ตอนที่ 110
“อ๊ววว พวกมันน่าขยะแขยงเป็นบ้า” ซูฮยอนพึมพํา
ซูฮยอนก้มหน้ามองตามพื้นและผนัง ทั่วทุกที่มีดวงตากลมโตโผล่ออกมา เขาไม่รู้ว่าดวงตาเหล่านั้นโผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆพวกมันจ้องมองมายังเขา บ้างทีสาเหตุที่อูโรโบรอสหยุดการเคลื่อนไหวกะทันหัน อาจเป็นเพราะอูโรโบรอสสัมผัสกลิ่นอายของซูฮยอนได้จากภายใน
“หรือว่าเจ้าสัตว์อสูรจะมีความสามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติทั้งภายนอกและภายใน??
ซูฮยอนได้ทําพลาดครั้งใหญ่ไปซะแล้ว
“เฮ้อ ไม่ยักกะรู้ว่าเจ้าสัตว์อสูรมีความสามารถตรวจตัวสอบภายในร่างกายได้ด้วย เป็นความสะเพร่าของตัวเองแท้ๆ”
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาหาข้อมูลของสัตว์อสูรไม่มากพอ ถึงจะทราบเรื่องภายหลังเขาก็หันหลังกลับไปไม่ได้แล้ว การเอาชนะสัตว์อสูรมีแค่วิธีนี้เท่านั้น
แผนที่ซูฮยอนวางไว้คือโจมตีอูโรโบรอส สร้างบาดแผลทั้งภายนอกและภายใน เหตุผลที่เขาต้องลงมือทําทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะการทดสอบในชั้นที่ 30 ครั้งนี้ เขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีลูกมือคอยช่วย
ในเมื่อทําพลาดไปแล้ว ก็ช่างมันเถอะ
ฟ้อ!!
ซูฮยอนละความคิดไร้แก่นสารทิ้งไป แล้วยกความสนใจทั้งหมดหันหน้าไปมองงูที่กําลังส่งเสียงขู่
ฟอ!! ฟอ!!
งูไม่ได้อยู่เป็นกระหย่อม ทุกซอกทุกมุมที่สายตาซูฮยอนมองเห็น มีกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด
“เจ้างูพวกนี้อาศัยอยู่ในร่างกายมานานหรือว่าแท้จริงแล้วพวกมันเป็นลูกของอูโรโบรอส?”
ซูฮยอนเรียกพวกมันว่าเจ้าตัวเล็ก งูแต่ละตัวมีขนาดพอๆกับอนาคอนดา เนื่องจากตามพื้นมีงูเลื้อยยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ภาพที่ปรากฏออกมาจึงเหมือนหนอนกําลังชอนไช
แม้ขนาดตัวของพวกมันจะใหญ่พอๆกับอนาคอนดา แต่ซูฮยอนคิดว่าเมื่อเทียบกับอูโรโบรอส ขนาดตัวของพวกมันเล็กกว่าหลายเท่า
“ดูเหมือนว่างูพวกนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกัน”
เช่นเดียวกับระบบกันภูมิคุ้มของมนุษย์ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านไวรัส และงูเหล่านั้นมีการทํางานที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเป็นหลักประกันให้อูโรโบรอสปลอดภัยทั้งภายนอกและภายใน
พิษสีดําและงูตัวเล็กๆที่แฝงอยู่ในลําตัวขนาดใหญ่ มีไว้เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งคอยทําหน้าที่กําจัดสิ่งแปลกปลอมอย่างซูฮยอน
ซูฮยอนชักดาบออกมาจากฝักอีกครั้ง หลังจากเก็บเข้าฝักไว้ช่วงก่อนหน้า ตรงหน้าเขาสามารถมองเห็นงูตัวเล็กตัวน้อยมากกว่าหนึ่งพันตัว เขาเชื่อว่าหากเดินลึกเข้าไป ข้างในต้องมีไม่น้อยกว่าหมื่นตัวอย่างแน่นอน
“ฉันต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้
พรึบ!!
