ตอนที่ 68
<<ไข่เทวะได้รับความอบอุ่นงั้นเหรอ…>>
ไข่ใบนี้ทำซูฮยอนปวดหัวมาตลอด เพราะเขาทดสอบฟักไข่โดยใช่วิธีการสุดคลาสสิค แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ซูฮยอนไม่รู้ว่าเจ้าไข่ใบนี้มีประโยชน์จริงๆหรือไม่ เพราะมันยังไม่ฟักเป็นตัวออกมา จนเขาเก็บมานึกเสียใจที่หลังที่เลือกไข่โง่ๆใบนี้มา แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างเขาอยู่บ้าง หลังจากเมอร์เมนซิลค์ตายลง ลำแสงปริศนากลับทำให้ไข่เกิดปฏิกิริยาได้..
<<หรือว่าไข่เทวะ จะมีความเกี่ยวข้องกับพวกเมอร์เมนซิลค์กัน?>>
ไม่…มันไม่สมควรเป็นเช่นนั้น เพราะไข่เทวะและเมอร์เมนซิลค์ ทั้ง 2 สิ่งมันต่างกันเกินไป..
เพราะชื่อที่แท้ของไข่เทวะมีชื่อว่า “สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์” ซูฮยอนไม่รู้ว่าเมอร์เมนซิลค์กำเนิดมาจากไข่หรือป่าว แต่มันก็เป็นเพียงมอนสเตอร์เดรัจฉาน มันไม่มีทางไปเทียบเคียงกับคำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” ได้…
ซึ่งก็หมายความว่า..
สาเหตุที่ไข่เทวะเกิดการตอบสนอง อาจเป็นเพราะเลขของชั้นหอคอยแห่งการทดสอบก็ได้..
ตั้งแต่ถึงชั้นที่ 20 ไข่เทวะที่อยู่ในคลังเก็บของมานานก็เริ่มมีการตอบสนอง แต่พอมาถึงชั้นที่ 21 การตอบสนองของไข่เทวะกลับเด่นชัดขึ้น หากการคาดเดาของซูฮยอนถูกต้อง การฟักไข่เทวะจะไปต่อได้ก็ต่อเมื่อสังหารมอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาในชั้นที่ 21 ..
<<ที่แรกฉันก็อยากจะผ่านดันเจี้ยนแห่งนี้ได้เร็วๆอยู่หรอก แค่เหมือนฟ้ามีตา ใครจะไปคิดว่าจะมีลาภลอยมากองอยู่ตรงหน้า>>
ที่ผ่านมาซูฮยอนคาดหวังฟักไข่เทวะมาโดยตลอด ในเมื่อโอกาสมากองอยู่ตรงหน้า
ชั้นที่ 21 ที่ซูฮยอนอยากทำให้มันจบๆไป ก็กลายมาเป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์สำหรับเขา
<<งั้น….ปัญหาต่อไปที่ฉันต้องกังวลคือ ดันเจี้ยนแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่แค่ไหน>>
ตอนแรกซูฮยอนก็ไม่อยากอยู่ชั้นที่ 21 นานนัก แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
<<หากดันเจี้ยนแห่งนี้ มีขนาดใหญ่มากกว่านี้ ไข่เทวะที่เคยวาดฝันไว้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม>>
หลักจากผ่านการต่อสู้กับเมอร์เมนซิลค์มาหมาดๆซูฮยอนก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี เหตุผลที่เขาอารมณ์ดีเป็นเพราะไข่เทวะแท้ๆ
แม้ซูฮยอนจะมีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่เพื่อนๆอีก 3 คน กลับกำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบแห่งความสับสน
<<วาร์ริคที่ฉันรู้จัก มีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยเหรอ>>
เคซฮุนไรน์คลุกคลีอยู่กับวาร์ริคมาเนิ่นนาน เพราะพวกเขาร่วมมือกันโจมตีดันเจี้ยนมาด้วยกันทั้งหมด 5 ครั้ง และพวกเขาก็เข้าขากันได้เป็นอย่างดี ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจสร้างกลุ่มขึ้นมาเพื่อทำงานร่วมกัน….ฉะนั้นเคซฮุนไรน์จึงแปลกใจกับความแข็งแกร่งของวาร์ริคที่แสดงออกมา
ไม่แปลกใจว่าทำไมเคซฮุนไรน์ถึงมีความสงสัยในตัวของวาร์ริค เพราะตัวตนที่สิ่งร่างของวาร์ริคคือซูฮยอน ไม่ใช่เพื่อนคนสนิทของเขา…
<<ยิ่งไปกว่านั้นระดับความสามารถของวาร์ริคยังสูงกว่า แรงค์ A ปกติอีก..>>
ด้วยทักษะของเคซฮุนไรน์ที่ต่ำเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถมองความสามารถที่แท้ของซูฮยอนออก
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มองไม่ออก แม้แต่ ไอลี ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพลังของซูฮยอนอยู่แรงค์ไหนกันแน่…
หลังจากสัมผัสได้ถึงความเข็มข้นพลังเวทย์ของซูฮยอน
ไอลีที่กังวลมาโดยตลอดก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดเธอก็สามารถยืนยันข้อสงสัยได้สักที…หากนี้คือเขี้ยวเล็บที่ซูฮยอนเก็บซ่อนเอาไว้ เปอร์เซ็นการรอดชีวิตของกลุ่มก็มีมากขึ้น..
“สุดยอดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่านายจะซ่อนเขี้ยวเล็บที่แท้จริงเอาไว้”
ซูฮยอนหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเธอก่อนตอบด้วยท่าทีสบายๆ “ฉันไม่ได้ซ่อนไว้หรอก อย่าลืมสิว่าที่ผ่านมา พวกเราไม่เจอเหตุการณ์ไหนคอขาดบาดตายเท่าที่นี่มากก่อน หากฉันไม่ดึงพลังที่แท้จริงออกมา พวกเราตายกันหมด..”
คำตอบของซูฮยอนเหมือนกับบทพูดของตัวเอกในการ์ตูนแฟนตาซี จะบอกว่าคำตอบของซูฮยอนเหมือนคำพูดอวดดีก็ไม่ผิด หากตั้งใจฟังดีๆมันก็เหมือนจริงๆ… แม้คำพูดจะฟังดูอวดดีไปบ้าง แต่ความสามารถของซูฮยอนก็ช่วยชีวิตของพวกเขา….ทำให้พวกเขาไม่เก็บคำพูดของซูฮยอนมาคิดให้ผิดใจกัน
ตามจริงซูฮยอนไม่ได้อยากโกหกเพื่อนร่วมกลุ่มเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ซูฮยอนพูดความจริงออกไป ยังไงพวกเพื่อนๆก็ไม่เชื่ออยู่ดี ดังนั้นเก็บมันเป็นความลับต่อไปดีที่สุด..
“หยุดสงสัยเรื่องของฉันเถอะ พวกเราควรเดินหน้ากันต่อได้แล้ว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอันตราย เพราะพวกเราไม่รู้ว่าดันเจี้ยนแห่งนี้ใหญ่โตแค่ไหน อ๊ะจริงสิ ต่อจากนี่ฉันจะเป็นผู้นำกลุ่มเอง”ซูฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ไอลีที่ยืนอยู่ข้างซูฮยอนมองไปทางเขาด้วยความแปลกใจ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย ไอลีกลับสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงที่ซูฮยอนเปร่งออกมาเต็มไปด้วยความอารมณ์ดี….แม้เธอจะสงสัยอยู่บ้าง เธอก็ไม่กล้าถาม…
“แน่นอน พวกเราไม่ขัดอะไรอยู่แล้ว ด้วยศักยภาพของนาย ก็สมควรได้รับตำแหน่งผู้นำจริงๆ”
ไม่ว่าซูฮยอนต้องการอะไร หากพวกเขาทำได้ พวกเขาก็จะทำ เพราะความแข็งแกร่งของซูฮยอนเป็นของจริง….ที่สำคัญซูฮยอนยังเป็นเส้าหลักที่คอยคำจุนชีวิตของพวกเขาอีก..
