ตอนที่ 105
บ้านไม้หลังหนึ่งที่เคยเป็นแหล่งมั่วสุมเสเพล ปัจจุบันเป็นจุดศูนย์กลางของซากศพนับไม่ถ้วน นอนเรียงรายกระจัดกระจายทุกทิศ
การแสดงออกทางสีหน้าของคาลวินกลายเป็นสีหน้าหวั่นกลัวขณะมองสภาพซากศพ บางคนถูกบั่นคอ บางคนถูกไฟครอกตาย แต่ละคนมีสภาพอเนจอนาถ ขาที่สั่นเกร็งอ่อนยวบที่มพื้น
แม้แต่ตัวคาลวินเอง ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตัวเองตกอยู่ในสภาวะกลัวลานตั้งแต่ตอนไหน
<<การโจมตีใช้ไม่ได้ผลกับเขาจริงๆสินะ>>
ซูฮยอนเคยพูดว่า เขาเป็นศัตรูโดยธรรมชาติสําหรับนักเวทย์]
เมื่อคาลวินได้ยินครั้งแรก เขาคิดว่าอีกฝ่ายพูดจาโออวดเพื่อให้พวกเขาเกิดความลนลาน คําพูดของซูฮยอนไม่เคยอยู่ในสายตา
เขาคิดมาเสมอว่าสาเหตุที่ซูฮยอนดูมั่นใจ เป็นเพราะเขาเชื่อสามารถป้องกันพลังเวทย์จากพวกเขาได้ แต่พวกเขามีพวกพ้องหลายคน อีกฝ่ายตัวคนเดียวจะสามารถต้านทานการรวมพลังของพวกเขาได้จริงเหรอ?
ทว่าภาพที่ประจักษ์ตรงหน้า ซูฮยอนพูดความจริง
พลังเวทย์ใช้ไม่ได้ผลกับซูฮยอน อีกฝ่ายเพิกเฉยต่อคาถาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะระดมยิงคาถามากแค่ไหน ก็สร้างบาดแผลให้ซูฮยอนไม่ได้ แถมฝ่ายที่พลาดพลั้งกลับเป็นพวกเขาเสียเอง นักเวทย์แห่งความมืดล้มหายตายจากไปที่ละคนสองคน
ไม่แปลกทําไมนักเวทย์แห่งความมืดที่รวบกลุ่มต่อสู่กับซูฮยอน พอทราบความจริงว่าศัตรูแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงหายไปจากจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
ซูฮยอนไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไป เพราะสภาพแต่ละคนหนีไปก็คงไม่รอดจากประตูนรก คาลวินอยากใช่ช่วงเวลาชุลมุนแอบหนีเหมือนกัน แต่เขามีความกล้าไม่มากพอ
ถ้าเขาหนีไป ความตายคงรออยู่ปลายทาง
“พวกเรามาเริ่มพูดคุยกันใหม่อีกรอบดีกว่า” ซูฮยอนพูด
เขาหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้โยก ภายในห้องที่มีสภาพเสียหายยับเยิน แต่มีเก้าอี้ครบถ้วนสมบูรณ์แค่ 1 ตัว นั้นก็คือเก้าอี้โยกที่ซูฮยอนเคยนั่ง เมื่อมาถึงบ้านไม้แห่งนี้ครั้งแรก
คาลวินพบว่าค่อนข้างเป็นเรื่องพิศวง เก้าอี้โยกตัวนี้สามารถหลบการโจมตีที่ถาโถมเข้ามาได้ยังไง ยิ่งคิดเส้นขนทุกส่วนลุกชูชัน
เขาสงสัยในใจ มีความเป็นไปได้ซูฮยอนอาจจงใจเหลือเก้าอี้สภาพสมบูรณ์ไว้แค่ 1ตัว
“ก่อนอื่นบอกมาให้หมดเปลือก เรื่องทุกอย่างที่นายรู้เกี่ยวกับเขา” ซูฮยอนพูด
“คนที่เจ้าอยากรู้ หมายถึงมัลคอล์ม”
“ผู้อาวุโสมัลคอล์มต่างหาก”
“อ่านั้นสินะ ข้าผิดเองที่พูดห้วนๆ”
ภาพลักษณ์ของคาลวินกลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายไปซะแล้ว สายตาคาลวินจ้องมองซูฮยอน หัวเข่าจูบพื้น ภายในหัวสมองกําลังคร่ําเคร่งรวบรวมเรื่องราวและไตร่ตรองว่าควรเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อน
“มัลคอล์ม.ไม่สิ ผู้อาวุโสมัลคอล์มชื่นชอบวิชาการมากกว่านักเวทย์แห่งความมืด”
“นักวิชาการ?”
