ตอนที่ 128
หลังจากพวกเขาเดินตามหลังซูฮยอน เวลาล่วงเลยไปแล้วประมาณ 5 นาที สถานการณ์รอบๆยังปกติสุข ไม่มีเหตุการณ์พิศวงเกิดขึ้น แต่พวกเขาไม่สามารถหย่อนใจได้ เพราะไม่มีใครทราบว่าระหว่างทางบรรดากับดักหรือมอนสเตอร์จะโผล่ออกมาจากทิศไหน หากพวกเขาเดินสุ่มสี่สุ่มห้าอาจเหยียบกับดักโดยไม่รู้ตัว
“หยุดก่อน ข้างหน้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่!”มิราลด์ที่เดินตามหลังซูฮยอนตรวจจับอะไรบางอย่างได้ จึงตะโกนแจ้งเตือน
พูดยังไม่ทันขาดคํา ด้านหน้าซูฮยอนพลันเกิดแสงสีขาวสว่างวาบออกมา
ฉัวะ!!!
ไส้เดือนยักษ์พุ่งพรวดออกมาจากพื้นดิน เคราะห์ร้ายที่มันโชว์ตัวได้ไม่นาน ก็โดนคมดาบฟันลําตัวขาดเป็นสองเสียง เลือดสีเขียวเข้มสาดกระเซ็นไปทั่วโถงทางเดิน
ฉับพลันที่มอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น ซูฮยอนตอบสนองอย่างว่องไว เขาเร่งชักดาบออกมาจากผัก แล้วตวัดดาบฟันตัวของมันเต็มเหนี่ยว มอนสเตอร์ไหวตัวไม่ทันโดนคมดาบไปเต็มๆ
ซูฮยอนหันไปพูดกับคนข้างหลังอย่างลวกๆพลางสะบัดเลือดที่เกาะอยู่บนใบดาบ “เรียบร้อย เดินหน้าต่อเถอะ”
“เอ่อ..ได้”
พวกเขาตัดสินใจเดินหน้ากันต่อ แต่เหตุการณ์คล้ายๆกับรอบแรกเกิดขึ้นตลอดการเดินทาง พวกเขาพยายามแจ้งเตือนซูฮยอนให้ระวังมอนสเตอร์และกับดักที่รออยู่ด้านหน้า เพื่อหวังให้ตนเองได้รับคะแนนความสําเร็จเล็กๆน้อยๆ
ทว่าการกระทําของพวกเขากลายเป็นไร้ประโยชน์ เพราะปฏิกิริยาของซูฮยอนเร็วกว่าพวกเขา 4 คนเสมอ
<<โธ่เอ๊ย ถ้าเขาไปถึงทางออกทั้งแบบนี้ละก็ พวกเราแย่แน่>>
<<จะเกิดอะไรขึ้น หากเขาได้คะแนนความสําเร็จไปคนเดียว?>>
พวกเขาพยายามใช้สมองวิเคราะห์สถานการณ์ มอนสเตอร์และกับดักที่โผล่ออกมามีเยอะจนนับไม่ถ้วน แต่ซูฮยอนที่เป็นผู้นําทางได้กําจัดอุปสรรคทั้งหมดออกไปอย่างไม่ยากเย็น เห็นได้ชัดว่าที่นั่งเข้าสู่รอบถัดไปจํานวน 2 ที่นั่ง หนึ่งในนั้นซูฮยอนจับจองไว้แล้วเรียบร้อย เหลืออีกแค่ 1 ที่นั่งเท่านั้นที่ยังเว้นว่างอยู่
<<อีกหนึ่งคนที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบถัดไปได้ คนที่เป็นคนตัดสินใจคงหนีไม่พ้นซูฮยอน>>
ความคิดทํานองเดียวกันหมุนเวียนอยู่ในจิตใต้สํานึกของทุกคน ขณะนั้นเองโทนเสียงที่ชินหูก้องขึ้นในหัวของพวกเขา 3 คน
-ทุกคน ฉันมีความคิดดีๆมาเสนอ หลังจากพวกนายฟังจบ หากเห็นด้วยให้พยักหน้า โอเคไหม?
ทั้ง 3 คนแสดงสีหน้าตกตะลึงและหันหน้ามองไปที่มิราลด์
-อย่าหันหน้ามามองฉันสิ เดี๋ยวเขาจะจับพิรุธได้
จังหวะการก้าวเดินของพวกเขาหยุดลึกลงครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นปกติ ซูฮยอนที่เดินนําหน้าเหลือบมองมาด้านหลังแวบหนึ่งและเลิกสนใจ มิราลด์ลูบหน้าออกตัวเองและพูดกับทั้ง 3 คนต่อ..
