ตอนที่ 121
สเน็คไลอ้อนพร้อมใจกันลดหางต่ำและเอาหัวปักลงบนพื้น ไม่กล้ายกหัวขึ้น
“กะเกิดอะไรขึ้น?”
“ทําไมพวกมันถึงไม่ยอมสู้”
“ไอ้เจ้าสัตว์เดรัจฉานหน้าโง่ ข้าบอกให้ฆ่าเขาซะ ไม่ได้ยินหรือไงฟะ?”
“เพราะอะไรกันแน่ ทําไมถึงเป็นยังงี้ไปได้?”
“อืม…พอลองสังเกตให้ดีๆ เหมือนมอนสเตอร์พวกนั้นกําลังก้มหัวอยู่ใช่หรือป่าว…”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึกทึกออกมาจากหมู่ผู้ชม..
แน่นอนว่าเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เพราะมีนักรบจํานวนมาก มีพลังอํานาจกดขี่มอนสเตอร์ให้หวาดกลัวได้ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลย ที่มอนสเตอร์ยอมก้มหัวในกับมนุษย์ก่อน
ยกเว้นผู้ฝึกมอนสเตอร์ที่ใช้วิธีการเอาอาหารมาล่อ เพื่อทําให้มอนสเตอร์ตัวนั้นเชื่อฟังคําสั่งแต่การฝึกให้พวกมันเชื่อฟังต้องใช้เวลานานเป็นปี
เพราะฉะนั้น ลูกแกะที่ถูกเลือกให้มาเป็นเครื่องบูชายัญ ไม่มีทางเป็นผู้ฝึกมอนสเตอร์มาก่อนแน่นอน
“เจ้ากําลังจะบอกว่า มอนสเตอร์เป็นฝ่ายยอมก้มหัวให้มนุษย์ก่อนงั้นเหรอ?”
“อย่าบอกนะว่า มีการเตี๊ยมเอาไว้ก่อนล่วงหน้า? หรือเพราะมีอะไรบางอย่าง ทําให้พวกมันกลัว?”
ฝูงชนที่นั่งชมอยู่บนอัฒจันทร์กระซิบกระซาบกันเบาๆ พวกเขาอยากรู้จริงๆว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ทําไมสเน็คไลอ้อนทั้ง 4 ตัว ถึงหยุดการเคลื่อนไหว เป็นฝีมือซูฮยอนจริงหรือ?
“กลับไปที่กรงของแกซะ และก็… “ซูฮยอนพูดกับสเน็คไลอ้อนจบ ก็ผันหน้าไปมองผู้ฝึกมอนสเตอร์ที่ยืนอยู่ข้างกรงเหล็ก
“ไปนํามอนสเตอร์ตัวอื่นออกมาเดี๋ยวนี้”
| ออร่าที่ซูฮยอนปล่อยออกมา ทําให้ผิวกายของเหล่าผู้ฝึกมอนสเตอร์เริ่มขาวซีด พวกเขารีบขยับร่างกายและเตรียมมอนสเตอร์ตัวใหม่ออกมา
สเน็คไลอ้อนเดินกับเข้าไปในกรงของมันอย่างว่าง่าย ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่าซูฮยอนเป็นผู้ฝึกมอนสเตอร์ตัวจริงของพวกมัน
<<นี่นะเหรอคือ “คุณสมบัติผู้ล่า” >>
ตอนนี้ซูฮยอนประจักษ์แจ้งถึงความสามารถเนตรที่สามแล้วว่ามีความสามารถเป็นอย่างไร
เมื่อสเน็คไลอ้อนจ้องมองเนตรที่สาม พวกมันยอมทําตามคําสั่งซูฮยอนอย่างว่านอนสอนง่าย
<<พอใช้ได้ ไม่ได้แย่อะไรมาก>>
เป็นอย่างที่ชื่ออธิบายไว้ [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] ความสามารถของมัน คือบีบบังคับมอนสเตอร์ที่มีระดับต่ำกว่า ให้ตกอยู่ในสภาวะตื่นกลัว
มองด้วยตาเปล่าอาจคิดว่าความสามารถของมันแค่ทําให้มอนสเตอร์ตกใจกลัว แต่หากมองลึกลงไป จะพบว่ามันยังสามารถบงการจิตใจของฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย
มีความเป็นไปได้ว่าระหว่างที่สเน็คไลอ้อนจ้องเขม็งมายังซูฮยอน พวกมันอาจเห็นภาพเงาเลือนลางของอูโรโบรอสซ้อนทับกับร่างกายของเขา
<<ความสามารถนี้ เหมาะใช้ยามเผชิญหน้ากับฝูงมอนสเตอร์อ่อนแอจํานวนมาก เอาล่ะ..ขั้นตอนต่อไปก็>>
ซูฮยอนหลับตา…
ทันใดนั้นเกล็ดปริศนาพลันงอกออกมาจากชั้นผิวหนังซูฮยอน ลักษณะภายนอกของเกล็ดมีความคล้ายคลึงกับเกล็ดอิมูกิ แต่มีความแข็งแกร่งและความทนทานมากกว่าเดิม
โฮกกกกก!!!
