ตอนที่ 89
เมื่อได้ยินคำถามจอร์แดน ฮักจุนรีบเหลียวมองไปข้างตัว เขากระพริบตาปริบๆหลายครั้ง ก่อนพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เอ๊ะ? เมื่อกี้เขายังยืนอยู่ข้างผมอยู่เลย เผลอแป๊ปเดียวหายไปไหนซะแล้ว?”
ฮักจุนไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของจอร์แดน เพราะระดับภาษาอังกฤษของเขาอยู่ที่ระดับ งูๆปลาๆ เยส โน โอเค
แต่ก็พอเดาความหมายได้ ว่าจอร์แดนกำลังถามอะไร เขาได้ยินคำว่า [ซู-ฮยอน] ออกมาจากปาก แสดงว่าจอร์แดนต้องถามหาซูฮยอน ที่เคยยืนอยู่ข้างตัวเขา ตอนอยู่ด้านหน้าปากทางเข้าดันเจี้ยนแหง่ๆ
สายตาของผู้ตื่นขึ้นหลายสิบคนหันขวับมามอง ฮักจุนรู้สึกว่าหัวใจดวงเล็กๆกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง…
“คิมซูฮยอนอยู่ไหน?”
“เอ่อคือ…ภาษาอังกฤษของผมไม่แข็งแรง…”
ดูจากท่าทางลนลานของฮักจุน ถามต่อไปก็มีแต่เปลืองน้ำลาย หยุดการพูดคุยไว้แต่เพียงเท่านี้ดีที่สุด…
จอร์แดนขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ จากกิริยาของฮักจุน เขาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าซูฮยอนหายไปไหน
<<ไม่ใช่แค่ซูฮยอนคนเดียว ชายสวมหมวกบักเก็ตก็หายไปด้วย>>
ทั้ง 2 คนหายไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน…
สาเหตุที่พวกเขาหายไปพร้อมกัน ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างซ่อนอยู่…
จอร์แดนหันหน้าไปมองโคลอี้…ซึ่งหล่อนก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาเหมือนกัน
<<ที่เธอแสดงอาการตกใจ เพราะเป็นชายสวมหมวกบักเก็ตหายไปใช่หรือป่าว>>
จอร์แดนเพ่งสายพินิจโคลอี้ราวกับนักสืบ ไม่นานเขาก็ละสายตากลับมา…
<<หรือที่เธอตกใจ เพราะชายสวมหมวกบักเก็ตไม่ได้หายไปคนเดียว แต่ซูฮยอนก็หายไปด้วยเหมือนกัน?>>
กี้!!!! กี้!!!!
เสียงร้องโหยหวนของนกดังก้องไปทั่วพื้นป่า…
เสียงที่ฟังแล้วจิตใจหดหู่เช่นนี่ มีแค่ ปักษาทมิฬ เท่านั้นที่เปล่งออกมาได้…
*****************
กี้!! กี้!!
ฉัวะ
ร่างปักษาทมิฬถูกของมีคมสะบั้นขาดครึ่งกลางอากาศและทิ้งดิ่งลงสู่พื้นดิน…
พืชพันธ์เขียวชอุ่มด้านล่าง ถูกเลือดของปักษาทมิฬฉาบย้อมให้กลายเป็นสีแดง
ชายที่สังหารปักษาทมิฬตัวสุดท้ายลง ใช้มือข้างหนึ่งจับหมวกบักเก็ตไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม ขณะล่อนลงพื้น เขาพยายามหาเงาต้นไม้ใหญ่ ที่ยืนต้นอยู่ข้างทางอำพรางตัว
เพราะชายสวมหมวกบักเก็ตสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนแอบตามมาจากด้านหลัง…
อีกฝ่ายติดมาเขามานานพอสมควร…หลังจากเขามาในดันเจี้ยน เขาแอบหาที่ลับสายตาคน ก่อนเร้นกายหนีออกมาจากกลุ่มจอร์แดน
ไม่น่าเชื่อว่าการเร้นกายจะถูกผู้อื่นล่วงรู้..
