ยังไงพวกมันก็ตายอยู่ดี..
แต่ดูเหมือน พวกมันจะกลัวตายอย่างทรมาน จากสกิลเพลิงพิโรธมากกว่า..
“คุณสามารถแยกแยะระหว่างคนอ่อนแอกับคนเก่งได้ โดยไม่ต้องต่อสู้งั้นเหรอ”
[ถูกต้อง เพราะข้าพบเจอประสบการณ์ความตายมาก่อน ทำให้ข้าไม่อยากพบประสบการณ์แบบนั้นอีกแล้ว]
“ทั้งๆที่ตัวเองตายไปแล้ว แต่ก็ยังกลัวความตายอีก?”
[แน่นอน สิ่งมีชีวิตที่ตัวบนโลก กลัวความตายกันทั้งสิ้น]
“แล้วจะสังหารสิ่งมีชีวิตทำไม ไม่คิดบางเหรอ ว่าพวกเขาก็กลัวเหมือนกัน?”
[นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าต้องสังหารพวกเขา ข้าจะสังหารผู้คนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสรสชาติของความตาย เมื่อพวกเขารู้ซึ้งได้ถึงรสชาติของความตาย ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน พวกเขาจะรักชีวิตของตัวเองมากขึ้น]
“ในเมื่อชีวิตของคุณไม่มีความสุข คนอื่นๆก็ต้องไม่มีความสุข นั่นคือสิ่งที่คุณอยากจะสื่อใช่หรือป่าว”
ซูฮยอนพูดไปกัดริมฝีปากไป เพราะคำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขานึกถึงความทรงจำแย่ๆขึ้นมา
ในอดีตคำพูดคล้ายๆแบบนี้ เคยมีคนพูดให้ซูฮยอนฟัง นั้นก็คือ ราชันลิชชี่…
“รู้ไหมแกกำลังทำให้มีน้ำโห”ซูฮยอนพูด
เขามีโอกาสพบมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาสูงส่งมากหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ซูฮยอนเจอมอนสเตอร์ นอกจากความสะอิดสะเอียน เขาแทบไม่มีความรู้สึกอื่นปะปนมาเลย
มอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาต่ำต้อย จะเลือกอยู่แบบสันติ แต่มอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาสูงส่ง กลับเลือกการฆ่าฟัน…ซึ่งเป็นสิ่งที่ซูฮยอนเกรียดมากที่สุด
“ฉันละไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้จริงๆ”ซูฮยอนพูด
คิ้ว!!!!
มิรุร้องเสียงต่ำออกมา เหมือนเข้าใจอารมณ์ของซูฮยอนเป็นอย่างดี
หลังจากหยุดจ้องตากันอยู่นาน ซูฮยอนก็เป็นฝ่ายเริ่มเดินไปหาดุลลาฮานด้วยตัวเอง…
ตูม!!!
พลังเวทย์ที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของซูฮยอน ทำให้ชุดเกราะที่วางเกะกะอยู่ตามพื้นกระเด็นออกไปกองด้านข้างของเรือ ตรงกลางที่เคยมีสิ่งกีดขว้าง ก็ไม่มีสิ่งกีดขว้างอีกต่อไป..
“รู้ไหม ฉันรู้จักคนที่มีนิสัยแบบแกอยู่หนึ่งตัว”
“แล้วมันก็มีนิสัยชั่วช้าเหมือนกับแกไม่มีผิด”
มันเป็นมอนสเตอร์ที่แย่ที่สุดหนึ่งตัวที่ซูฮยอนพอจำความได้…
ราชันลิชชี่ หรือ เทพแห่งความตาย เป็นราชาที่ปกครองลิชชี่ทุกตัว มันแตกต่างจากมอนสเตอร์ทุกตัวที่ซูฮยอนรู้จัก เพราะความแข็งแกร่งของราชันลิชชี่ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น…
สิ่งที่ราชันลิชชี่ชอบทำมากที่สุดคือการทรมานดวงวิญญาณของคนตาย ต่อให้คนผู้นั้นจะตายอย่างทุกข์ทรมาน…ดวงวิญญาณที่ควรไปสุสุขคติ กลับโดนราชันลิชชี่ฉกชิงไปทรมานต่อชั่วกัปชั่วกัลป์….
<<ถ้าฉันฆ่าราชันลิชได้เร็วกว่านี้ คนอื่นๆก็คง…>>
มอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัว มีเอกลักษณ์ที่ค่อนข้างเหมือนกัน…สิ่งที่เหมือนกันคือพวกมันเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ส่วนที่แตกต่างมีแค่ชุดเกราะและหัวกะโหลกเท่านั้น
ทุกครั้งที่ซูฮยอนนึกถึงหน้าราชันลิชชี่ ความโกรธภายในใจของเขาปะทุออกมาตลอด..
“ขอบคุณแกจริงๆ ที่ทำให้ความทรงจำแย่ๆห้วนคืนมา เพื่อเป็นการตอบแทน…”
ปัง!!!!!!
ซูฮยอนปล่อยหมัดออกไปชกชุดเกราะที่กำลังบินมาใกล้ๆ เมื่อชุดเกราะโดนพลังหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังเวทย์ ชุดเกราะเหล็กที่แข็งแรงก็บุบลงไปจนเสียงรูปทรง…
ซูฮยอนยกสายตาที่แหลมคมขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่ดุลลาฮาน….
“ฉันขอปฏิญาณต่อฟ้าดิน ฉันคนนี้จะฆ่าแกให้ได้”