“ใช่ครับ แทนที่จะเรียกรู้คาถาและควบคุมพลังเวทย์ เขากลับละทิ้งการฝึกฝน แล้วหันหน้า ค้นคว้าวิจัยสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ แม้เขาจะใช่พลังเวทย์แห่งความมืดได้เพียงน้อยนิด จะบอกว่าเขาเป็นนักเวทย์ครึ่งหนึ่งก็ไม่ผิดนัก”
“อืม…มีเหตุผล แค่ท่าทางภายนอก เขาก็ไม่เหมือนนักเวทย์แห่งความมืดแล้ว”
ปริมาณพลังเวทย์ที่ซูฮยอนสัมผัสได้จากมัลคอล์ม มีออร่ากระท้อมกระแท้มไม่พอต่อการใช้ต่อสู้ ดังนั้นคําพูดของคาลวินจึงไม่ผิด
“อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสมัลคอล์มเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียงโด่งดังกระฉ่อนไปทั่วเมือง ถึงขนาด ถูกยกให้จารึกชื่อของเขาลงไปในหลังสือประวัติศาสตร์ ต่อให้เขาไม่ใช่นักเวทย์ ชาวพื้นเมืองก็ยินดีต้อนรับเขาด้วยความเต็มใจล้นหลาม”
“งั้นเหรอ”
“เท่าที่ข้าได้ยินมา สาเหตุที่ผู้อาวุโสมาที่เมืองนี้ก็เพื่อทําการวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหรอ?”
“ถูกต้องนอกจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสยังสนใจสัตว์อสูรด้วยเหมือนกัน”
ซูฮยอนเคยสงสัยทําไมห้องใต้ดินถึงมีหนังสือเกี่ยวกับสัตว์อสูรมากมายหลายเล่ม เหตุผลที่แท้จริงคือเขามีความสนใจมันด้วยนี่เอง
“ผู้อาวุโสมัลคอล์ม เป็นคนอัญเชิญอูโรโบรอสออกมาใช่หรือป่าว”ซูฮยอนเปลี่ยนคําถามใหม่
“ไม่ใช่ เขาไม่มีความสามารถมากถึงขนาดนั้น”
“แล้วใครเป็นคนทํา?”
“ผู้อาวุโสมัลคอล์มอธิบายขึ้นตอนเบื้องต้นเท่านั้น นักเวทย์แห่งความมืดในเมืองนี้ เป็นคนอัญเชิญสัตว์อสูรอูโรโบรอส”
“มันเป็นความผิดพลาดขอข้า”
ซูฮยอนหวนคิดถึงน้ําเสียงของมัลคอล์ม น้ําเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจและความสํานึกผิด ที่กลั่นกรองออกมาจากจิตใจของเขา ที่แท้เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลคือก็มาจากสาเหตุนี้เอง
“ชี้แจงเหตุผลให้ฟังหน่อย ทําไมถึงต้องสังเวยผู้คนให้กับอูโรโบรอส?”
“ขอเวลาสักครู” คาลวินสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดเหมือนตกใจคําถามของซูฮยอน เขาไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้เบื้องหลังด้วย
“เจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน ทําไมถึงรู้เรื่องนั้นได้?”
“คนอื่นพูดเต็มบ้านเต็มเมือง พวกนายพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าจะประเคนฉันให้เป็นอาหารอูโรโบรอส”
ก่อนหน้านี้ซูฮยอนได้ยินเสียงคาลวินและนักเวทย์แห่งความมืดคนอื่นๆ ลอดผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย
ประชาชนถูกนํามาเป็นเครื่องสังเวยให้แก่อูโรโบรอสและนักเวทย์แห่งความมืด มองความสิ้นหวังของคนที่ถูกสังเวยเป็นเรื่องบันเทิงใจ
ซูฮยอนไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกฉุนเฉียวที่กําลังทับถมอยู่ในทรวงอกได้อีกต่อไป
“รีบบอกมาซะ อะไรคือสาเหตุการสังเวยคนเป็นให้แก่อูโรโบรอส ถ้ามัวแต่อีกๆอักๆฉันจะ….”
“พวกเราต้องการให้อูโรโบรอสอยู่ในความสงบ ไม่อาละวาด”
“ความสงบเหรอ? ความสงบจากอะไรกันแน่?”