<<เป็นตังเมหรือไง ตามติดอยู่นั้นแหละ>>
เขาบอกไม่ได้เหมือนกัน ว่าใครที่กำลังติดตามอยู่ด้านหลัง ภายในดันเจี้ยน นอกจากผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ไม่มีใครสามารถสัมผัสการเคลื่อนไหวของเขาได้แน่
คนที่ตามมาไม่น่าใช่โคลอี้ ส่วนจอร์แดนก็ไม่น่าใช่ เพราะตอนที่เขาแอบเร้นกายหนีออกมา เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหายไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้ดี ว่ารองกิลด์มาสเตอร์แม็กซิมั่ม ไม่ได้มีฝีเท้าว่องไว้อย่างชายที่กำลังติดตามมาด้านหลัง…
หัวสมองของเขากำลังหมุนวนประมวลผลอย่างรวดเร็ว….คนที่รู้การเคลื่อนไหวของเขาไม่ใช่ทั้ง จอร์แดน และ โคลอี้
แต่น่าจะเป็น….
“สหายที่ติดตามอยู่ด้านหลัง นายคือคิมซูฮยอนใช่ไหม?”
ชายสวมหมวกบักเก็ตหลุดวิ่งหนีและหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ
ซูฮยอนที่กำลังติดอยู่หลัง เมื่อเห็นเป้าหมายไม่เคลื่อนที่ต่อ ก็หยุดลงด้วยเช่นกัน
“รู้ตัวแล้วเหรอ”
“ความเร็วของนายเร็วพอๆกับฉัน เร็วถึงขั้นที่เรียกได้ว่าแนบเนื้อ”
ชายสวมหมวกบักเก็ตยิ้มเยาะ เมื่อเห็นซูฮยอนยอมเปิดเผยตัวตน
ความเร็วของหนุ่มน้อยสัญชาติเกาหลีคนนี้ค่อนข้างรวดเร็ว…ตามความติดของชายสวมหมวกบักเก็ต มีแรงค์ S น้อยคนมากที่ตามความเร็วของเขาได้ทัน..
“พวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำให้ฉันมั่นใจว่า นายคงไม่ไล่ตามคนแปลกหน้าอย่างไร้เหตุผล นายต้องการอะไร? ทำไมถึงตามฉันมา? มีธุระกับฉันหรือไง”
“นายคือ แมครีเบอร์ ใช่ไหม?”
คำถามของซูฮยอน ทำให้ร่างกายชายสวมหมวกบักเก็ตสั่นเทิ้มขึ้น..
แมครีเบอร์…
คือชื่อจริงของชายสวมหมวกบักเก็ต
“แก!!!…แกเป็นใครกันแน่?”
“อ่า…ฉันทายถูก ค่อยยังชั่วหน่อย”
“ความความว่าไง [ค่อยยังชั่ว] แกเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงรู้จักชื่อของฉัน?”
เดิมที เขาสับสนอยู่เหมือนกัน ทำไมซูฮยอนถึงเลือกพยายามไล่ตามอย่างเอาเป็นเอาตาย
ชายหนุ่มคนนี้แอบติดตามแมครีเบอร์อยู่ด้านหลังอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าซูฮยอนรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาจะแอบปลีกตัวไปคนเดียว….