ซูฮยอนถีบตัวพุ่งผ่านงูจํานวนมาก ระหว่างทางงูไม่ปล่อยให้เหยื่อคลาดสายตา พวกมันพุ่งเข้าใส่ซูฮยอนพร้อมแยกเขี้ยวสีดํา
ฉัวะ! ฉัวะ!!
เขาตวัดดาบฟันงูที่กระโจนเข้าประชิดตัว งูตัวขาดเป็น 2 ท่อน บาดแผลฉกรรจ์แต่กลับไม่มีเลือดกระเซ็น ที่เป็นเช่นนี้เพราะตัวงูสร้างขึ้นมาจากกายเนื้อล้วนๆ ทําให้ไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง แม้กระทั่งเครื่องในก็ไม่มีให้เห็น
เพราะฉะนั้นพวกมันจึงไม่กลัวความตาย ตามพื้นมีชากงูหลายตัวชักกระตุกยั้วเยี้ย แต่พวกมันก็ถาโถมเข้าใส่ซูฮยอนโดยไม่มีความลังเล
ฉัวะ!!
ดาบของซูฮยอนกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่องไม่มีพัก ทันใดนั้นเองเส้นทางที่ถูกเคลียร์จนโล่ง ก็มีงูแทรกออกมาจากพื้น ดูเหมือนว่าพวกมันจะสามารถโผล่ไปไหนก็ได้ตามใจปรารถนา
ฟอ!!
คมเขี้ยวของงูพุ่งทะลวงมาจากหลังคอซูฮยอน
เขารีบใช้สกิล [ร่างแยกเงา]
ฉีก!!
ซูฮยอนแกว่งดาบฟันตัวงูขาดครึ่ง เขาต้องควบคุมจิตใจไม่ให้วอกแวกและหันมาใส่ใจสภาพแวดล้อมรอบตัว เนื่องจากงูแทรกซึมมาจากทุกทิศทุกทาง พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก แต่พวกมันมีจํานวนเยอะเกินไป
“ฉันชักช้าไม่ได้อีกแล้ว
ยังเหลือหนทางอีกยาวไกลที่ซูฮยอนต้องฝ่าฟัน จากนี้เป็นต้นไปจะเป็นการต่อสู้เชิงกายภาพ
“ฉันต้องตามหาหัวใจของมันให้เจอ”
เขาจําเป็นต้องถนอมพลังเวทย์เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทําได้ ไม่รู้ว่าภายในร่างกายใหญ่โต หัวใจหลักของอูโรโบรอสหลบซ่อนอยู่จุดไหน เนื่องจากเขาไม่รู้ตําแหน่งที่แน่นอนและไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน การสงวนพลังเวทย์เอาไว้ใช้ยามจําเป็นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
วุป!!
ซูฮยอนยื่นมือเข้าไปที่มิติย่อย ควานหาหอกปราบมังกรที่รังสรรค์มาจากฝีมือคิมแดโฮ
หอกปราบมังกรเหลืออยู่ในการครอบครองของเขาไม่มากนัก ถ้าไม่จําเป็นจริงๆเขาก็ไม่อยากหยิบมันขึ้นมาใช้ แต่อาวุธที่มีประสิทธิภาพสามารถจัดการศัตรูหลายตัวได้พร้อมกันจนเหี้ยนคงหนีไม่พ้นหอกปราบมังกร
“ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูคิมแดโฮล่ะก็ ฉันโดนด่าตะเพิดแน่ๆ”
คิมแดโฮพูดกรอกหูให้ฟังทุกครั้งเกี่ยวกับการเก็บรักษาหอกปราบมังกรให้ดีๆ แต่ซูฮยอนกลับหยิบออกมาใช้อย่างสิ้นเปลือง เพราะตัวเลือกของเขามีไม่มาก เพื่อเป้าหมายและความสําเร็จ หอกปราบมังกรจึงกลายเป็นอาวุธคู่ใจชั่วคราว
ซูฮยอนจับหอกในมือแน่น ศัตรูตรงหน้ามีหลายตัวทําให้เขาไม่ต้องเสียเวลาเล็งเป้าหมาย
เพราะศัตรูตรงหน้าเป็นเป้าหมายที่ควรถูกกําจัด ซูฮยอนงอตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเหมือนกัน ธนูและเหวี่ยงหอกสุดวงแขน
หรือ!!