“ความหิวกระหาย…”
เมื่อได้ฟังคําตอบของคาลวิน ซูฮยอนขมวดคิ้วขึ้น คําตอบมีบางอย่างไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
“นายกําลังจะบอกฉันว่าความหิวกระหายของสิ่งมีชีวิตตัวเบ้อเร่อ สามารถทุเลาลงได้เพราะประชนชนตัวเล็กๆ 10 คนเนี่ยนะ?”
“ไม่ใช่ เจ้ากําลังเข้าใจผิด ที่พวกเราต้องสังเวยคนให้เป็นอาหารแก่มัน ไม่ได้หลังให้อูโรโบรอสอิ่มท้อง แต่เพื่อความพึงพอใจต่างหาก พึ่งพอใจที่มันได้กินเนื้อมนุษย์”
“นายควรพูดเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ปล่อยให้ฉันสับสนอยู่ได้”
“ข้าขอโทษที่พูดอ้อมค้อม”
“งั้น ทําไมผู้อาวุโสมัลคอล์มต้องสอนวิธีอัญเชิญอูโรโบรอสให้กลุ่มของพวกนายด้วย? เพราะอะไรพวกนายถึงต้องอัญเชิญสัตว์อสูรตนนั้นขึ้นมา?”
“นั่นมัน…”
คาลวินสองจิตสองใจ ไม่รู้ควรตอบโต้อีกฝ่ายว่าอะไรดี
กรอบ!!
“อ้ากกกกก!!”
ส้นเท้าซูฮยอนตอกหัวเข่าของคาลวิน ความเจ็บปวดสุดพรรณนาจากกระดูกสะบ้าหัวเข่าแตกละเอียด ความเจ็บปวดแล่นแปลบอยู่ข้างใน
คาลวินพยายามดันเท้าซูฮยอนออกไปจากหัวเข่า แต่ก็เปล่าประโยชน์ เสียงครวญคร่ําเล็ดลอดตามไรฟัน
“ขะข้าจะบอกนาย ขอเถอะ อึก!!”
ซูฮยอนยกเท้าออกพร้อมเสียงกรีดร้องน่าขนลุกจากคาลวิน วิธีการที่ชาญฉลาดให้อีกฝ่ายคายความลับออกมา คือการกําหนดเวลาในการตอบ เพื่อไม่ให้มีเวลาสร้างเรื่องเท็จ
“อีก อ้ากกก….”
“นายมีเวลา 3 วินาที 32..”
“ที่อัญเชิญมันออกมา เพราะต้องการปกป้องเมือง…”
หลังจากได้ยินคําตอบซูฮยอนถลึงตามองคาลวิน คําตอบสั้นเกินไปเขาต้องการให้อีกฝ่ายขยาดความเพิ่มเติม
“อธิบายมากกว่านี้อีก”
“อาณาจักรโพ้นทะเลเพ่งเล็งมาที่เมืองโมรอส หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง จะกลายเป็นวิกฤตการณ์รุนแรงที่สุดให้ประวัติศาสตร์ของโมรอส”
“โอ้ เหตุผลที่อัญเชิญอูโรโบรอสเพื่อปกป้องโมรอส จากการบุกรุกของต่างอาณาจักรสินะ?”
การมาเหยียบแผ่นดินโมรอสซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะมีแค่วิธีเดียว นั้นก็คือการล่องเรือข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แผนการสังหารอูโรโบรอสของทางอาณาจักรล้มเหลว พวกเขาจึงยอมแพ้ และยกเลิกการบุกรุกโมรอส คําอธิบายของคาลวินสิ้นสุดลงแค่นี้
“ที่กล่าวมาทั้งหมด มีแค่นี้จริงๆใช่ไหม?” ซูฮยอนถาม
“คือว่า…”
การซักใช้ของซูฮยอน ทําให้การแสดงออกทางสีหน้าของคาลวินเต็มไปด้วยความกังวล
ซูฮยอนเห็นว่าฝ่ายมีลับลมคมในซ่อนไว้อยู่ จึงตัดสินใจยกเท้าขึ้นมากระตุ้นให้อีกฝ่ายพูดออกมาให้หมด
คาลวินที่ยังไม่อยากตายรีบเปิดปากพูด “สาเหตุหลักๆที่ผู้อาวุโสมัลคอล์มตัดสินใจมอบวิธีการอัญเชิญอูโรโบรอส มีเบื้องลึก”
“มีเบื้องลึก หมายความว่าไง?”
“ความจริงเรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง เป็นการกุเรื่องขึ้น”
คาลวินตอบกลับ เปลือกตา 2 ข้างหุบลง
สุดท้ายซูฮบอยก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี หากมัลคอล์มตัดสินใจบอกให้ฟัง ฉะนั้นคาลวินจึงพิเคราะห์ว่าเก็บความลับไว้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ถ้าซูฮยอนรู้ภายหลังอาจมีผลกระทบถึงชีวิตเขา เลยเลือกบอกความจริง
“เรื่องเล่าที่เจ้าได้ฟังเมื่อครู่เป็นการกุเรื่องขึ้น และเป็นเรื่องหลอกลวง เพื่อหว่านล้อมมัลคอล์มให้มอบวิธีอัญเชิญอูโรโบรอสกับพวกเรา”
“งั้นจุดประสงค์ที่แก้จริงของการอัญเชิญอูโรโบรอสคืออะไรกันแน่?”
“เพื่อให้พวกเราอยู่รอดให้เมืองแห่งนี้”
“เหตุผลล่ะ? อย่าบอกนะว่ามีคนตามล่าพวกนาย?”
คําถามของซูฮยอน ทําให้คาลวินก้มหน้ามองพื้นขบฟัน
“หลายศตวรรษที่ผ่านมา พวกเราผู้เป็นนักเวทย์แห่งความมืดถูกเลือกปฏิบัติเหลือคณานับ”
“เลือกปฏิบัติ”
“ใช่! เลือกปฏิบัติ! ผู้คนชี้นิ้วด่าสาดเสียเทเสียกล่าวหาว่าพวกเราเป็นพวกต่ําทรามบ้างล่ะ กล่าวหาพวกเราเป็นสาวกผู้ติดตามภูตผีปีศาจบ้างล่ะและยังดูถูกดูแคลนพวกเราสารพัด คนที่ได้รับการยอมรับเคารพนับถือมีแต่นักเวทย์สายสามัญ ถ้าเจ้าเป็นนักเวทย์ เจ้าก็จะเกลียดนักเวทย์แห่งความมืดเหมือนกัน”
“ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“หืม?”
“ใครกันที่เป็นผู้เสียสละกลายเป็นเครื่องสังเวยให้แก่อูโรโบรอส นักเวทย์แห่งความมืดหรือนักเวทย์สายสามัญที่เลือกปฏิบัติและดูแคลนพวกนายล่ะ?”
คาลวินปิดปากเงียบพลัน
คําตอบตรงตัวชัดเจน ไม่มีอะไรเข้าใจง่ายไปกว่านี้อีก
ซูฮยอนก้มหน้ามองคาลวิน ซึ่งนั่งเงียบอยู่เหมือนเดิม “เข้าใจแล้วใช่ไหม ทําไมพวกนายถึงกลายเป็นพวกแปลกแยก ถูกเลือกปฏิบัติและยังโดยผู้คนด่าผรุสวาท พวกนายก็เปรียบเสมอปลา ปลาที่เน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง”
ซูฮยอนลุกออกจากเก้าอี้ ย่อตัวลงด้านหน้าคาลวิน มือสัมผัสหน้าอก
“จะ…เจ้าจะทําอะไร หยุดนะ!!”
“อึก!!”
ฝ่ามือซูฮยอนกระแทกเข้ากลางหน้าอกคาลวินเต็มแรงและแม่นยํา กระดูกสันหลังโค้งงอ เสียงกระดูกลั่นดังออกมาจากภายในได้ยินถึงภายนอก
คาลวินอดกลั่นความเจ็บปวดที่วิ่งเล่นซุกซนตามส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ความพยายามไร้ผล
กระดูกเริ่มโค้งงอลงเรื่อยๆ ร่างกายสั่นระทวย เสียงคร่ําครวญออกมาจากไรฟัน
“อึก อ๊ากกก”
“การโคจรเวทย์ของเหล่านักเวทย์แห่งความมืดสามารถทําลายได้ง่ายๆ แม้จะได้รับผลกระทบกลับไปเล็กๆก็เถอะ” ซูฮยอนพูด
“อ้ากกกกก!!”