ตอนแรกเขาก็ไม่สนใจอีกฝ่ายมาก เพราะคิดว่า สาเหตุที่ซูฮยอนแอบติดตามอยู่ด้านหลังห่างๆ แค่อยากรู้อยากเห็นว่าเขากำลังทำอะไรตามประสาเด็กน้อย
อย่างไรก็ตามจินตนาการที่คิดไว้ตอนแรกกลับพลิกโผ เนื่องจากซูฮยอนรู้จักชื่อจริงของเขา
รอบถึงคราวแนะนำตัว แมครีเบอร์ได้ใช้นานแฝงที่เตรียมแนะนำให้คนอื่นรู้จัก แต่ซูฮยอนกลับเอ่ยชื่อจริงของเขาออกมาได้ถูกต้อง ทั้งๆที่เขามั่นใจ ว่าไม่เคยเผลอหลุดปากบอกชื่อจริงให้ใครฟังเลยสักคน ยกเว้นคนไว้ใจ มันหมายความว่าเด็กน้อยคนนี้ทราบถึงตัวตนที่แท้จริง ภายใต้หน้ากากมานานแล้ว…
“ถ้านายไม่อยากตอบคำถามของฉัน งั้นก็…”แมครีเบอร์งึมงำ
“อย่าพึ่งใจร้อนสิ ผมยังเหลือคำถามอีกหลายที่อยากถามคุณอยู่เลย”
ซูฮยอนเดินเข้าไปหาแมครีเบอร์อีก 5 ก้าวและอ้าปากพูด “ถึงจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ว่าคุณคงไม่ยอมตอบคำถามก็เถอะ หากคุณให้ความร่วมมือแต่โดยดี ผมอาจคลายข้อสงสัยให้คุณก็ได้”
“ย่ามันเถอะ แกคิดว่าพวกเราเป็นนักธุรกิจหรือไง ต่อรองกันอยู่ได้”
แมครีเบอร์สบถออกมาอย่างโกรธจัด คิ้วของเขาขมวดชนกัน บางที่อาจเป็นเพราะทัศนคติของซูฮยอนที่เต็มไปด้วยความยโสโอหัง เขาจึงเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมา
แต่อาการของแมครีเบอร์ฉายบนใบหน้าเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนกลับคือสู่สภาวะปกติเหมือนอย่างตอนแรก..
การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึก ด้วยความเร็วเพียงเสี้ยววินาที คนปกติทั่วไปไม่มีทางทำได้. ต่อให้มีคนทำได้จริงๆ อย่างน้อยคนผู้นั้น ก็ต้องเหลือร่องรอยทิ้งเอาไว้บ้างสักจุด…
ผิดกลับแมครีเบอร์ เขาไม่เหลือร่องรอยเดิมทิ้งเอาไว้เลย ราวกลับมากอารมณ์โกรธจัดเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา..
ซูฮยอนเมินเฉยคำสบถของแมครีเบอร์และพูดตอบโต้
“ในฐานะเป็นผู้ตื่นขึ้นสายแอสซาซิน การควบคุมอารมณ์ความรู้ลึก เป็นหลักสูตร พื้นฐานที่นักฆ่าทุกคนต้องเรียนรู้ ถือว่านายทำได้ดี นับถือ นับถือ”
อารมณ์ที่สงบลงไปของแมครีเบอร์เกือบระเบิดขึ้นมาขึ้นครั้ง ซูฮยอนไม่ได้รู้จักชื่อเขาเพียงอย่างเดียว แต่ยังทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือนักฆ่า..
แมครีเบอร์พยายามระงับอารมณ์ความรู้สึกที่กำลังเดือดปุดๆพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อให้สงบลง โชคดีที่เขาตั้งฝึกทักษะการควบคุมอารมณ์มาอย่างหมั่นเพียร ทำให้ทะเลแห่งความโกรธเย็นลงฉับพลัน..
<<ฟู่ ใจเย็นไว้ตัวฉัน อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา เพราะว่า…>>
วูบ!!!
ร่างกายของแมครีเบอร์เหมือนถูกอะไรดูดกลืนไป ร่างของเขากลมกลืนหายไปในเงาตันไม้ใหญ่
<<ซะตาของแกจบสิ้นแล้ว แกจะต้องตายที่นี่!!!>>
ร่างกายของแมครีเบอร์หายไปต่อหน้าต่อตา ณ.จุดที่แมครีเบอร์เคยยืนอยู่ ร่องรอยที่เหลือไว้มีเพียงพลังงานรูปแบบกิ่งโปร่งใส่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ซูฮยอนไม่ได้ตื่นกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า อารมณ์ ความรู้สึก ยังคงหมุนเวียนด้วยความสงบ ขณะสายตาสาดส่องไปทั่วบริเวณรอบๆ
เหมือนที่ซูฮยอนคิดไว้ กลืนอายของแมครีเบอร์ถูกสายลมกลบหายไปหมด จนคาดเดาไม่ได้ ว่าเขากำลังเคลื่อนที่อยู่จุดไหน…
“เร้นกายในเงามืดและสังหารเป้าหมายจากด้านหลัง เป็นพื้นฐานที่นักฆ่าทุกคนยึดมั่น”ซูฮยอนพูด
ซูฮยอนเปลี่ยนทิศทางการมองไป ทางซ้ายมือของตัวเอง..