เมื่อเทน้ําร้อนลงไปในกาน้ําชา กลิ่นหอมอ่อนๆของใบชาลอยอบอวลไปทั่วห้อง นักเวทย์แห่งความมืดจํานวนหนึ่งยืนเรียงหน้ากระดานอยู่หลังแร้ง
มัลคอล์มมองชายชราตรงหน้าที่ได้รับการปรนนิบัติจากนักเวทย์แห่งความมืดหลายคนด้วยสายตางุ่นง่าน
“เจ้าเปลี่ยนไปมาก” มัลคอล์มกล่าว
“ไม่หรอก เจ้าเปลี่ยนไปมากกว่าข้าเสียอีก”
สิ้นเสียงคําพูดแร้ง มัลคอล์มจ้องมองไปยังนักเวทย์แห่งความมืดที่ยืนอยู่ด้านหลังของแร้ง
นักเวทย์แห่งความมืดที่มักแสดงสีหน้าบูดบึงใส่มัลคอล์ม เมื่อสบตากับมัลคอล์ม พวกเขารีบก้มหน้าลงพยายามหลีกเลี่ยงสายตา พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าแร้ง เจ้านายที่พวกเขาเคารพนับถือ คอยเป็นมือเป็นเท้าให้รู้จักกับมัลคอล์มเป็นการส่วนตัวด้วย
“เอาล่ะ อธิบายมาได้แล้ว”มัลคอล์มกล่าว
“เจ้าฉลาดหลักแหลม ข้ายังต้องอธิบายอีกเหรอ?”
“ฝีมือเจ้างั้นรึ?”มัลคอล์มถามพลางวางถ้วนชาลง
“ผู้ปรารถนามีอํานาจเบ็ดเสร็จเหนืออูโรโบรอสมีแค่เจ้า”
“ ข้ารู้สึกทุกขารมณ์ทุกครา เมื่อต้องออกหน้ายืมมือของเจ้าในการควบคุมสัตว์ตนนั้น”
“ถ้าเจ้ายังสํานึกว่าข้าคือเพื่อนของเจ้า…”
“ข้าพูดด้วยความสัตย์จริง เจ้าถือเป็นเพื่อนคนสําคัญของข้า ไม่มีความหมายแฝงอื่น”
มัลคอล์มเพ่งมองใบหน้าของแร้งพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนของเขาจริงๆ แต่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงคุยกันซึ่งๆหน้าเป็นครั้งแรก สําหรับเขา ในใจมีแต่ความผิดหวังมากกว่าความยินดี
“นานมาแล้ว เจ้าบอกว่าเวทย์แห่งความมืดคือศาสตร์ขั้นสูงกว่าเวทย์ทั่วไป” มัลคอล์มหลับตากล่าว ภายในหัวหวนนึกถึงคําพูดของแร้งที่เคยพูดเมื่อนานมาแล้ว
“เจ้ายังคิดอย่างงั้นอยู่อีกไหม”
“ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ”แร้งวางถ้วยชาลงและผลักให้ห่างออกจากตัว ราวกับว่าเขาไม่ต้องการยกมันขึ้นมาดื่มอีก
“ตามจริงพวกเรา 2 คนควรเป็นเพื่อนยากของกันและกัน”
“เจ้าไม่ใช่เพื่อนของข้าอีกต่อไป” ความหมายที่แท้จริงของคําพูดแร้ง คงมีความหมายประมาณนี้ ซึ่งมัลคอล์มไม่ใส่ใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว เนื่องจากเขาไม่เคยมองแร้งเป็นเพื่อนเลยสักครั้งและคําพูดของอีกฝ่ายเหมือนจะไม่เห็นมัลคอล์มเป็นเพื่อนด้วยเช่นกัน
แร้งเลิกสนใจเวทย์แขนงสามัญ และหันหน้าศึกษาเวทย์แห่งความมืดเต็มตัว เพราะเขาเชื่อว่าศาสตร์มืดเป็นสิ่งเลิศล้ํามากที่สุด ซึ่งเขาแตกต่างจากมัลคอล์ม หลังจากมัลคอล์มค้นพบความจริงเกี่ยวกับเวทย์แห่งความมืด เขาเลือกหันหลังให้มันโดยไม่รีรอ
“บอกมา เจ้ามาทําอะไรที่นี่”มัลคอล์มพูด
“มัลคอล์ม มีวิธีไหนบ้างที่จะทําให้ความสัมพันธ์ของพวกเราสามารถย้อนกลับไปยังจุดที่พวกเราเคยเป็น”
“เคยเป็น?”