-พวกนายคิดว่าไง? เห็นด้วยกับฉันไหม?
พวกเขา 3 คนยั้งคิดครู่หนึ่งและเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยที่ละคน คําแนะนําของมิราลด์มีโอกาสเป็นไปได้และไม่แย่จนเกินไป การแข่งขันสามารถใช้ยุทธวิธีได้ทุกอย่าง ยกเว้นหันคมดาบฆ่าฟันกันเอง…
ตูม!!
พื้นดินเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ ไม่นานไส้เดือนยักษ์ก็พุ่งพรวดออกมา ไส้เดือนยักษ์ที่โผล่ออกมามีปากมโหฬารอยู่บริเวณส่วนหัว นอกจากปากส่วนหัว ลําตัวของมันก็รายล้อมไปด้วยปากเล็กๆ เต็มไปหมด พิษสีเขียวกระฉอกออกมาจากปากเล็กๆเจิ่งนองเต็มพื้น..
“ทุกคนระวัง! มันคือไส้เดือนกินเนื้อ!!”มิราลด์ตะโกนชื่อมอนสเตอร์ออกมาราวกับว่าเธอเคยเห็นมันมาก่อน “ของเหลวที่กระฉอกออกมาจากตัวของมัน คือ พิษร้ายแรง อย่าเผลอไปสัมผัสกับมันเชียว ยิ่งไปกว่านั้นเขี้ยวของมันแข็งแรงเป็นอย่างมาก บดขยี้ได้แม้กระทั่งเหล็ก”
“แล้วพวกเราจะจัดการมันยังไง?”ผู้ตื่นขึ้นคนหนึ่งถาม
“จุดอ่อนคือไฟ ผิวหนังที่อ่อนนุ่มของมันไวต่อความร้อนมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นวิธีจัดการมัน…”
ฟรึ่บ!!
ขณะมิราลด์กําลังอธิบายวิธีจัดการมอนสเตอร์ให้คนอื่นๆในทีมฟัง ซูฮยอนกระโดดพรวดเข้าไปในปากของไส้เดือนกินเนื้อโดยพลัน ดวงตาของทุกคนเบิกโพล่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก
หลังจากนั้นไม่นาน ลําตัวของไส้เดือนกินเนื้อเริ่มโงนเงนและสั่นงักเป็นจังหวะ
ฉัวะ!!!
โฮกกก!! โฮกกก!
ลําตัวของไส้เดือนกินเนื้อถูกคมดาบเสียบทะลุออกมาผิวหนังชั้นนอก กลิ่นเนื้อไหม้เหม็นโชยออกมาจากปากขนาดใหญ่ ไส้เดือนกินเนื้อบิดลําตัวและเปล่งเสียงร้องครวญคราง เหตุการณ์ดําเนินไปได้ชั่วอึดใจ ในไม่ช้าไส้เดือนกินเนื้อก็นอนแน่นิ่งหมดลมหายใจบนพื้นดิน
4 คนที่เหลือถอยกรูดไปตั้งหลักด้านหลัง พวกเขามองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างล้ำอึ้งพูดไม่ออก ใครจะไปคาดคิดว่าซูฮยอนจะกระโดดพรวดเข้าไปในปากของไส้เดือนกินเนื้อและโจมตีมันจากภายในอย่างงั้น
“นายไม่เป็นอะไรนะ?”มิราลด์เดินปรี่เข้าหาซูฮยอนและถาม
แม้ไส้เดือนกินเนื้อจะเป็นเพียงภาพหลอน แต่ซูฮยอนกระโดดเข้าไปในตัวของไส้เดือนกินเนื้อโดยตรง เขาไม่มีทางหลบหนีการกัดกร่อนของพิษได้แน่ และสุดท้ายเขาจะถูกคัดออกจากการทดสอบ..
“ไม่เลย ฉันสบายดี”
“สบายดี? เป็นไปไม่ได้ นายไม่สัมผัสโดนพิษของไส้เดือนกินเนื้อเลยเหรอ?”