ตุบ!!!
แม้ว่าเสียงจะแผ่วเบาเหมือนใบไม้กำลังเสียดสีกัน…
ซูฮยอนเชื่อว่าเสียงที่หูได้ยิน ไม่ใช่เสียงการเสียดสีของใบไม้ แต่เป็นเสียงย่ำเท้าของแมครีเบอร์…
นอกจากเสียงย่ำเท้า ซูฮยอนยังสัมผัสได้อีก ว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ตีตนตายก่อนไข้
ซูฮยอนจ้องเขม็งไปยังทิศทางของเสียงและกล่าวต่อ
“ปี 2018 มีเหตุสุดวิสัยเกินขึ้นที่สถานทูตอเมริกัน จำนวนผู้เคราะห์ร้ายมีด้วยกัน 11 คน หนึ่งในนั้นมีเอกอัครราชทูตรวมอยู่ด้วย จากการสืบสวนของตำรวจ เหตุสุดวิสัยเกิดจากอุปกรณ์ไม่ทราบชนิดลัดวงจร จึงทำให้มีการระเบิดขึ้น”
“ปี 2019 สำนักงานผู้ตื่นขึ้นของประเทศแคนาดาเกิดการก่อจลาจลครั้งใหญ่ ไม่ทราบว่าใครเป็นแกนนำ ผู้อำนวยการสำนักงานถูกลากเข้าไปพัวพันกับการสู้ของผู้ตื่นขึ้น ผลสุดท้ายเขาก็โดยผู้ตื่นขึ้นนิรนามสังหารทามกลางการต่อสู้ที่กำลังชุลมุน โชคยังดีที่ความเสียหายไม่ได้กระจายไปวงกว้างมากนัก ในสิงหาปีเดียวกันนั้น….”
พรึ่บ!!!
ตุบ!!
ซูฮยอนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ปากของเขายังคงสาธยายเรื่องราวในอดีตออกมาอย่างมั่นคงดั่งขุนเขา ไม่เกรงกลัวสิ่งใด….
อวัยวะที่ซูอยอนขยับมีเพียงดวงตาทั้ง 2 ข้างเท่านั้น ดวงตาของเขาขยับ ซ้ายที ขวาที ถ้าคนอื่นเห็นคงคิดว่าเขากำลังบริหารลูกกระตาอยู่เป็นแน่..
แมครีเบอร์เปลี่ยนที่ใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ซูฮยอนทราบถึงตำแหน่งที่แน่นอน..
เขาเคลื่อนไหวเปลี่ยนตำแหน่งเป็นรูปวงกลม จนละม้ายการละเล่นมอญซ่อนผ้า…
ยิ่งได้ยินซูฮยอนเล่าเรื่องเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในอดีต จิตใจของแมครีเบอร์ที่สงบ เริ่มกลับมาวอกแวกอีกครั้ง เขาพยายามควบคุมจิตใจที่กำลังวอกแวกให้สงบลง แต่ก็ไม่เป็นผล..
<<ไอ้ลูกโสเภณีคนนี้เป็นใครกันแน่?>>
เหตุการณ์ที่ซูฮยอนหยิบยกขึ้นมาพูด เป็นแมครีเบอร์ที่อยู่เบื้องหลังและลงมือกระทำด้วยตนเอง
ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ไม่เคยเป็นข่าวที่ไหนมาก่อน แม้แต่ผู้มีอำนาจจากทุกประเทศทั่วโลก ไม่เคยล่วงรู้ ก็ถูกหยิบยกออกมาพูด…
ซูฮยอนเล่าเรื่องราวออกมาได้อย่างคล่องเเคล่ว ลื่นไหล เหมือนอยู่ในเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น…
เรื่องที่ซูฮยอนเล่า มีน้อยคนมาก ที่ทราบว่าความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มาจากน้ำมือของแมครีเบอร์…
<<ฉันไม่เชื่อ ว่าคนสมองนิ่มอย่างแก จะหาฉันเจอ มาลองดูกันอีกครั้ง!!!>>
ตุบ!!!