แม้บรรยากาศที่แสนมืดมนจะยังคงอยู่ แต่มันก็เบาบางลงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
หากซูฮยอนไม่ด่วนจากไปก่อน การพิชิตดันเจี้ยนระดับสีเหลืองคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
***************
[ไข่เทวะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น]
[ไข่เทวะได้รับความอบอุ่น]
ทุกๆครั้งที่ซูฮยอนเคลื่อนไหวร่างกาย มอนสเตอร์ที่คอยขว้างทาง จะถูกดาบของซูฮยอนฟันจนขาดครึ่งเสมอ ตามร่างกายของมอนสเตอร์ถูกเปลวเพลิงของซูฮยอนเผาผลาญจนกลายเป็นผงกระดูก..
ไอลีผู้อยู่ใกล้ซูฮยอนมากที่สุด เฝ้าดูการต่อสู้ด้วยอารมณ์อัศจรรย์ ไม่ว่ามอนสเตอร์จะมีเยอะแค่ไหน มันก็ไม่มีทางผ่านคลื่นความร้อนที่ปะทุขึ้นมาจากพื้นดินได้..
กี้ กี้
มอนสเตอร์ประเภทกิ้งก่ากรีดร้องออกมาสุดชีวิต หน้าอกของมันถูกหอกทิ่มทะลุกจนลำไส้ทะลักออกมาข้างนอก ไม่นานพลังชีวิตก็ค่อยๆดับสูญ….
“ใช้ได้เหมือนกันนี่”
“ไม่ถึงขนาดนั้น ฉันฆ่าพวกมันไปแค่ตัวเดียวเอง”ไอลีโบกมือปฏิเสธคำยกยอของซูฮยอน
ในตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง การโจมตีดันเจี้ยนผ่านไปได้ด้วยความราบรื่น แต่มีเพียงแค่ ไอลี เท่านั้นที่ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาได้มากที่สุด
<<สมแล้วที่เธอมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่ม>>
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนอยู่แรงค์ B กันหมด….
เว้นแต่ ไอลี เพียงคนเดียวที่ใกล้เคียงกับแรงค์ A เพราะเธอเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีระดับเวทย์ถึงระดับที่ 5 และด้วยสาเหตุนี้ทำให้ชายอกสามซอก 2 คนที่เหลือ อ่อนด้อยกว่าเธอ…และไร้ประโยชน์
<<จะว่าไปการหาเขตเซฟโซนในดันเจี้ยนประเภทนี้ คงเป็นเรื่องที่ยากเกินไป ที่สำคัญด้านหลังของฉันยังมีกลุ่มคนติดตามมาด้วย ถ้าปล่อยพวกเราไว้ก็เป็นปัญหาอีก>>
เหมือนการกลับสู่โลกแห่งความจริงของซูฮยอนจะต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่เขาก็ไม่กังวลอะไรอยู่แล้ว ต่อให้กลับไป เขาก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ดี….
<<ลุยต่อยาวๆเลยก็แล้วกัน>>
ซูฮยอนหันไปมองเคซฮุนไรน์และฮาวลา ที่กำลังเดินตามอยู่ด้านหลังติดๆ
ไอลีเป็นคนที่ซูฮยอนไม่ห่วงอะไรมาก เพราะเธอมีความสามารถอย่างแท้จริง ถ้าไม่มีซูฮยอนเธอคงกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มไปนานแล้ว ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือเธอคอยสนับสนุนซูฮยอนจากด้านหลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งต่างกับ 2 คนที่เหลือโดยสิ้นเชิง
****************
อย่างที่ซูฮยอนเคยคิดไว้ ส่วนที่ได้มายากที่สุดคงเป็นคะแนนความสำเร็จ…
นอกจากโบนัสคะแนนความสำเร็วที่ได้จากการผ่านการทดสอบแล้ว คะแนนความสำเร็จยังหาได้จากแหล่งอื่นๆอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฆ่ามอนสเตอร์ หรือการเคลียร์บททดสอบให้สมบูรณ์
แม้ที่กล่าวมาจะฟังดูง่าย แต่เอาเข้าจริงกลับยากยิ่งกว่า เพราะคะแนนความสำเร็จมันประเมินจากผลงานของผู้ตื่นขึ้นและระดับที่เลือก
ซูฮยอนเลือกระดับที่ 10 ก็จริง แต่คะแนนสำเร็จจากการฆ่ามอนสเตอร์กลับได้ไม่เยอะ ขนาดเขาตะบี้ตะบันล่ามอนสเตอร์มาตลอดทั้งวัน ก็ยังไม่คุ้มค่าเหนื่อย..