“ภาพหลอนก็คือภาพหลอน จอห์นนี่ แบรด ผู้เกรียงไกรคนนั้น คงไม่สามารถคัดลอกคุณสมบัติพิษของมอนสเตอร์ตัวจริงมาไว้ในการทดสอบได้หรอก” ผู้ตื่นขึ้นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังมิราลด์พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว จากนั้นเขาก็สบถค่าการแข่งขันด้วยถ้อยคําหยาบคายเมื่อระบายความในใจออกมาจนหมด เขาเงยหน้ามองซูฮยอนและพูดขึ้นว่า
“ไส้เดือนกินเนื้อก็ตายไปแล้ว เดินหน้าต่อเถอะ หากหาทางออกเมื่อไหร่ นายคงเป็นคนแรกที่ผ่านการทดสอบ เผลอๆในกลุ่มพวกเรา นายอาจเป็นคนเดียวด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกระแหนะกระแหน เขากําลังบอกกับซูฮยอนเป็นนัยๆว่ามีความสุขมากใช่ไหม ที่เก็บคะแนนความสําเร็จเอาไว้หมดคนเดียว?
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึกไม่พอใจ ใบหน้าของเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ต่างจากเขามากนัก
ซูฮยอนมองหน้าเพื่อนร่วมทีมและยักไหล่
ทีมเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ซูฮยอนยกมือสัมผัสกําแพงเขาวงกต..
<<ตําแหน่งทางออกอยู่อีกไม่ไกล>>
ซูฮยอนเหลียวหลังกลับไปมองเพื่อนร่วมทีม คนอื่นๆก็ยกมือสัมผัสกําแพงเหมือนกับเขา ระยะทางออกอยู่อีกไม่ห่าง พวกเขาอาจค้นหาตําแหน่งทางออกเจอแล้วก็ได้
กับดับและมอนสเตอร์มีระดับไม่สูงมาก หากผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เข้ามาในเขาวงกตคนเดียวอาจจะยาก แต่สําหรับพวกเขา 5 คนมันไม่เหลือบ่ากว่าแรง ดังนั้นซูฮยอนจึงตั้งข้อสันนิษฐาน บางทีเป้าหมายของการทดสอบครั้งนี้ อาจไม่ใช่การหลบหนีออกจากเขาวงกตตั้งแต่แรก..
<<ภารกิจระบุเอาไว้ว่าคนที่ได้คะแนนมากที่สุด 2 คน สามารถผ่านเข้าสู่รอบถัดไปได้…>>
ขณะซูฮยอนจมเข้าสู่ห้วงความคิด เขาหยุดชะงักอยู่กับที่และพูดขึ้น “คิดอะไรเพลินไปหน่อย เผลอติดอยู่ในกับดับซะแล้วเรา”
ฟ่อ!! ฟ่อ!!
งูจํานวนมากไต่ไปตามฝาผนังเขาวงกตยั้วเยี้ย บนพื้นที่มีสภาพไม่ต่างกัน จากดินสีแดงเปลี่ยนเป็นดินสีม่วงแกมดํา รอบๆตัวซูฮยอนเต็มไปด้วยฝูงงูนับหมื่น..
ซูฮยอนก้มมองปลายเท้าของตัวเองและเปิดปากถาม “นายคิดจะทําอะไรกันแน่?”
เขี้ยวสีดําโผล่ออกมาจากพื้นดินแล้วกัดลงไปบริเวณข้อเท้าของซูฮยอนเต็มแรง เขี้ยวที่แหลมคมและแข็งแรงฝังลึกไปถึงกระดูกข้อเท้า ต่อให้ซูฮยอนยกเท้าขึ้นมาสะบัด ก็ไม่มีทางหลุด
สายตาถมึงทึงของซูฮยอนจ้องมองชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ซึ่งเขาเป็นคนเรียกเขี้ยวสีดําพวกนี้ออกมา..
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทําอะไรนายหรอก ฉันแค่อยากชี้แนะแนวทางให้นายแค่นั้นเอง” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
ซูฮยอนนึกชื่อชายตรงหน้าไม่ออก แม้ว่าเขาจะเคยเห็นชื่ออีกฝ่ายผ่านตามาแล้วตอนที่ถูกเรียกตัวมาที่นี่ครั้งแรกก็เถอะ ชื่อของอีกฝ่ายจืดตาไม่มีอะไรน่าจดจําและซูฮยอนก็ไม่อยากเก็บชื่ออีกฝ่ายให้เปลืองพื้นที่ในสมองด้วย..