เสียงคํารามมอนสเตอร์ดังกึกก้องทั่วโคลอสเซียม…
มอนสเตอร์ทั้ง 8 ตัวถูกลากออกมากองไว้อยู่ด้านข้างของโคลอสเซียม
กรงเหล็กขนาดใหญ่วางเรียงรายเป็นตับอยู่ตรงหน้า มีมากกว่ารอบที่แล้วถึง 1 เท่า
แม้เสียงคํารามจะดึงดูดความสนใจซูฮยอน แต่เขายังไม่เคลื่อนไหวไปไหน เขายังคงหลับตาและยืนนิ่งอยู่กับที่เฉยๆดั่งเดิม
ไม่นานกรงเหล็กขังมอนสเตอร์ก็ถูกลากออกมากลางสนามโคลอสเซียม
ผู้ฝึกมอนสเตอร์ค่อยๆเปิดฝากรงเหล็กออกทีละกรงและปล่อยให้มอนสเตอร์ยืนเด่นสง่ากลางสนามโคลอสเซียม เมื่อองค์ประกอบเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ผู้ฝึกมอนสเตอร์จึงตะโกนออกคําสั่ง
เมื่อมอนสเตอร์ทั้ง 8 ตัวได้รับคําสั่ง สายตากระหายเลือดพุ่งเป้าไปที่ร่างกายซูฮยอนและวิ่งถาโถมเข้าใส่
ซูฮยอนได้ยินเสียงมอนสเตอร์กระพือปีกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
<<ฉันรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกแก>>
แม้ว่าซูฮยอนจะมองไม่เห็นว่ามอนสเตอร์เคลื่อนไหวรูปแบบไหนผ่านดวงตาของเขา แต่เขายังสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังชีวิตและรู้ตําแหน่งของพวกมันอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ซูฮยอนไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษรูปแบบอื่นเลยด้วยซ้ำ นอกจากเนตรที่สาม
ฉัวะ!!!
หัวของมอนสเตอร์โผเข้าหาจากบริเวณด้านข้างโดนของมีคมกุดหัว บาดแผลที่ถูกคมดาบตัดขาดเรียบเนียน
ฉัวะ!! ฉัวะ!! ฉัวะ!!
ซูฮยอนตวัดดาบฟันร่างมอนสเตอร์อีก 3 ตัวติดกัน เมื่อมั่นใจว่าพวกมันม้วยมรณ์ เขาก็กระกระดุ้งเท้า กระโดดลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ
ปัง!!
จุดที่ซอยอนเคยยืนอยู่ โดนจะงอยปากที่แข็งแกร่งกันจนกลายเป็นหลุมลึก
ปลายเท้าของซูฮยอนเหยียบย่ำอยู่บนหัวมอนสเตอร์และประเคนการโจมตีใส่บริเวณส่วนศีรษะเต็มเหนี่ยว สมองมอนสเตอร์ได้รับแรงกระแทกขั้นรุนแรง ลําตัวจึงเริ่มซวนเซ
พละกําลังของซูฮยอนแข็งแกร่งขึ้นมาก หลังจากเปิดใช้เนตรที่สาม เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนนี้พลังงานของอูโรโบรอสพลุ่งพล่านไหลเวียนอยู่ในตัวเขา
ดวงตาทั้ง 2 ข้างของซูฮยอน รวมไปถึงเนตรที่สามกลางหน้าผากที่ปิดไว้ได้สักพัก ในที่สุดก็เปิดออก
ฉัวะ!!!