“ถูกต้อง เจ้าไม่คิดถึงความรู้สึกเก่าๆมั่งรึ พวกเราศึกษาค้นคว้าและทําความเข้าใจร่วมกัน เดินไปในเส้นทางเดียวกัน”
“ข้าเคยพูดไปแล้ว ว่าตัวข้าไม่ใช่นักเวทย์แห่งความมืดอีกต่อไป ข้าเป็นเพียงชายชราแก่หงําเหงือกธรรมดาคนหนึ่ง” มัลคอล์มพูดพร้อมส่ายหน้า ราวกับจะสื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างของพวกเรามันจบลงไปนานแล้ว
ใบหน้าของแร้งบูดเบี้ยวชั่วพริบตา ไม่นานเขาก็แสดงใบหน้ายิ้มแย้มออกมา “ข้าเข้าใจการตัดสินใจของเจ้ามีอภิสิทธิ์เป็นของตัวเอง”
“ข้าจะไม่ฝืนใจบังคับเจ้าให้กลับมาเรียนเวทย์แห่งความมืด สิ่งที่ข้าต้องการคือสิ่งนี้”แร้งเอื้อมมือไปด้านหลังแล้วหยิบหนังสือส่งให้มัลคอล์ม
“การประกอบพิธีคิเมียร่า?”
พิธีคิเมียร่าเป็นเวทย์แขนงหนึ่งของเวทย์แห่งความมืด หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงวิธีการนํามนุษย์ มอนสเตอร์ สัตว์อสูร มาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“เจ้าเอามาให้ข้าดูทําไม บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับคิเมียร่า”
“ไม่จริง เจ้ารู้บางอย่างเกี่ยวกับมัน อย่ามาโกหกข้า”แร้งพูดราวกลับว่ารู้ทุกอย่าง เขาสายหน้า และหยิบหนังสือขึ้นมา
“ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่พวกเรา เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอูโรโบรอสมากที่สุด”
เมื่อคําพูดของแร้งจบลง ดวงตามัลคอล์มเบิกกว้าง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเสียงคํารามของอูโรโบรอส ใบหน้าเริ่มซีดเผือก
“อย่าบอกนะว่า… เจ้า?”
“จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์มีพลังเทียบเท่าอูโรโบรอส?”แร้งพูดพร้อมแสะยิ้ม
“เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นการก้าวข้ามขีดจํากัดของมนุษย์มั่งรึ?”
ตูม!! ตูม! ตูม!!
ฉีก!!
ซูฮยอนเหวี่ยงหอกปราบมังกรออกไปอีกครั้ง อานุภาพของมันกวาดล้างงูที่ขวางอยู่ตรงหน้าจนเหี้ยน เมื่อหอกลอยออกไปจากมือ เขาหยิบดาบขึ้นมาและวิ่งตือไปยังเส้นทางที่ถูกหอกเคลียร์จนโล่ง
“ฉันเหลือหอกสํารองอีกแค่ 3 เล่มเท่านั้น”
เดิมที่เขามีหอกพกติดตัวไปทั้งหมด 7 เล่ม ช่วงที่ผ่านมาเขาใช้ไปแล้วประมาณ 4 เล่ม
เขาคาดคะเนไว้หอกที่เหลืออาจถูกใช้จนหมดภายในวันนี้ก็ได้ ทําให้จิตใจของซูฮยอนรู้สึกปวดร้าวเล็กน้อย
เพราะวัสดุหลักในการสร้างหอกปราบมังกรคือหินอีเธอร์ หอก 1 เล่มใช้หินอีเธอร์จํานวนมาก นอกจากนี้กว่าจะสร้างได้แต่ละเล่มยังกินเวลาอีกหลายวัน
“ฉันควรเก็บหอกที่เหลือเอาไว้ก่อน
หอกปราบมังกรเป็นอาวุธที่สามารถผลาญชีวิตของงูได้ง่ายๆและยังใช้แรงเพียงเล็กน้อย ในตอนนี้ร่างกายของซูฮยอนยังคงมีกําลังวังชาเหลืออยู่ ต่อจากนี้ไปเขาวางแผนว่าจะพึ่งพาดาบให้มากขึ้น
ตึก!! ตึก!!