“ชี้แนะแนวทางเหรอ…” ซูฮยอนพึมพัม
ซูฮยอนมองสํารวจพวกเขาทั้ง 4 คนที่กําลังยืนล้อมรอบ พวกเขา 4 คนเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศของตน แต่สําหรับนานาประเทศชื่อเสียงของพวกเขาเปรียบเสมือนเม็ดทราย
ผลงานของซูฮยอนบีบบังคับให้พวกเขาไม่มีทางเลือก สาเหตุที่พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมสงครามแก่งแย่งอันดับ เพื่อพิสูจน์ความสามารถตนเอง หากโดนคัดออกตั้งแต่รอบแรกมีหวังพวกเขาถูกคนในประเทศหัวเราะเยาะแน่..
“นายกําลังจะบอกฉันว่า ผู้เข้าแข่งขันหายไปหนึ่งคน จะยิ่งทําให้พวกนายผ่านการทดสอบได้ง่ายขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”ซูฮยอนถาม
“อย่าทําหน้าตาน่ากลัวอย่างงั้นสิ พวกเราก็บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะไม่ฆ่านาย พวกเราแค่อยากให้นายตกรอบเท่านั้นเอง ยอมจํานนต่อพวกเราดีๆเถอะ”
ซูฮยอนเมินเฉยคําพูดของชายตรงหน้า เขาสาดส่องสายตามองหากล้องที่กําลังจับภาพอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขาวงกต
ทันใดนั้นปลายประสาทของซูฮยอนก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังเวทย์ มิราลด์ซึ่งยืนอยู่ไกลกว่าคนอื่นกําลังร่ายสกิลของเธอออกมา
“ภาพหลอนซ้อนทับภาพหลอน ในบรรดาทั้ง 4 คน ฉันเดาว่าเธอมีฝีมือมากที่สุด”
“รู้ด้วยเหรอ ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เปลืองน้ำลายอธิบาย”มิราลด์กล่าวตอบ
กล้องที่จับภาพพวกเขาทั้ง 5 คนเอาไว้จู่ๆก็บิดเบี้ยวกะทันหัน ภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอ เพื่อให้คนภายนอกได้รับชมการทดสอบด้านในเริ่มผิดแผกไปจากเดิม
ภาพหลอนที่มิราลด์สร้างขึ้นเทียบกับภาพหลอนของจอห์นนี่ แบรดไม่ติด เพราะสกิลของจอห์นนี่ แบรด กินขอบเขตไปทั่วสนามแข่งขันขนาดใหญ่ แต่ภาพหลอนของมิราลด์กินขอบเขตแค่วงแคบๆเท่านั้น
ทว่าความสามารถของมิราลด์ถือได้ว่ายอดเยี่ยมมาก แม้ว่าภาพหลอนของเธอจะถูกจํากัดไว้ที่วงแคบๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้ตื่นขึ้นจะสามารถใช้ภาพหลอนครอบทับภาพหลอนของจอห์นนี่แบรดอีกชั้นหนึ่ง
“4 ต่อ 1 ไม่ต้องบอกพูดให้มากความ นายคงเดาออกว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไง”มิราลด์พูด
“เธอไม่คิดบ้างเหรอว่าวิธีการของเธอมันน่าขายหน้า”
“ต่อให้เธอพยายามปิดบังความจริงเอาไว้ แต่อีกไม่นานกล้องต้องจับภาพฝูงบนพื้นได้แน่แล้วความจริงจะถูกเปิดเผย”
มิราลด์ไม่ยี่หระและกล่าวตอบซูฮยอนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉันขอโทษนายจริงๆ นายต้องทําความเข้าใจด้วยว่าสาเหตุที่พวกเราทําลงไป เพราะพวกเราไม่มีทางเลือก โลกก็เป็นเช่นนี้ คนเก่งเกินหน้าเกินตา มักมีจุดจบไม่สวย”
“ถูกต้อง ใครใช้ให้นายเป็นคนโลภโมโทสันกันล่ะ ถ้านายร่วมมือกับพวกเราแต่แรก…”
ทั้ง 4 คนห้อมล้อมซูฮยอนและบอกกล่าวความในใจออกมาหูดับตับไหม้ อารมณ์ที่แสดงออกมาจากกิริยาของพวกเขา ราวกับว่าความผิดทั้งหมดเป็นของซูฮยอนเพียงคนเดียว
ซูฮยอนที่ได้รับฟังเสียงบ่นรําพึงรําพันเริ่มมีสีหน้าเหยเก
เขาถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวตอบ “ในสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องตลกที่พวกนายหยิบออกมาพูด ฉันทําความ [เข้าใจ] และ [ยอมรับ] ได้”
“ขอเตือนด้วยความหวังดี นายหุบปากไปจะดีกว่า หากนายยังกล้ายั่วโมโหพวกเราล่ะก็…”
“แต่มีอยู่ 2 อย่างที่พวกนายคิดผิด” ซูฮยอนพูดงมงํา
ปัง!!