มอนสเตอร์ที่เหลือรอดอีกประมาณ 4 ตัว โดนคมดาบนั่นออกเป็นชิ้นๆ เศษปีกและเศษเนื้อกองกงโก้กงกกเต็มพื้น
ชิ้ง!!
ซูฮยอนเก็บดาบลงฝักเหมือนเดิมและมองสํารวจสภาพแวดล้อมรอบๆ
ด้วยความที่ซูฮยอนอยากยืนยันความสามารถของอูโรโบรอสให้เต็มกําลัง เขาจึงไม่ใช้พลังเวทย์เลยแม้แต่หยดเดียว การต่อสู้ที่ผ่านมาเขาอาศัยพลังทางกายภาพของงูยักษ์ล้วนๆ
<<ฉันไม่ได้ใช้ดาบแกรมควบคู่ไปด้วย ยังทรงพลังมากถึงขนาดนี้เลย>>
นอกจากพละกําลังจะเพิ่มขึ้น ความสามารถพื้นฐานทางกายภาพทั้งหมดของเขาก็เพิ่มพูนตามไปด้วยเช่นกัน
การต่อสู้ที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้ซูฮยอนยืนยันความสามารถได้หลายอย่าง แต่ยังเหลือความสามารถอีกอย่างที่ซูฮยอนยังไม่ได้ทดลอง
<<ฉันก็อยากทดลองความสามารถที่เหลืออยู่หรอก แต่มอนสเตอร์ที่ฉันเผชิญหน้ามันอ่อนแอเกินไปเนี่ยสิ>>
ซูฮยอนกวาดตามองชุมนุมชนที่กําลังแตกตื่นบนอัฒจันทร์ สายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับอัศวินและนักเวทย์จํานวนหนึ่ง แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธจัด พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่ผู้ชม แต่พวกเขาเป็นผู้จัดการและดูแลความสงบเรียบร้อยของโคลอสเซียมแห่งนี้
เมื่อเห็นดังนั้นซูฮยอนจึงจงใจเปล่งเสียงเสียดแทงใส่พวกเขาโดยตรง “พวกนายยังนิ่งดูดายได้อีกเหรอ? มอนสเตอร์พวกนั้นกระจอกเกินไป พวกนายกล้าลงมาสู้กับฉันไหม?”
คําพูดยั่วโมโหของซูฮยอนทําให้บรรยากาศรอบตัวอัศวินและนักเวทย์อึมครึม พวกเขายอมรับว่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ใครจะคิดว่าเชลยศึกคนเดียวจะสามารถสังหารมอนสเตอร์หลายตัวพร้อมกันได้
เมื่อได้ยินคําพูดของซูฮยอนที่ตั้งใจเหน็บแนม พวกเขาเกิดความรู้สึกโมโหจนควันออกหู แยกเขี้ยวยิงฟันใส่ซูฮยอนพร้อมเพียงกัน
“เป็นแค่เชลยศึกกระจ้อยร่อย แต่กล้าพูดเสมอตัวกับข้าเลยงั้นรึ?”
“ถือว่าแกมีความกล้าหาญไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่แผนถ่วงเวลาใช้ไม่ได้ผล ข้าอยากรู้จริงๆว่าแกจะทนได้สักกี่น้ำ”
พูดจบหนึ่งในอัศวินถ่ายทอดคําสั่งชุดใหม่ให้กับผู้ฝึกมอนสเตอร์ เมื่อผู้ฝึกมอนสเตอร์ได้รับคําสั่ง พวกเขาเดินแยกย้ายกันออกไป เพื่อเตรียมมอนสเตอร์ตัวใหม่.