แมครีเบอร์เริ่มขยับใหม่อีกรอบ ครั้งนี้เขากระโดดออกไปตั้งหลักไกลกว่ารอบแรกหลายก้าว ก่อนใช้สกิลอำพราง…
เขาเดินย่องเข้าหาซูฮยอนเหมือนแมวขโมย ทุกย้าวก้าวแทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
แต่เป้าหมายการสังหาร กลับค้นหาตำแหน่งของเขาได้อย่างแม่นยำ….
ตอนแรกแมครีเบอร์คิดว่าเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ หรือ ไอ้ลูกโสเภนีแค่โชคดีเท่านั้น…
พอทดสอบความเป็นไปได้ซ้ำไปซ้ำมา ติดต่อกันหลายสิบครั้ง เขารับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
<<มันรู้ตำแหน่งของฉันได้ยังไง?>>
ความใจเย็นของเขาเริ่มหลอมละลายไปที่ละนิด ในหัวสมองของแมครีเบอร์กำลังประมวนผลอย่างบ้าคลั่ง เพื่อหาตัวตนที่แท้จริงของซูฮยอน…
<<แม่งเอ้ย ทำไม? ทำไมถึงเป็นแบบนี้?>>
แมครีเบอร์ทำใจเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้…
ไม่ว่าแมครีเบอร์จะสลับตำแหน่งหลบซ่อนสายตาของซูฮยอนยังไง อีกฝ่ายก็ค้นหาตำแหน่งใหม่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว..
ธรรมชาติของนักฆ่าคือการลอบโจมตีศัตรูในจุดบอดที่มองไม่เห็นหรือตัวเองได้เปรียบมาที่สุด แต่การเผชิญหน้ากับซูฮยอน เหมือนเขาเป็นได้แค่ลูกไก่ในกำมือให้อีกฝ่ายเชยชม
ฉันควรทำไงต่อไปดี หนีเหรอ? หรือ สู้ต่อ?
ถ้าเขาเลือกทุมกำลังทั้งหมดหลบหนีไป เขาอาจบรรลุเป้าหมายที่วางแผนเอาไว้ แต่ต้องใช่เวลานานกว่าเดิม…
ทว่า….
<<ไม่ ฉันปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ไม่ได้>>
ไอ้ลูกโสเภนี รู้เบื้องหลังของเขามากเกินไป ปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดปัญหาภายหลัง…
เขาต้องปราบม้าพยศตัวนี้ให้ได้ แล้วเค้นหาความจริงว่าเด็กคนนี้เป็นใคร มาจากไหน?
หากอีกฝ่ายไม่ยอมจำนนแต่โดยดี ทางเลือกทุกท้ายคือสังหารเด็กไม่รู้จักหัวนอนปลายเท่าคนนี้ซะ….
ฟรึ่บ!!!
แมครีเบอร์ไม่รอช้า เขารีดความเร็วออกมาถึงขึ้นสุด สายตาของเขามองหาจุดบอดที่คู่ต่อสู้ตั้งรับได้ยากและกระโจมเข้าหาซูฮยอนโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวทัน
จุดบอดที่แมครีเบอร์เล็งเป้าหมายไว้ คือด้านหลังของซูฮยอน…ด้วยความเร็วที่ถูกเร่งเต็มพิกัน ทำให้ระยะห่างระหว่างแมครีเบอร์และซูฮยอนห่างกันไม่ถึง 3 เมตร
เมื่อถึงจุดที่แมครีเบอร์มั่นใจว่าสามารถเผด็จศึกคู่ต่อสู้ได้…เขาจึงหยิบกริชที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมา
แมครีเบอร์ตัดสินใจแทงกริชไปด้านหน้า..
สวบ!!!
ผลของสกิลทำให้กริชสีคำลอยลู่อยู่ตามลม 1 เล่ม แยกออกเป็น 10 เล่ม
ทิศทางที่กริชพุ่งตรงไปมีซูฮยอนเป็นจุดศูนย์กลาง….
ฉึก ฉึก
เพราะแมครีเบอร์ปล่อยการโจมตีในระยะประชิด ทำให้กริชทั้งหมดที่กำลังกินลมอยู่กลางอากาศ แทงเข้ากลางหลังของซูฮยอนอย่างจัง..