เสียงเต้นเป็นจังหวะดังออกมาอย่างแผ่วเบาจากระยะไกลๆ ฟังจากเสียงมันเป็นเสียงเต้นของหัวใจไม่ผิดแน่
“ในที่สุด”
แม้หูของซูฮยอนจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ แต่เขารู้ดีว่าหัวใจไม่ได้อยู่ใกล้ๆละแวกนี้ หลอดเลือดที่ซูฮยอนกําลังย่างก้าวไปเรื่อยๆมีลมพัดออกมาเป็นระยะๆ และตลอดเส้นทางยังมีทางปลีกย่อยเต็มไปหมด
กระนั้นหัวใจกลับอยู่ใกล้กว่าที่เขาเคยคิดไว้ ซูฮยอนเอาหูแนบผนังและพยายามหาแหล่งกําเนิดเสียง เสียงที่ดังแทรกซึมออกมาจากผนังหลอดอาหาร ดังก้องเป็นจังหวะหากซูฮยอนอยากไปถึงห้องหัวใจเร็วๆ เขาต้องทะลวงทางตรงและเดินตามเสียงไป
“อืม…ไม่น่ายากนะ”
ซูฮยอนไม่รู้ว่าผนังหลอดอาหารมีความหนามากแค่ไหน ทว่าภายในตัวมีแต่เนื้อเปราะบางไม่มีเกล็ดแข็งๆคอยรับการกระแทก เขาจึงคิดว่าการทะลวงผ่านมันไปคงไม่ยากอะไร
“ฉันควรหาโอกาสขอบคุณคิมแดโฮภายหลังซะแล้วสิ
ซอยอนหยิบหินก้อนเล็กๆออกมาจากกลางหน้าอกชุดเกราะ สิ่งที่หยิบออกมาเป็นอุปกรณ์ขยายพลังเวทย์ เขาคลําหาจุดบนผนังสักพักก่อนวางก้อนหินเป็นรูปวงกลม
ฟอ!!
แน่นอนว่าฝูงงูไม่ยอมรออยู่เฉยๆให้เหยื่อทําตามอําเภอใจ พวกมันกระโจนเข้าหาซูฮยอนอีกหน ปากอ้ากว้างเผยเขี้ยวแหลมคม
ซูฮยอนคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเจอสถานการณ์แบบไหน เขากระชับดาบในมือแล้วสะบัดดาบ
ฉัวะ!!
ตูม!
เปลวเพลิงลุกโชนหมุนวนบนใบดาบของซูฮยอน กําแพงเปลวเพลิงผุดขึ้นมาจากดินป้องกันตัวซูฮยอนรอบทิศ งูตัวใดก็ตามที่กระโจนหวังโจมตี ยังไม่ทันเข้าประชิดตัว ทั้งเนื้อทั้งตัวกลับโดนกําแพงเปลวเพลิงแผดเผา ลําตัวดําหงิกงอ
ยังไม่หมดเปลวเพลิงไม่ยอมมอบดับ มันยังทําหน้าที่ห่อหุ้มซูฮยอนเอาไว้เหมือนลูกโลกและแผ่คลื่นความร้อนออกมาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าจะคงรูปกําแพงเปลวเพลิงได้ไม่นาน แต่มันก็เพียงต่อการถ่วงเวลา
“เสร็จแล้ว”
ซูฮยอนผสมผสานพลังเวทย์ของตัวเองลงไปในอุปกรณ์ขยายพลังเวทย์ ที่ถูกจัดวางเป็นรูปทรงกลมบนผนัง
วุป!! วุป!!