ซูฮยอนเดาะลิ้นและส่ายหน้า “ช่วยไม่ได้ ฉันอุตส่าห์ให้โอกาสพวกนาย แต่พวกนายกลับปัดมันทิ้ง”
สายตาซูฮยอนจับจ้องไปยังหมู่ฝูงชนที่นั่งชมอยู่บนอัฒจันทร์ ผู้ชมทุกคนที่นั่งอยู่ในโคลอสเซียมดํารงชีวิตใต้พื้นธงจักรวรรดิเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหรือวิถีชีวิตล้วนใช้เหมือนกันหมด
สารเลวพวกนี้กําลังสนุกครึกครื้นไปกับการสังเวยชีวิตของเหล่าเชลยศึก เพราะเชลยศึกอยู่คนละฝั่งและอยู่คนละพรมแดน ดังนั้นสําหรับพวกเขาเชลยศึกก็เปรียบเสมือนกิจกรรมสร้างความบันเทิง
“ฉันจะให้เวลาพวกนาย 5 นาที ใครอยากหนีเชิญหนี้ได้ตามสะดวก แต่ใครอยากสู้ให้ก้าวมาหาฉัน”
แม้เสียงที่ซูฮยอนพูดออกจากจะแผ่วเบา แต่คลื่นเสียงกลับสามารถกระจายไปตามส่วนต่างๆของโคลอสเซียมอย่างทั่วถึง
นับเป็นครั้งในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิที่มีเชลยศึกกล้าท้าดวลคนอื่นกลางโคลอสเซียมอย่างโจ่งแจ้ง แถมท่าทางของอีกฝ่ายยังเป็นมั่นเป็นเหมาะ มั่นคงแข็งแรงประดุจป้อมปราการเหล็กกล้า..
“ไม่ได้การ สถานการณ์ชักจะไปกันใหญ่แล้ว”
ฟรึ่บ!!
อัศวินนายหนึ่งกระโดดลงมาจากอัฒจันทร์ซึ่งมีความสูงหลายเมตร ก่อนที่เท้าจะแตะพื้นตรงหน้าซูฮยอน
เมื่อลองใคร่ครวญให้ดี ชายตรงหน้าตัดสินใจกระโดดลงมาโดยไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง แสดงว่าเขาต้องมีทักษะการต่อสู้สูงพอตัว หรือไม่บางทีเขาอาจสมบัติวิเศษบางอย่างพกติดตัวไว้ก็เป็นได้
“เชลยศึกตัวกระจิ๋วหลิว กลับวางมาดใหญ่โตปราศรัยสร้างความวุ่นวายให้แก่งานเทศการพวกเราให้เกียรติเจ้า โดยจัดการเทศการยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ เพื่อให้เจ้าเสวยสุขเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เจ้ากลับ…”
“4 นาที” ซูฮยอนเมินเฉยต่ออัศวินโดยสมบูรณ์และยืนนิ่งนับเลขถอยหลังต่อไป
“พวกนายเหลือเวลาอีกแค่ 4 นาทีเท่านั้น”
“ไอ้สถุล แกบังอาจนัก…”
หลังจากตระหนักว่าตัวตนของเขาถูกซูฮยอนมองข้าม อัศวินรู้สึกขายหน้าเป็นที่สุด เขาอดไม่ได้ต้องขบฟันกรอดด้วยความฉุนกึก
อัศวินชักดาบออกมาจากฝัก ปลายดาบคมกริบชี้ตรงไปทางซูฮยอน จากนั้นสาย ตาของอัศวินละออกจากร่างกายซูฮยอนและแหงนมองกลุ่มอัศวินที่ยืนอยู่บนอัฒจันทร์
“ข้าในนาม โคลท์แมน รองแม่ทัพกองกําลังรบราชองครักษ์แห่งจักรวรรดิโมลีน ขอสั่ง…”
ฟ่อ!!!!
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกเยือกเย็นพลันดังออกมาจากที่ไหนสักแห่ง
โคลท์แมนแสดงสีหน้าตกใจกลัว ขนแขนลุกชูชันควบคุมไม่อยู่ เขารีบหันหน้าสํารวจรอบโคลอสเซียม แต่เขาก็หาคําตอบไม่ได้ว่าเสียงขู่ฟ่อๆที่เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นดังออกมาจากไหน
<<มันคืออะไรกันแน่>>
โคลท์แมนรู้สึกว่าความเยือกเย็นคืบคลานมาที่แผ่นหลังของเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองด้านบน
ฟ่อ!!
สิ่งที่โคลท์แมนเห็นเมื่อเงยหน้าขึ้น คือดวงตาของงูขนาดยักษ์
ขาของโคลท์แมนสั่นพับๆ ประคับประคองร่างกายแทบไม่ไหว จนเกือบทําให้เขาล้มก้นเบ้า
“อะไรกัน?”