แม้มันจะได้คะแนนไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ทำให้คะแนนความสำเร็จที่พึ่งหมดไปกับอาหารและโพชั่น เริ่มฟื้นฟูกลับมาที่ละนิด…
<<อืม…ฉันคิดว่า ควรพอได้แล้วมั่ง>>
ยิ่งซูฮยอนเดินลึกเข้าไปมากขึ้น มอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาก็พัฒนาความแข็งแกร่งตามไปด้วย แต่เมื่อเขาฆ่าพวกมัน คะแนนความสำเร็จกลับไม่ได้ เหมือนคะแนนความสำเร็จมันมาถึงจุดที่ระบบกำหนดเป็นที่เรียบร้อย…
เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ซูฮยอนยืดเวลาออกไป เพราะไข่เทวะเริ่มมีการตอบสนอง หากการล่ามอนสเตอร์คือการฟักไข่ สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะสมมากที่สุด ถึงแม้ซูฮยอนจะไม่ได้คะแนนความสำเร็จ แต่เขาก็ได้โบนัสอย่างอื่นตอบแทน….
สิบวันผ่านไป…
ตลอดระยะเวลา 10 วันที่ผ่านมา ซูฮยอนผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มก็พาเพื่อนๆออกเดินสำรวจดันเจี้ยนทุกซอกทุกมุม จนเหมือนบ้านหลังที่ 2
ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าพวกเขากำลังอยู่ในดันเจี้ยน พวกเขานึกว่าเป็นการผจญภัยซะอีก
เส้นทางในดันเจี้ยนก็เปรียบเสมือนเขาวงกต แม้ซูฮยอนจะเจอเส้นทางหลัก แต่เขาก็ไม่ยอมไป โดยให้เหตุผลว่าทางข้างหน้าอาจเป็นกับดักก็ได้…
เขาจึงตัดสินใจพาเพื่อนๆเปลี่ยนไปใช้เส้นทางปลีกย่อยแทน…
<<หมดแล้วสินะ>>
ผลจากการสำรวจมาตลอด 10 วัน ทำให้เส้นทางปลีกย่อย ถูกสำรวจจนครบ โดยเฉพาะพวกมอนสเตอร์ หากซูฮยอนเจอหน้าพวกมันเมื่อไหร่ เขามักเป็นฝ่ายกระโจนเข้าหาพวกมันก่อนเสมอ
หลักจากพยายามมาหลายสิบวัน ในที่สุดฝันของเขาก็ใกล้ถึงฝั่ง อัตราการฟักตัวของไข่เทวะ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
[อัตราการฟักตัว : 67%]
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ซูฮยอนสังหารมอนสเตอร์ไปมากกว่า 3000 ตัว ทุกๆครั้งที่ซูฮยอนสังหารมอนสเตอร์อัตราการฟักตัวของไข่เทวะจะเพิ่มขึ้นเสมอ
แม้มันจะเป็นงานที่หนักและอ่อนล้าร่างกาย แต่เพื่อฟักไข่เทวะ พลังงานที่เสียไปทั้งหมดก็ไม่สูญเปล่า..
<<เอาหล่ะ ถึงเวลาปิดฉากสักที่>>
ในดันเจี้ยนตอนนี้เส้นทางปลีกย่อยไม่มีเหลือให้สำรวจอีกแล้ว มันเหลือแค่เส้นทางหลักเท่านั้น ซึ่งเส้นทางหลักที่ว่าซูฮยอนสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นจากพลังเวทย์ หากเดาไม่ผิด มันต้องเป็นเส้นทางพาไปยังห้องของบอสแน่ๆ
“ทุกคน ให้เมื่อไม่มีทางปลีกย่อยให้สำรวจ พวกเราไปเส้นทางหลักกันต่อเถอะ”ซูฮยอนพูด
“ตอนนี้เลย? หากพวกเราเดินไปเส้นทางนั้นจริงๆ ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นเส้นทางใหม่ก็ได้” เคซฮุนไรน์เป็นคนแรกที่ตอบคำพูดของซูฮยอน
“ฉันเห็นด้วยกับนาย แต่ลองไปตรวจสอบดูก็ไม่เสียหาย”ฮาวลารีบสนับสนุนคำพูดของเคซฮุนไรน์
ในระยะสิบวันที่ผ่านมา การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นไปได้ด้วยดี ด้านหลังของสมาชิกในกลุ่มต่างเต็มด้วยเศษหินหลายสิบชิ้น ซึ่งเศษหินที่ว่าก็ไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากหินอีเธอร์ หินเหล่านี่ถูกเก็บขึ้นมาจากการผจญภัยในดันเจี้ยนตลอดระยะเวลา 10 วัน
เหตุผลที่ไอลี ไม่เคยแสดงอาการไม่พอใจต่อการกระทำของซูฮยอน เป็นเพราะเป้าหมายหลักๆของเธอคือหินอีเธอร์….