“ต่อจากนี้นายไม่สามรถใช้พลังเวทย์ได้ตลอดชีวิต อธิบายให้ชัดเจนกว่านี้คือนายได้อําลาการเป็นนักเวทย์เป็นที่เรียบร้อย นายตอบคําตอบของฉัน ดังนั้นฉันจะไว้ชีวิตนาย…”ซูฮยอนจ้องมองคาลวินด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
“ถ้าไม่อยากโดนคนอื่นเลือกปฏิบัติ นายไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับมันตั้งแต่แรก”
พูดจบซูฮยอนก็เดินไปที่เก้าอี้โยกตัวเดิม มิรุที่นอนฟุบรอบนโต๊ะสยายปีกบินขึ้นไปเกาะบนหัวซูฮยอนด้วยสีหน้าเบิกบาน
คาลวินยกหัวขึ้นเล็กน้อย สายตามองแผ่นหลังซูฮยอนที่กําลังเดินออกจากบ้านไม้
ความเจ็บปวดราวร่างกายฉีกกระชาก ทําให้คาลวินอยากให้ซูฮยอนสัมผัสความทรมานด้วยตัวเองดูสักครั้ง
“อีก!! อ๊ากกก!!”
ภายใต้ความเจ็บปวด คาลวินฝืนทนลองพยายามโครงพลังเวทย์ในร่างกายดู
อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังเวทย์เลย ทั้งๆที่มันล่อเลี้ยงร่างกายของเขามาหลายปี
เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียของสําคัญที่สุดในชีวิต เป็นเหตุให้แขนขาอ่อนเปลี้ย กระดุกกระดิกไม่ได้ เหมือนคนพิการ แววตาไร้ชีวิตชีวาราวกับว่าสูญเสียตัวตนของตัวเองไป
ที่ผ่านมาเขามีชีวิตอยู่ในฐานะนักเวทย์แห่งความมืด แต่ตอนนี้
“หึหึ..”
คาลวินนอนแผ่หลา ศีรษะแนบพื้นไม้
นักเวทย์ผู้สูญเสียความสามารถทางด้านเวทย์ ไม่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองนี้ได้อีกต่อไป
ซูฮยอนมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักของมัลคอล์ม
ก่อนเข้าบ้านเขาก้มสํารวจสภาพตัวเอง โชคดีที่ไม่มีรอยเลือดกระเซ็นเปื้อนเสื้อผ้า
ก๊อก ก๊อก
“ผู้อาวุโสผมกลับมาแล้วครับ”
เขาเคาะประตูบานแรกสุดของบ้าน ด้านหลังของประตูนําไปสู่สวนหย่อม ยืนรอไม่นานประตูก็เปิดออก
มัลคอล์มกําลังง่วนดูแลสวนหย่อม หลังค่อมจากที่เคยเห็นครั้งล่าสุด เหมือนจะค่อมต่ําลงไปเยอะกว่าเก่า
“กลับมาแล้วเหรอเจ้าหนุ่ม” มัลคอล์มเห็นร่างซูฮยอนยืนอยู่ จึงรีบเดินปรี่เข้าไปหาอย่างเร่งรีบ เขามองสํารวจร่างกายของซูฮยอนตั้งแต่หัวจรดเท่า
“เจ้าหนุ่มไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม พวกนั้นลงมือทําร้ายนายหรือไม่?”
“ไม่ครับ ผมสบายดีครับผู้อาวุโส”
คิ้ว!!
มิรุที่เกาะอยู่บนหัวร้องคํารามอย่างกระปรี้กระเปร่าราวกับกําลังจะสื่อว่า “ผมก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน”
มัลคอล์มถอยหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่เหมือนจะมีเรื่องอะไรที่ทําให้มัลคอล์มกังวล
ซูฮยอนที่สังเกตเห็นก็ไม่ได้คาดคั้น
“ดีแล้วที่พวกเจ้าไม่เป็นอะไร”
“ผู้อาวุโส”
ซูฮยอนจับมือเหี่ยวย่นของมัลคอล์มแล้วถามด้วยความสงสัย “ผู้อาวุโสทําไมท่านถึงทะยาทะแยแสกับผมจัง?”
“พูดเรื่องบ้าอะไรของเจ้า อย่าถามเรื่องที่ข้าคิดไม่ทัน…”
“เพราะผู้อาวุโสรู้สึกสํานึกผิดใช่หรือปาว?”
คําตอบถัดมาของซูฮยอน มัลคอล์มเลือกที่จะกลืนคําพูดลงและเบียงหน้าหนี
ซูฮยอนไม่มีท่าที่ตระหนกตกใจ มัลคอล์มเชื่อว่านักเวทย์แห่งความมืดคงเล่าประวัติให้ซูฮยอนฟังหมดแล้ว..