งูขนาดใหญ่โตมโหฬารม้วนพันรอบโคลอสเซียมเอาไว้และไม่มีช่องว่างเหลือให้เห็น สายตาที่มันจ้องมายังอัศวินและผู้ชมทุกคน เหมือนพวกเขาเป็นอาหารโอชะของมัน
ภาพที่เหนือกว่าจินตนาการ ไม่เพียงแค่โคลท์แมนเท่านั้นที่เห็น ทุกคนที่อยู่ในโคลอสเซียมต่างเห็นภาพหลอนเหมือนกับเขาทุกประการ
“อ๊ากกกกก!!”
“หนีเร็ว!”
“มอนสเตอร์บุก!!”
ผู้ชมนับไม่ถ้วนพยายามวิ่งหนีตายออกจากอัฒจันทร์อย่างอุดตะรุด..
“อย่าวิ่ง พวกเจ้าตั้งสติให้ดี บอกว่าอย่าวิ่ง ไม่ได้ยินหรือไง?”
โคลท์แมนเป็นคนแรกที่สามารถสลัดภาพหลอนออกจากหัวได้สําเร็จ เมื่อสติกลับเข้าที่ เขาตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเร่งร้อน
แต่เคราะห์ร้ายสําหรับเขา ฝูงชนจํานวนมากที่กําลังตระหนกตกใจ ไม่ยอมเชื่อฟังคําพูดของโคลท์แมน
หลังจากสถานการณ์ตกอยู่ในความวุ่นวายและความหวาดกลัว ฝูงชนสูญเสียความคิดอ่านไปสิ้น สิ่งที่ฝูงชนคิดภายในหัว คือทํายังไงก็ได้เอาชีวิตตัวเองให้รอด
ภายในโคลอสเซียมยังมีอัศวินและนักเวทย์ของจักรวรรดิอยู่หลายคน พวกเขากระจายกําลังกันออกไปตามจุดต่างๆของโคลอสเซียม และพวกเขาก็สามารถเอาชนะภาพหลอนได้เหมือนกับโคลท์แมน แสดงว่าอํานาจสกิลของซูฮยอนมีผลกระทบต่อพวกเขาไม่มาก
“ผู้ฝึกมอนสเตอร์!!”โคลท์แมนตะโกนเรียกผู้ฝึกมอนสเตอร์ที่กําลังตัวสั่นงกอยู่ข้างกรงเหล็ก
“ไปลากมอนสเตอร์ทุกตัวออกมาเดี๋ยวนี้ แล้วสั่งให้พวกมัน ฆ่าไอ้เชลยศึกคนนั้นซะ”
“แต่ท่านครับ ถ้าปล่อยพวกมันทั้งหมดออกมา พวกเราจะควบคุมพวกมันไม่ได้นะครับ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ข้ารับผิดชอบเอง ทําตามคําสั่งซะ”
แม้จะได้ยินคําแนะนําของผู้ฝึกมอนสเตอร์ แต่โคลท์แมนก็ยังยืนกรานเสียงแข็งกร้าว
ในหัวของโคลท์แมนคิดเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ การสังหารซูฮยอนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้….
หากยังปล่อยให้ซูฮยอนมีชีวิตอยู่ต่อไป โคลท์แมนคาดการณ์ว่าอาจเกิดภัยอันตรายร้างแรงขึ้นอีกแน่
เพราะโคลท์แมนยังไม่ลืมความรู้สึกเยือกเย็นที่เสียดแทงเข้าลึกถึงกระดูกสันหลัง ราวกับว่ามีดาบเตรียมกุดหัวเขาอยู่ตลอดเวลา แม้เขาจะเป็นอัศวินผู้กล้าหาญ แต่เขาก็กลัวตายไม่ต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นเพื่อไม่ให้เหตุการณ์แย่ลงไปกว่านี้ ซูฮยอนจําเป็นต้องถูกสังหาร
“1 นาที”
ซูฮยอนไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหน เขายังคงยืนปักหลักอยู่จุดเดิม สายตามองกิริยาของโคลท์แมนและผู้ฝึกมอนสเตอร์
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมนับเวลาถอยหลัง เวลา 5 นาทีไม่เพียงพอให้ฝูงชนที่กําลังตระหนกตกใจหนีออกจากโคลอสเซียมได้หมด
ซูฮยอนกําหนดเวลาไว้ที่ 5 นาที และเวลาก็จวนจะครบกําหนด แต่มีฝูงชนหนีออกจากโคลอสเชียมได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
โฮกกกกกก!!!
กี้!! กี้!!