<<สำเร็จ>>
แมครีเบอร์โห่ร้องออกมาด้วยความปลาบปลื้ม การโจมตีของเขามีประสิทธิภาพกว่าจินตนาการที่คิดไว้มาก…โชคดีที่เขาเล็งโจมตีจากจุดบอด ซูฮยอนจึงไหลบไม่พ้น..
แต่ทว่า..
“หืม?”
แมครีเบอร์คิดไว้ เหยื่อที่หมายตาไว้ไม่มีทางรอดพ้นคมกริชของเขา แต่ไม่รู้ทำไมปลายกริชที่ควรมีความรู้สึกเหมือนจิ้มหนังหมู กลับรู้สึกเหมือนจิ้มอากาศมากกว่า…
ฉัวะ!!!
ขณะที่แมครีเบอร์กำลังตกตะลึกเหตุการณ์ตรงหน้า…
ความเจ็บปวดไม่อาจพรรณนา แล่นผ่านแขนที่ถือกริชเอาไว้ ทันใดนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างที่ฟังดูมีน้ำหนัก ก็ตกลงสู่พื้นดินใกล้เท้าของเขา
แมครีเบอร์เลื่อนสายตาลงไปมอง ก่อนพบว่าสิ่งที่ตกกระทบพื้นเป็นแขนของเขาที่ถูกตัดขาด เลือดสีแดงสาดกระเช็นจนเปื้อนเสื้อผ้า
“อะ..อะไรกัน!!!”
“หุบปาก”
หมับ!!!
ซูฮยอนเอื้อมมือไปด้านหลังแล้วคว้าหัวแมครีเบอร์…มือสังหารพยายามดิ้นสู้ เขาจึงตัดสินใจกระแทกหน้าอีกฝ่ายลงกับพื้น..
แมครีเบอร์สูญเสียความมั่นใจไปหมดสิ้น เพราะพบเจอความจริงที่ชวนสยองขวัญ แขนเห็นอยู่หลัดๆ กลับถูกตัดออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ มันเร็วจนเขาไม่รู้สึกตัว….
แขนเหลือข้างเดียว เขาจึงไม่มีแรงต่อต้านการโจมตีของซูฮยอน หน้าของแมครีเบอร์ตอนนี้ กระแทกลงพื้นดิน..
เมื่อสักครู่แมครีเบอร์รู้สึกว่าดวงตาของตัวเองเริ่มปิดลงอย่างช้าๆ หากซูฮยอนไม่ยกหัวของเขาขึ้นมา เพื่อสูดหายอากาศบริสุทธิ์ มีหวังเป็นลมหมดสติเพราะขาดอากาศหายใจ..
“เท่านี้ แกก็หนีการจับกุมของฉันไม่ได้อีกแล้ว มั้งนะ?”ซูฮยอนพูด
“อ๊าก….”
อารมณ์ความรู้สึกนับไม่ถ้วนหมุนวนอยู่ในดวงตาของแมครีเบอร์..
ความสงบเยือกเย็นจางหายไปราวสายลม ดวงตาของแมครีเบอร์ตอนนี้ มีแต่ความหวาดกลัวและความสับสน…ห้วงอารมณ์ปั่นป่วนเช่นนี้ ไม่เหมาะแกการเป็นนักฆ่าอีกต่อไป..
“จุดอ่อนใหญ่หลวงของนักฆ่า คือการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้คงที ถ้าเกิดความปั่นป่วนแม้เพียงเสี้ยววิ การลอบสังหารเป้าหมายจะล้มเหลวทันที”
“ไม่…เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ชื่อจริงของฉันแกยังรู้จัก? แกเป็นใครกันแน่?”
“นายไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร…ฉันของชมนายจริงๆ ในฐานะนักฆ่านายเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมานายคงไม่เคยเจอคู่ต่อสู้คนไหนมองการอำพลางของนายออกไปสินะ พอมาเจอฉันที่มองกลอุบายของนายออกได้ง่ายๆ นายถึงได้ตื่นกลัวขนาดนี้”
กรอบ
“อ๊ากกกก”
เพื่อป้องกันไม่ให้แมครีเบอร์หลบหนีไปไหน ซูฮยอนจึงตัดสินใจควบแน่นพลังเวทย์ไว้ที่ขาข้างหนึ่ง แล้วเหยียบทำลายขาของนักฆ่า 1 ข้าง จนกระดูกภายในแหลกละเอียด
เสียงร้องครวญครางของแมครีเบอร์ทำให้ใบไม้รอบๆตัวพลิ้วไหว ดวงตาของซูฮยอนจ้องมองยังแมครีเบอร์ที่กำลังดิ้นพล่านอยู่บนพื้น
“แค่นี้ยังน้อยไปด้วยสำหรับแก แกรู้ไหมว่ามีคนบริสุทธิ์กี่คนแล้ว ที่ต้องสังเวยชีวิตให้แก”
“อึก…”
“ครูฝึกนักฆ่าไม่เคยสอนแกหรือไง ว่าหากเจอคู่ต่อสู้ที่ประมือด้วยไม่ได้ ต้องหนีเอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อนเป็นอันดับแรก แต่แกมั่นใจตัวเองมากเกินไป คิดว่าฉันจะยอมเป็นหมูให้แกรอเชือดเหรอ? แต่ว่า ต่อให้แกเลือกหนี แกก็หนีไม่พ้นจากน้ำมือของฉันอยู่ดี สุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม”
แมครีเบอร์ได้ยินคำพูดเหล่าก็ตระหนักได้ว่า ที่ผ่านมากเขาก็เปรียบเสมือนมดปลวก อยากฆ่า หรือ ปล่อยให้มีชีวิตต่อ ซูฮยอนเป็นคนกำหนดตั้งแต่ต้น…
คู่ต่อสู้ของแมครีเบอร์รู้ตัวตนที่แท้หมดไส้หมดพุง….อีกฝ่ายวางกับดับเอาไว้ล่วงหน้าถึง 2 ชั้น ไม่สิ 3 ชั้นถึงจะถูก รากฐานคู่ต่อสู้จึงแข็งแกร่งกว่าแมครีเบอร์มาก
ซูฮยอนไล่ต้อนเขาให้เดินไปตามทางเดินกับดักที่เตรียมเอาไว้ สุดท้ายเขาก็หลงกลอย่างสมบูรณ์..
<<ไม่ดีแน่ ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม ฉันต้องหนีไปจากไอ้บ้านี้ให้ได้>>
“แกกำลังคิดหาทางหนีอยู่ใช่ไหม สายตาแกมันฟ้อง”
หมับ!!!
“เดี๋ยวก่อน!!!!”
เมื่อแมครีเบอร์สัมผัสได้ว่าขาอีกข้างที่เหลือ ถูกเท้าของซูฮยอนแตะเบาๆ
นักฆ่าที่เคยเยือกเย็นร้องตะโกนออกมาด้วยสำเสียงสั่นเครือ
แต่น่าเสียดาย ซูฮยอนไม่ชอบฟังความอ้อนวอนของศัตรู
“เดี๋ยวก่อน ตูดแกสิ”
กรอบ
“อึก!!! อ๊ากกก!!”
หลักจากบดขยี้ขาทั้ง 2 ข้างของแมครีเบอร์เรียบร้อย
ซูฮยอนก็ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ สายของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน สายตาปะทะสายตา…
แมครีเบอร์ยังคงร้องครวญครางบนพื้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน สภาพของเขา ณ.ปัจจุบัน คงหมดทางหนี..
“แกอยู่กิลด์ดัมพ์”
<<เขารู้ทุกอย่างมานานแล้วงั้นเหรอ?>>
“ใช่ไหม?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงร้องครวญครางเจ็บปวดที่พรั่งพรูออกมาจากแมครีเบอร์ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ
ช่างหัวเราะเยาะตัวเองจริงๆ เหมือนคำกล่าวที่ว่า คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อคนฉลาด
แมครีเบอร์อยากทราบมาตลอด ว่าอีกฝ่ายรู้จักเขาได้ยังไง รู้มากรู้น้อยแค่ไหน?
แต่เหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้ดีจักประวัติของเขาเป็นอย่างดี..