ก้อนหินที่จัดเรียงไว้ส่องสว่างแสงพิสุทธิ์ออกมา ซูฮยอนรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าพลังงานยังไม่เพียงพอ เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและเน้นสมาธิทั้งหมดไปกับการโคจรพลังเวทย์
“อดทนไว้ อีกแค่นิดเดียว”
ฟ่อ!!!
งูกลุ่มหนึ่งเจาะผ่านกําแพงเปลวเพลิงมาได้และพุ่งเข้าหาซูฮยอน คมเขี้ยวแหลมแทงทะลุชุดเกราะคมเขียวฝังลงบนหัวไหล่ของเขา
ทันทีที่พิษสีดําซึมผ่านชั้นผิวหนังของซูฮยอน เกราะศักดิ์สิทธิ์ฟอลคอนเริ่มขับพิษออกจากร่างกายอัตโนมัติ
ซูฮยอนเมินเฉยต่อความเจ็บปวดบนหัวไหล่ สมาธิจดจ่อไปกับการปล่อยพลังเวทย์
“เอาล่ะ!”
หลังจากซูฮยอนประคับประคองพลังเวทย์แล้วถ่ายเทเข้าไปในก้อนหิน ในที่สุดพลังงานก็เติมเต็มเสียที
หมับ!!
ซูฮยอนดึงออกมาจากหัวไหล่แล้วโยนมันออกไปไกลๆ ก่อนซอยเท้าวิ่งหนีถอยห่างจากจุดเดิม
ตูม!! ตูม!!
คลื่นพลังเวทย์อันเข้มข้นแพร่กระจายออกมาจากก้อนหิน ไม่นานเสียงระเบิดก็ดังขึ้น พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนอย่างหนัก แรงระเบิดทําให้ผนังหลอดอาหารของอูโรโบรอสฉีกกระชากออกจากกัน
การระเบิดทําให้ผนังแปรสภาพเป็นรูกลวงโบ๋ พื้นที่แห่งใหม่ดูกว้างขวางกว่าเดิม ไม่มีวี่แววหรือร่องลอยของหัวใจอยู่ในโดมแห่งนี้ แต่เสียงเต้นของหัวใจได้ยินเด่นชัดขึ้น
ฟอ!!!
กลางพื้นที่กว้างขวางแทนที่จะเป็นหัวใจ กลับกลายเป็นว่ามีฝูงงูจํานวนมากคลานรอการมาเยือนซูฮยอนอยู่
“เฮ้อ ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ”
ตึก!! ตึก!!
หัวใจอยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่ แค่มองไม่เห็นเท่านั้น
“ฉันมั่นใจว่ามันต้องอยู่ที่นี่
ซูฮยอนเพ่งสายตามองสํารวจสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบ ท่ามกลางฝูงงูหลายร้อยตัว มีอยู่หนึ่งจุดที่มีฝูงงูพิษรวมตัวโดยเฉพาะ และภายในกลุ่มงูพิษมีช่องไฟเว้นไว้เห็นสะดุดตา ซึ่งซูฮยอนมองเห็นว่าข้างในมีวัตถุทรงกลมปริศนา รูปทรงคล้ายๆแตงโมวางอยู่ในช่องไฟนั้น
“ใช่หรือป่าวนะ??
ดวงตาของซูฮยอนเปล่งประกายวาวโรจน์ หากเดาไม่ผิดสิ่งนั้นต้องเป็นแกนกลางพลังงานที่ทําหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตัวนี้เป็นแน่
ทันทีที่ซูฮยอนค้นพบสิ่งต้องสงสัย เขาอัดพลังเวทย์อันแข็งแกร่งลงไปที่ขาและตัดสินใจใช้สกิลกระโดดออกมาฉับพลัน