ไม่นานหลังจากสิ้นคําสั่งโคลท์แมน โคลอสเซียมมีเสียงคํารามและเสียงกรีดร้องหลายโทนเสียงดังออกมาให้ได้ยินจากด้านหลังประตูในโคลอสเซียม ซึ่งเสียงเหล่านั้นเปล่งออกมาจากมอนสเตอร์จํานวนมากที่ทางจักรวรรดิขังเอาไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อใช้ในงานเทศการวันนี้โดยเฉพาะ
ผู้ฝึกมอนสเตอร์เอื้อมมือออกไปปลดโซ่ตรวนที่ผูกมัดไม่ให้มอนสเตอร์เคลื่อนไหวออก…
“พวกเจ้าใจเย็นๆและฟังคําสั่งของข้า เมื่อจบงานข้าจะให้อ้ากกกก”
“บัดซบเอ้ย คิดไว้ไม่มีผิด มอนสเตอร์เยอะขนาดนี้ ไม่มีทางที่พวกเราจะควบคุมมันได้แน่”
“ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย อ๊ากกก!!”
“ หนีเร็ว มอนสเตอร์คลุ้มคลั่งแล้ว!!”
มอนสเตอร์จํานวนมากถูกปล่อยออกมาพร้อมกันในคราวเดียว พวกมันจึงไม่เกรงกลัวและไม่ยอมเชื่อฟังคําสั่งของผู้ฝึกมอนสเตอร์อีกต่อไป มอนสเตอร์ทั้งหลายคํารามออกมาอย่างยินดี หลังจากถูกกักขังมานานแรมปี ในที่สุดพวกมันก็ปลดแอกเสียที
โฮกกกกก!!!
มอนสเตอร์เริ่มพรั่งพรูออกมากระจุกรวมตัวอยู่ในสนามโคลอสเซียมมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันอัศวินและนักเวทย์ของจักรวรรดิจํานวนหลายร้อยคน ก็ยืนเรียงรายล้อมซูฮยอนเป็นวงกลม
ถึงผู้ฝึกมอนสเตอร์จะโดนมอนสเตอร์เขมือบไป แต่เป้าหมายของโคลท์แมนก็บรรลุเรียบร้อย
บอกตามตรงคําพูดที่เขาเคยกล่าวออกไปว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง ภายในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวล หากเอาเรื่องนี้ไปรายงานเบื้องบนเขาอาจถูกลงโทษก็เป็นได้
แต่เพื่อจัดการซูฮยอน เขาจึงเก็บความกังวลเอาไว้ก่อน ด้วยจํานวนมอนสเตอร์และพลังที่มอนสเตอร์ปลดปล่อยออกมา อาจกดดันให้ซูฮยอนเกิดความหวาดกลัวได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
“เป็นไงบ้างเจ้าเชลยศึก อยากยอมแพ้หรือยัง?”
“มีแค่นี้ใช่ไหม?”ซูฮยอนถาม เขาไม่ยอมขยับไปไหน
เมื่อครบกําหนดเวลาเขาจึงชักดาบออกมาจากฝักอีกครั้ง
ในโคลอสเซียมคับคั่งไปด้วยฝูงมอนสเตอร์จํานวนมากและยังคงมีออกมาสมทบเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์มีบางอย่างผิดแปลกไป มอนสเตอร์ที่ออกมาจากกรงขังควรออกอาลาวาด แสดงพฤติกรรมรุนแรงทําลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ภาพปัจจุบัน พวกมอนสเตอร์กลับเลือกยืนอยู่นิ่งๆอย่างสํารวม
“อย่างงี้สิถึงจะดี สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด” ซูฮยอนพูดพร้อมยิ้มย่องผ่องใส
เป้าหมายของการทดสอบคือการทําลายโคลอสเซียม เมื่อลองนําองค์ประกอบโดยรอบมาคิดวิเคราะห์ ซูฮยอนอนุมานในใจ เป้าหมายที่ยากต่อการพิชิตในตอนแรก อาจบรรลุได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วก็ได้
แถมช่วงที่ผ่านมาซูฮยอนก็สัมผัสคุณลักษณะอย่างหนําใจแล้วด้วย ซึ่งผลลัพธ์น่าพอใจถึงที่สุด ในเมื่อมีจุดยุติก็ควรรีบจบให้ไว มัวชักช้าอดอาดก็มีแต่เสียเวลาโดยใช่เหตุ…
“พวกนายจะยืนซื้ออีกนานไหม รีบเข้ามาหาฉันได้แล้ว”
ซูฮยอนกวาดตาไล่มองอัศวินและนักเวทย์ที่ยืนล้อมรอบและกวักมือท้าทายพวกเขา
อากัปกิริยาผ่อนคลาย ไม่ทุกข์ร้อน สีหน้าไม่มีความกลัวเจือปน เป็นเหตุให้โคลท์แมนเลือดขึ้นหน้า
เขาจึงตะโกนออกคําสั่งเสียงดัง
“เหล่านักเวทย์ทั้งหลาย เต็มพร้อมสู้!”