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง อยู่ๆก็หัวเราะ?”ซูฮยอนพูด
“ฉันไม่รู้ว่าแกรู้มากแค่ไหน แต่แกไม่ควรมาที่นี่”
“กำลังเล่นลิ้น?”
“ไม่ ฉันพูดจริง แกไม่ควรมาสหรัฐอเมริกา แกควรอยู่ที่ประเทศเกาหลีมากกว่า”แมครีเบอร์ตอบกลับเสียงพร่า
“ยังไงแกก็กลับประเทศเกาหลีไม่ทันอยู่แล้ว จะบอกให้เอาบุญ อีกไม่นานประเทศเกาหลีจะมี….”
“โอ้….เรื่องนั้นหรอกเรอะ เกี่ยวกับเรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วง นายแพ้ตั้งแต่ในมุ่งแล้ว”
“แกพูดว่าอะไรนะ?”
แมครีเบอร์เงยหน้าขึ้นมา มองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของซูฮยอน..
อีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าตื่นตระหนกกับคำบอกเล่า เหมือนเขารู้เรื่องนั้นมาก่อนแล้ว..
<<ไม่มีทาง…>>
เขารู้ถึงขนาดนั้นได้ไง?
<<ไม่สมเหตุ สมผลเลยนิด!!!>>
ซูฮยอนไม่มีทางล่วงรู้ความลับของพวกเขาได้แน่ เว้นแต่ว่าจะมีสปายซ่อนตัวอยู่ในกิลด์
แมครีเบอร์เก็บความฉงนเอาไว้ไม่อยู่ ซูฮยอนไม่สนใจใยดีประเทศเกาหลีจริงเหรอ?..
แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะสายตาอีกฝ่ายมีความเชื่อมั่นอัดแน่นอยู่เต็มประดา
ซึ่งหมายความว่า ก่อนที่จะมาสหรัฐอเมริกาเขาคงแอบว่างแผนอะไรบ้างอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่มีท่าทีผ่อนคลายแบบนี้แน่.
“ไม่…เป็นไปไม่ได้”
“เลิกกระโตกกระตากได้แล้ว เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องมานานเกินไป จากนี้ไปฉันจะเป็นถาม นายมีหน้าทีแค่ตอบก็พอ”
สถานการณ์แบบช่วงแรก วกกลับมากอีกครั้ง…
สมาชิกทุกคนในกิลด์ดัมพ์ ขึ้นชื่อเรื่องความเลวทรามและความโหดเหี้ยมอํามหิต…
โดยเฉพาะพวกแรงค์ S ในกิลด์ดัมพ์ ความทะนงตนและความโหดเหี้ยมของพวกเขา ทิ้งห่างปลาซิวปลาสร้อยไปหลายขุม ฉะนั้นการบีบบังคับให้แรงค์ S คายความลับออกมา จึงแทบเป็นไปไม่ได้..
“บอกฉันมาให้หมดเปลือก สำนักงานใหญ่กิลด์ดัมพ์ในอเมริกาตั้งอยู่ไหน?”
“แกว่าไงนะ!!!”
แมครีเบอร์แคลงคลางว่าซูฮยอนจะถามอะไรเขา ในเมื่อเจ้าตัวก็ทำท่าเหมือนนักปราชญ์ผู้รอบรู้ทุกเรื่อง ยังมีจำเป็นต้องมาถามเขาอีกเหรอ?
หลังจากได้ยินคำถามข้อแรก จิตใต้สํานึกภายในสั่นระริกแจ้งเตือนว่าจะเกิดลางร้ายขึ้น..
“กิลด์ดัมพ์อย่างพวกแก ก็เหมือนกับแมลงสาบ บี้เท่าไหร่ก็ไม่ตาย แถมยังออกลูกออกหลานเพิ่มอีก”
เหตุผลหลักที่ซูฮยอนตัดสินใจมาอเมริกาคือ กำจัดกิลด์ดัมพ์ในสหรัฐอเมริกาให้ได้แบบถอนรากถอนโคน…
“ฉันวางแผนจะใช้โอกาสดีๆแบบนี้ กลายเป็นเทพมฤตยู แล้วกำจัดพวกแกซะ”