หินอีเธอร์ที่เก็บเกี่ยวได้ในตอนนี้..มันมากกว่าครั้งก่อนๆมากนัก กลุ่มของพวกเขาต้องขอบพระคุณในการกระทำของซูฮยอน
หากไม่มีเขาหินอีเธอร์คงไม่เยอะขนาดนี้ ซูฮยอนไล่ล่าสังหารมอนสเตอร์ทุกตัวที่ขว้างหน้า ทำให้หน้าที่ของคนที่เหลือไม่มีอะไรทำ นอกจากเก็บเกี่ยวหินอีเธอร์ที่อยู่ตามข้างทาง
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เคยบ่นอิดออดเลยสักครั้ง ถ้าไม่มีหินอีเธอร์พวกเขาคงอยากออกไปจากดันเจี้ยนบ้าๆนี้เต็มทน
“ไม่ ทางข้างหน้ามันควรเป็นจุดจบมากกว่า”ไอลีพูด
ช่างน่ายินดีจริงๆที่อย่างน้อยคำพูดของเขาก็ยังมีคนเข้าใจ…
ซูฮยอนพยักหน้าให้กับไอลีและพูดต่อ “เส้นทางที่ เคซฮุนไรน์ บอกไว้ว่าเป็นทางใหม่ แต่จริงๆแล้วพวกเราพึงเดินผ่านไปเมื่อ 3 วันก่อน แต่ด้วยเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาเหมือนเขาวงกต ทำให้นายไม่ทันสังเกต”
“เมื่อกี่นายพูดว่า เขาวงกตงั้นเหรอ?”
เคซฮุนไรน์และฮาวลาผู้ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย หลังจากได้ยินคำพูดของซูฮยอน พวกเขาก็อดอ้าปากข้างไม่ได้
ยังดีที่ในกลุ่มยังพอมีคนรู้เรื่องอยู่บ้าง… ไอลีเป็นเพียงคนเดียวที่รู้โครงสร้างของดันเจี้ยน เพราะซูฮยอนพาเธอเดินสำรวจดันเจี้ยนทุกซอกทุกมุม หลังจากผ่านมาก 10 วันในที่สุดเธอก็รู้โครงสร้างคราวๆของมัน…
<<เฮ้อ…เจ้าบ้า 2 คนนี่มันสมองจริงๆใช่ไหม หรือเป็นเพราะความโลภ เลยทำให้พวกเขาตาบอด?>>
ที่พวกเขาขาดทักษะการสังเกตก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพวกเขาเป็นผู้ตื่นขึ้น แรงค์ B เพียงเท่านั้น สำหรับซูฮยอนพวกเขาก็เป็นได้แค่พวกมือใหม่
แต่สาเหตุหลักๆที่ทำให้เคซฮุนไรน์และฮาวลาไม่ทันสังเกตโครงสร้างของดันเจี้ยนไม่น่าจะเกี่ยวกับแรงค์ของพวกเขา แต่น่าจะมาจากกองหินอีเธอร์มากกว่า หรือกล่าวให้ชัดเจนมากกว่านี้ คงเป็นเพราะความโลภ เลยทำให้ดวงตาของพวกเขามืดบอด…
“หากการคาดของฉันถูกต้อง ห้องบอสน่าจะอยู่ตรงนั้น เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่เหลืออยู่ หากผ่านห้องบอสไปได้ ทางออกก็น่าจะหาไม่ยาก”ซูฮยอนพูด
“เฮ้อ..เป็นข่าวร้ายสำหรับฉันจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้”เคซฮุนไรน์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะเขายังไม่อยากออกจากดันเจี้ยน ความหวาดกลัวจากในอดีตถูกแทนที่ด้วยความโลภ แม้แต่ ฮาวลา ก็ไม่ต่างกัน
ซูฮยอนหันไปมองสีหน้าของทั้ง 2 คนก่อนพูดเตือนสติ “หากนายมีแรงเหลืออยู่ นายก็ควรคิดหาวิธีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยวอีกแล้ว”
เมื่อสมาชิกในกลุ่มได้ยินคำพูดของซูฮยอน พวกเขาก็หันไปมองหินอีเธอร์ที่ในถุงที่ห่อไว้ด้านหลัง
ในเวลาปกติห้องบอสมักมีหินอีเธอร์มากกว่าจุดอื่นเสมอ ในเมื่อทางข้างหน้ามีทางออกพร้อมกับหินอีเธอร์ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับที่นี่อีกต่อไป..