ซูฮยอนยกเท้าขึ้นมาแล้วกระทืบพื้นเต็มแรง เขี้ยวที่กัดบริเวณเท้าของเขาแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ เศษเขี้ยวสีดํากองเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ชายที่ใช้สกิลเรียกเขี้ยวสีดําออกมาขมวดคิ้วชนกัน สกิลของเขาไม่ควรโดนทําลายง่ายๆแบบนั้น
“อย่างที่หนึ่ง พวกนายคิดมาตลอดว่ากับดักและมอนสเตอร์ในเขาวงกตเป็นเพียงภาพหลอนทั่วไป แต่ความจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น โดยเฉพาะเธอ…”ซูฮยอนจ้องไปที่มิราลด์และพูดต่อ
“เธอเป็นผู้ใช้สกิลภาพหลอนเหมือนกัน น่าจะสัมผัสได้ถึงจุดนั่นเร็วกว่าใครพวก หากเธอบอกว่าไม่รู้ ฉันจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลยคอยดู”
“ไม่ต้องมาสอนฉัน ฉันรู้มากกว่านายเป็นร้อยเท่า”
“ความรู้แค่หางอึ้งยังมีหน้ามาอวดดีอีก”
“นายก็อวดดีเหมือนกันนั้นแหละ”
“อย่างที่สอง” ซูฮยอนเมินมิราลด์และกวาดตามองทุกคน “คิดจริงๆเหรอว่าฉันอ่อนแอจนสู้พวกนายไม่ได้?”
เนตรที่สามกลางหน้าฝากซูฮยอนค่อยๆแง้มออก ดวงตาสีเหลืองอําพันให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเสมือนไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์จ้องมองพวกเขาทั้ง 4 คน แต่พวกเขาไม่ได้กริ่งเกรงหรือแปลกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะผู้ตื่นขึ้นมีสกิลพิลึกกึกกือเต็มไปหมดและยังมีหลายรูปแบบอีกต่างหาก การที่ร่างกายซูฮยอนมีอวัยวะงอกเงยออกมาใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สําหรับพวกเขา
แต่มีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่หาต้นตอไม่ได้ ส่งผลกระทบให้ร่างกายพวกเขาสั่นเทาไม่หยุด มิราลด์ที่เผชิญหน้ากับซูฮยอนตรงๆ สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ชอบมาพากล ชาย 3 คนที่เหลือ เริ่มรู้สึกได้เช่นกัน
พวกเขาหันมองหน้าเพื่อปรึกษากัน เมื่อทราบว่าทุกคนมีความรู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน หมายความว่าลางร้ายกําลังคืบคลานมาหาพวกเขา
ฟ่อ!! ฟ่อ!!
หลังจากฝูงงูแทรกตัวออกมาจากฝาผนัง พวกมันไม่ได้เลื้อยไปไหน นอกจากขนดตัวอยู่กับพื้นเฉยๆ ราวกับว่ารอคอยอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้พวกมันกําลังเลื้อยไปหยุดข้างกายซูฮยอนและองมองมายังพวกเขา 4 คน ท่าทางข่มขู่ที่ฝูงงูแสดงออกมาราวกับว่าพวกมันกําลังทําหน้าที่อารักขาซูฮยอนผู้เป็นนายอยู่ยังไงยังงั้น
พวกเขา 4 คนที่ประจักษ์เหตุการณ์ตรงหน้าเส้นขนสรรพางค์กายตั้งชันพร้อมกัน เหตุเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเคยเห็นฝูงหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามอนสเตอร์เชื่อฟังคําสั่งของมนุษย์มาก่อน มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นและไม่มีทางเป็นไปได้
<<จอห์นนี่ แบรด!! >>
จู่ๆชื่อของชายคนหนึ่งก็เด้งขึ้นมาในหัวของมิราลด์ ซึ่งภาพหลอนที่ใช้ในการแข่งขันอยู่ตอนนี้ก็เป็นฝีมือของเขา
“ไม่ยุติธรรม! ทําไมจอห์นนี่ แบรด ถึงยื่นมือช่วยเหลือนาย? โกงกันเห็นๆ” มิราลด์ตะโกนออกมาเสียงดัง
“หึ เธอนี้มันโง่เง่าสุดลิ่มจริงๆ” ซูฮยอนพูดค่อนขอด
เขาเลิกสนใจมิราลด์และชายตามองฝูงงูรอบตัว “สมแล้วที่จอห์นนี่ แบรด ได้ฉายาว่าเป็นผู้ตื่นขึ้นยอดอัจฉริยะด้านภาพหลอน นึกไม่ถึงจริงๆว่ารายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับอุปนิสัยมอนสเตอร์ เขาจะยัดไว้ในภาพหลอนด้วย ฉันแค่ลองทดสอบดู ดันได้ผลซะงั้น
“พร่ำบ้าอะไรของนาย?”