“เจ้าหนุ่มสนใจไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยไหมล่ะ”มัลคอล์มชักชวน
“ได้ครับ”
ซูฮยอนเดินขนานคู่ไปกับมัลคอล์ม
หลังจากเดินชมบรรยากาศเมืองด้วยความเงียบ มัลคอล์มเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “ทุกๆเดือนจะมีการคัดเลือกคนให้เป็นเครื่องสังเวยแก่อูโรโบรอส”
“เรื่องนั้นผมรู้แล้วครับ”
“และเมื่อมีคนนอกหลงเข้ามาในเมือง คนผู้นั้นจะถูกหมายตาเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆในการเสียสละ เพื่อป้องกันไม่ให้จํานวนนักเวทย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองดั้งเดิมลดน้อยลง” มัลคอล์มก้มหน้ามองพื้น
“สําหรับคนนอกเมืองโมรอสก็เปรียบเสมือนหลุมแมลงช้าง คนที่พลิกเมืองจากหน้า มือเป็นหลังมือคือข้าเอง”
“เพราะงั้น ผู้อาวุโสถึงได้เลี้ยงดูปูเสื้อผมอย่างดีสินะครับ?”
“ข้าขอโทษจากใจจริง เป็นอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากให้เจ้าหนีออกไปจากที่นี่ ทว่า…”มัลคอล์มทอดสายตามองเชิงเพิ่มสูงชะลูดที่ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป
“ถ้าพวกเขารู้ว่าเจ้าคิดหนี ภายในหนึ่งเดือนก่อนถึงการสังเวย อิสรภาพของเจ้าจะถูกลิดรอน”
“กําแพงโอฬารที่ตั้งล้อมรอบเมืองโมรอส.”
“ไม่ได้สร้างเพื่อปกป้องเมืองโมรอส แต่สร้างมาเพื่อกันไม่ให้คนหนีออกไปข้างนอก” มัลคอล์มส่ายหัว
“ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าสร้างมากเพื่อขังไม่ให้เจ้าหนีไปไหน เหมือนทัณฑสถานไร้โซ่ตรวน”
และนั่นเป็นสาเหตุว่าทําไมซูฮยอนถึงเข้าเมืองมาได้ง่ายๆโดยไม่ผ่านการยืนยันตัวตน แม้จะใช้พลังเวทย์ได้แค่พื้นฐานก็ตาม
มัลคอล์มต้องมีความรู้สึกผิดบาปแฝงลึก เพราะเขาไม่กล้าสบตาตรงๆกับซูฮยอนอีกต่อไป
คงเป็นเพราะเขาพูดโกหกกับซูฮยอน ไม่ยอมพูดความจริงตั้งแต่แรก และตัวเองยังเป็นต้นเหตุทําให้เมืองโมรอสตกอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน
<<แสดงว่าเมืองโมรอสมีลักษณะคล้ายๆกับดักสินะ>>
ตอนนี้ซูฮยอเริ่มรับรู้แล้วว่าธรรมชาติที่แท้จริงของโมรอสเป็นเมืองลักษณะใด..
เมืองโมรอสก็เปรียบเสมือนทรายดูดกลางทะทราย หากคุณเผลอก้าวเท้าเข้าไปเพียงหนึ่งข้าง คุณหมดสิทธิ์ถอนขาออก ร่างกายของคุณจะถูกดูดจมลงไปเรื่อยๆ จนกระทั้งหมดลมหายใจ
ช่างเป็นเมืองที่เริงรมย์สําหรับซูฮยอนจริงๆ เขาต้องใช้เวลานานพอสมควรในการตามหาอรรถบทและปูมหลังของการทดสอบในครั้งนี้
การทดสอบไม่ได้กําหนดเป้าหมายชัดเจนหรือวัตถุประสงค์จําเพาะ มีโอกาสเป็นไปได้ ว่าจะผ่านลุล่วงหรือสอบตก ผลสรุปสุดท้ายจะถูกตัดสินจากสิ่งที่ซูฮยอนกระทําภายในเมือง
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงการเปิดเผยปูมหลังของการทดสอบ คือพื้นฐานที่ควรทําและละเลยไม่ได้ เพราะสามารถกําหนดวัตถุประสงค์ที่แสนสําคัญสําหรับเป้าหมายต่อไปได้
<<ให้ตายสิ>>
ซูฮยอนแสยะยิ้มหลังจากยืนยันโครงสร้างของการทดสอบได้คร่าวๆ
<<มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่จินตนาการไว้>