*******************
เมื่อถ้ำในดันเจี้ยนที่ไม่มีเสียงคำรามจากมอนสเตอร์ มันก็เงียบเหงาลงอย่าเห็นได้ชัด
หลักจากพวกเขาเดินมาได้สักพัก จากถ้ำที่เคยคับแคบก็กลายเป็นห้องโถงขนาดยักษ์
และตรงกลางห้องโถงกลับมีหอคอยทรงกลมตั้งเด่นตระหง่านอยู่ ที่สำคัญรอบข้างหอคอยยังรายล้อมไปด้วยเส้นทางปริศนาอีก 5 ทาง
<<หอคอยงั้นเหรอ?>>
ปัง!!!!
เส้นทางที่พวกเขาพึงเดินเข้ามากลับโดนก้อนหินขนาดยักษ์ปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ ที่สำคัญเส้นทางปลีกย่อยอื่นๆก็ถูกปิดกั้นด้วยเช่นกัน
“อะไรกัน เกินอะไรขึ้น?”
“ทางที่เราพึ่งเข้ามามัน…..”
“แล้วไหนบอสหล่ะ ห้องโถงนี้ต้องเป็นห้องของบอสสิ?”
ทั้งสามคนตกอยู่ในอาการตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสับสน ซูฮยอนก็สังเกตหอคอยทรงกลมที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงอย่างเงียบๆ
<<ห้องบอสกลับไม่มีบอส แล้วยังมีทางแยกอีก 5 ทางงั้นเหรอ>>
ไม่นานห้องโถงที่เคยเงียบงัน…ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมา
[อย่างที่ทุกท่านได้เห็น ด้านหน้าของท่านมีทางแยกมากถึง 5 ทาง และทุกทางยังเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ ท่านมีเวลา 2 ชั่วโมงในการจัดการกับมัน ก่อนที่มอนสเตอร์จะหลั่งไหลออกมาจากเส้นทางนั้น ไม่ต้องห่วงพวกทานมีเวลาเตรียมตัว]
[ทางออกที่แท้จริงของดันเจี้ยน ตั้งอยู่ใต้หอคอย อย่างไรก็ตามทุกๆ 30 นาที คนที่จะออกไปได้มีแค่ 1 คนเท่านั้น]
[ปกป้องหอคอยจากเหล่ามอนสเตอร์ หากหอคอยถูกทำลาย ทางออกจะหายไป]
[การทดสอบจะเริ่มในอีก 5 นาทีต่อจากนี้]
“อะไรวะเนี่ย?”
“ภารกิจเหรอ?”