“อธิบายให้เธอฟังก็เสียเวลาเปล่าๆ สมองมีแต่ขี้เลื้อยอย่างเธอคงไม่มีวันเข้าใจ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียว อีก 3 คนที่อยู่ข้างเธอก็คงไม่ต่างกัน”
เนตรที่สาม – ผู้ล่า]
คุณลักษณะ [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] ของซูฮยอน เป็นสกิลที่มีอํานาจครอบงําจิตใจมอนสเตอร์ที่มีระดับความแข็งแกร่งต่ำกว่าเขาได้เป็นอย่างดี การใช้สกิลออกมาแต่ละครั้งจําเป็นต้องเสียพลังเวทย์มหาศาล เพื่อเป็นการถนอมพลังเวทย์เอาไว้ใช้ยามจําเป็น ทางเลือกที่เขาควรทําคือการใช้ดาบสังหารฝูงงู มากกว่าการใช้สกิล [เนตรที่สาม ทว่าสถานการณ์รอบๆกลับเป็นใจให้เขา
ฝูงที่โผล่ออกมาตามฝาผนังเขาวงกตและใต้ดินมีหลายสายพันธุ์ คุณลักษณะ [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] ต้นกําเนิดมาจากอูโรโบรอส ซึ่งเจ้าโอโรโบรอสเป็นสัตว์อสูรที่รู้จักกันดีในนามเทพเจ้าแห่งทั้งปวง
คุณลักษณะ [เนตรที่สาม] ของอูโรโบรอสมีอํานาจกดขี่ฝูงงูได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ฝูงงูหลายหมื่นตัวเชื่อฟังคําบัญชาของซูฮยอนแต่โดยดี นึกไม่ถึงว่าภาพหลอนที่จอห์นนี่ แบรดสร้างขึ้นจะใส่ลูกเล่นเล็กๆเช่นนี้เอาไว้ด้วย
สําหรับซูยอนภาพหลอนของจอห์นนี่แบรดมีความสมจริงมากที่สุด แต่เพื่อนร่วมทีมอีก 4 คนไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาเชื่อว่าภาพหลอนที่ใช้ในการแข่งขัน ไม่ได้แตกต่างจากภาพหลอนปกติ เพราะพวกเขาเห็นซูฮยอนจัดการมอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาตามทางได้อย่างไม่ยากเย็น
ดังนั้นข้อสรุปที่พวกเขาได้คือภาพหลอนที่กําลังเผชิญหน้าก็เป็นได้แค่ของจําลอง ไม่มีทางสู้ของจริงได้ ด้วยความประมาทเลินเล่อสุดท้ายก็นําปัญหามาสู่ตน สาเหตุหลักของปัญหาคือพวกเขาประเมินภาพหลอนต่ำเกินไปและคิดว่าซูฮยอนเป็นพวกปวกเปียก
“พวกนายจําได้ไหม พวกนายบอกให้ฉันยอมจํานนสินะ?”
ซูฮยอนซึ่งตามองผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทั้ง 4 คนที่กําลังซื้อาวุธมาทางเขา
ตอนที่ได้ฟังคําอธิบายการทดสอบ ซูฮยอนคิดว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายช่างง่ายดายเหลือเกิน ตลอดการเดินทางจืดชืดและเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ แต่หลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง จวนถึงประตูทางออก นับเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้น
“คําพูดที่พวกนายเคยบอกกล่าวต่อฉัน ฉันจะแสดงให้เห็นเป็นขวัญตา คําว่า [ยอมจํานน] ที่แท้จริงเป็นเช่นไร”