โคลท์แมนผ่านการรบมาแล้วทุกสมรภูมิ ประสบการณ์สู้รบสั่งสมมาหลายสิบปี
แม้ตัวเขาในปัจจุบันจะมีความกลัวแฝงไว้เล็กน้อย แต่เขาก็ยังสามารถบัญชาการผู้อื่นได้อย่างรอบคอบและหนักแน่น
มอนสเตอร์ทุกตัวที่กองรวมอยู่ภายในโคลอสเซียมอยู่เหนือการควบคุม พวกมันไม่ยอมเชื่อฟังคําสั่งและไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ โคลท์แมนทําได้เพียงปล่อยผ่านไป
แต่จากการสังเกตความสามารถของซูฮยอนรอบที่ผ่านมา อีกฝ่ายชํานิชํานาญวิชาดาบมากเป็นพิเศษ
แต่ทางฝั่งของโคลท์แมนมีความสมดุลระหว่างอัศวินและนักเวทย์ สามารถโจมตีได้ทั้งระยะใกล้และระยะไกล กลยุทธ์ที่คิดเอาไว้ คือให้กลุ่มนักเวทย์เป็นฝ่ายโจมตีก่อน เมื่อเป้าหมายได้รับบาดเจ็บ ถึงจะเป็นที่ของกลุ่มอัศวิน
วุป!!
นักเวทย์ร้อยกว่าคนรวบรวมพลังเอาไว้ที่จุดเดียวกัน กลางอากาศมีลูกบอลเวทย์ขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น
คุณสมบัติธาตุหลายชนิดกําลังผสมผสานเข้าด้วยกัน การโจมตีที่เหล่านักเวทย์เลือกใช้ครั้งนี้คือการยิงพลังเวทย์ทั้งหมดออกไปรวดเดียว โดยไม่สนผลกระทบที่ตามมาที่หลัง
ซูฮยอนมีความรู้เกี่ยวกับเวทย์พอควร เพราะเขามีโอกาสท่องเที่ยวไปตามโลกต่างๆในหอคอยหลายแห่ง พบเจออะไรมาเยอะแยะเต็มไปหมด กลุ่มมวลสารพลังเวทย์ที่รวบรวมอยู่ตรงหน้าเขา มีอนุภาพสูงกว่าผู้ตื่นขึ้นหลายเท่า
เขากล้าพูดได้เต็มปากว่าการโจมตีด้วยพลังเวทย์ครั้งนี้ ทรงพลังมากที่สุด
“เริ่มโจมตี!”
สิ้นสัญญาณมือของโคลท์แมน พลังเวทย์ที่รวบรวมไว้กลางอากาศจรัสแสงขึ้นฉับพลัน…
แสงที่ส่องสว่างออกมาบดบังร่างกายของซูฮยอนจนมิด พลังเวทย์ที่ปล่อยออกไป มีจุดประสงค์เพื่อสังหารผู้คน และ ร่ายคาถาออกมาโดยใช้นักเวทย์หลายร้อยคนรวมพลังเวทย์ของพวกเขาเข้าด้วยกัน
ประสิทธิภาพของมันจึงทรงพลังเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โต โครงสร้างแน่นหนา ไม่คลอนแคลน หากโดนการโจมตีนี้เข้าไป เพียงแค่เสี้ยววินาที คฤหาสน์หลังนั้นจะหายวับไปกับตา
อย่างไรก็ตาม แทนที่ซูฮยอนจะหลบการโจมตี เขาปักหลักยืนอยู่ที่เดิมพร้อมทั้งโคจรพลังเวทย์ภายในร่างกาย
[เนตรที่สาม – ลบล้าง]