การโผล่ขึ้นมาของภารกิจพิเศษทำให้ เคซฮุนไรน์ และ ฮาวลา ตกอยู่ในอาการตื่นตะหนัก
ไอลีผู้มีสติมากกว่าคนอื่น หันไปวิเคราะห์ทางแยกทั้ง 5 ก่อนกล่าวเสริม “ดันเจี้ยนที่มีภารกิจในผู้ตื่นขึ้นทำ…อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ดันเจี้ยนแห่งนี้ยากกว่าระดับสีเหลืองทั่วไปมาก”
เหมือนไอลีจะเคยผ่านดันเจี้ยนประเภทนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้นเธอไม่ทางรู้ว่าระดับของดันเจี้ยนแห่งนี้สูงกว่าระดับปกติ…
ซูฮยอนเลิกสนใจเธอ ก่อนหันไปสังเกตบริเวณหอคอย ซึ่งตรงกลางมีช่องว่างอยู่…
<<ตรงนั้น คือทางออกสินะ?>>
เมื่อซูฮยอนลองเพ่งสายตาดูดีๆกลับพบว่า ฐานของหอคอยเต็มไปด้วยอักขระเวทมนตร์ที่ดูซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ แล้วยังมีก้อนหินรูปทรงแปลกตาวางเรียงรายกันอยู่ตามพื้น ซึ่งซูฮยอนเชื่อว่า มันน่าจะเป็นแก่นพลังงานหลักในการขับเคลื่อนอักขระ เพื่อพาพวกเขาออกไปจากที่นี่..
<<ภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ส่วนสิ่งที่ต้องป้องกันก็เป็นทางออกหลักอีก…ตัวแปรสำคัญในการผ่านภารกิจครั้งนี้ก็คือ…>>
“ทุกคนลองดูด้านหน้าสิ พวกมันเป็นหินอีเธอร์ไม่ใช่เหรอ”เคซฮุนไรน์ที่กำลังมองทางออกอยู่ๆก็ตะโกนเสียงดังออกมา ทำให้ฮาวลาและไอลี หันไปมองทางออกอีกรอบ..
“ทั้งหมดเลยเหรอ จริงดิ?”
“เป็นไปไม่ได้…ดันเจี้ยนแห่งนี้กลับมีหินอีเธอร์มากขนาดนี้เลยเหรอ แถมคุณภาพของมันยังสูงอีกต่างหาก”ไอลีพูด
คำกล่าวของไอลีถูกต้องทุกประการ
ดันเจี้ยนแห่งนี้ไม่น่ามีหินอีเธอร์มากขนาดนี้ แค่เศษหินอีเธอร์ที่รวบรวมมาตลอดระยะเวลา 10 วัน ก็เยอะกว่าดันเจี้ยนอื่นๆมากแล้ว แต่ภายใต้หอคอยกลับมีหินอีเธอร์กองอยู่อีกเป็นย่อมๆ แถมคุณภาพของมันยังสูงกว่าของพวกเขาเยอะมาก….
ไอลีผู้อ่านตำรามาเยอะ ทำให้เธอมีความรู้เกี่ยวกับดันเจี้ยนและหินเธอร์มากว่าคนอื่น แม้เธอจะพาดันเจี้ยนมาหลายแห่ง แต่เธอก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน….
“ถ้าการคาดเดาของฉันไม่ผิด คุณภาพของมันสูงกว่าระดับกลางทั่วไป และยังมี…”
ไอลีมองไปที่อักขระเวทมนตร์ ก่อนที่สายตาของเธอจะเบิกโพลง เพราะใจกลางของอักขระมีหินสีสันสดใสประดับไว้อยู่…
“หินอีเธอร์ระดับสูงสุด!!!!”
ไม่ได้มีแค่ระดับกลางเท่านั้น แต่ยังมีระดับสูงด้วย
ด้วยจำนวนหินอีเธอร์ที่มีมากขนาดนี้ สามารถทำให้คนตาบอดด้วยความโลภได้ง่ายๆ
น่าเสียดายที่ซูฮยอนไม่ใช่คนจากโลกใบนี้ ทำให้เขาไม่มีสิทธิ์เตะต้อง นอกตาดูเขาก็ทำอย่างอื่นไม่ได้…
<<ฉันอยากได้พวกมันก็จริง แต่หากอยากนำหินอีเธอร์ออกไปยังโลกแห่งความจริง คงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง หากฉันสกัดพวกมันได้ล่ะก็ ฉันคงเอาพวกมันไปยังโลกแห่งความจริง แต่มันก็เสียเวลามากเกินไป>>
อย่างไรก็ตาม เหมือนซูฮยอนจะหาตัวแปรสำคัญที่ทำให้เขาผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้แล้ว
เขาหันหน้าไปมองสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งทุกคนต่างแสดงสีหน้าโลภมากออกมาโดยไม่ปิดบัง แม้แต่ไอลีที่มักเย็นชาเสมอก็ไม่ต่างกัน…