ตอนที่ 136
หัวคิ้วของกอร์ดอนโรฮันกระตุกขึ้นลง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครกล้าพูดคําว่า “เสี้ยนหนาม” ต่อหน้าเขามาก่อน ซูฮยอนถือได้ว่าเป็นคนแรก เขาจึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกําลังวางข้อหรือหยิ่งยโสเลยสักนิด เพราะความแข็งแกร่งของซูฮยอนเป็นของจริง
นัยน์ตาของกอร์ดอนโรฮันหรี่เล็กลงและหันไปมองบักหยุนกิวแทน “ฉันได้ยินมาว่านายจะกลับประเทศบ้านเกิดพรุ่งนี้ใช่ไหม?”
“ถูกต้อง น่าเสียดายมากๆ แต่ฉันคงต้องขอสละสิทธิ์ พอดีมีงานเร่งด่วนเข้ามา”
สําเนียงภาษาอังกฤษของบักหยูนกิวพอไปวัดไปวา ไม่ได้ดีเลิศอะไรมาก การออกเสียงอาจไม่ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการสื่อสารให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจ
“ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดมา ฉันคงต้องอยู่ที่นี่คอยสังเกตการต่อสู้ของพวกนาย แม้ว่านายจะรู้สึกขัดใจ แต่เราจําเป็นต้องทํา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอันดับที่แท้จริง”
“คุณกําลังหมายถึงอะไร?”บักหยุนกิวไต่ถามด้วยความงงงวย สะท้อนให้เห็นถึงอันดับที่แท้จริง เขาก็พึ่งได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกเหมือนกัน
“จุดประสงค์ของสงครามแก่งแย่งอันดับ ไม่ใช่การเฟ้นหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจัดอันดับความแข็งแกร่งที่เหมาะสมแก่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน ตั้งแต่อันดับที่ 1 ไปจนถึงอันดับสุดท้าย ตามทักษะความสามารถของใครของมัน ก็ตรงตามชื่อของงานนั้นแหละ”
“เกณฑ์มาตรฐานในการตัดสิน อย่าบอกนะว่าเป็น…”
“อย่าคิดเองเออเองสิ ฉันไม่ใช่คนตัดสิน จอห์นนี่ แบรดจะเป็นคนจัดอันดับความสามารถของทุกคนเพียงผู้เดียว ซึ่งอันดับจะสูงหรือจะต่ำขึ้นอยู่กับความสามารถที่คุณสําแดงออกมา แม้ว่าคุณจะล้มเหลวในรอบคัดเลือก แต่คุณก็สามารถไต่เต้าไปยังอันดับสูงๆเหมือนคนที่แข่งขันในรอบถัดไป แต่อันดับที่ออกมาคงไม่สูงนัก เพราะการเข้าสู่รอบต่อไป จะทําให้คุณได้คะแนนพิเศษติดตัวไป หมายความว่ายิ่งเข้ารอบลึกขึ้นคะแนนพิเศษก็จะสะสมไปเรื่อยๆ”
คําอธิบายของกอร์ดอนโรฮันทําความเข้าใจได้ง่ายๆ จอห์นนี่ แบรดจะเป็นกรรมการตัดสินอันดับของผู้เข้าแข็งแกร่งทุกคน แต่มีข้อบกพร่องที่ซูฮยอนมองว่าอาจมีปัญหาตามมาภายหลัง แม้ว่าการตัดสินของจอห์นนี่ แบรดจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายุติธรรมและเป็นกลาง ทว่าต้องมีคนบางกลุ่มคิดว่าการจัดอันดับไม่โปรงใส เพราะเกณฑ์มาตรฐานในการตัดสินคลุมเครือไม่ชัดเจน
กอร์ดอนโรฮันรีบกล่าวต่อ “ฉันรู้ว่านาย 2 คนกําลังคิดอะไรกันอยู่ แล้วไงล่ะ? หากพวกนายคิดว่าวิธีของฉันมีปัญหา กล้าต่อสู้กับฉันที่นี่ไหมล่ะ ฉันยอมรับเฉพาะคนแข็งแกร่ง ตราบใดที่เอาชนะฉันได้ ฉันจะยอมทําตามสิ่งที่พวกนายต้องการ”
คําพูดของกอร์ดอนโรฮัน ถ้าผู้เข้าแข่งขันรวมตัวอยู่ที่สนามล่ะก็ ปานนี้คงได้ยินเสียงครวญครางจากทุกคนไปแล้ว
<<ไม่ว่าผลการจัดอันดับจะออกมายังไง แต่การจัดอันดับไม่ได้ประเมินจากทางการ จึงยากที่จะให้ผู้อื่นเปิดใจยอมรับ>>
การจัดอันดับความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นจากงานสงครามแก่งแย่งอันดับ ส่วนใหญ่วิเคราะห์มาจากข้อมูลของผู้เข้าแข่งขันที่กอร์ดอนโรฮันบันทึกรวบรวมเอาไว้ แม้ภายนอกอาจดูไม่น่าเชื่อถือและมีคนจํานวนมากคัดค้าน
แต่เมื่องานสงครามแก่งแย่งอันดับบิดม่านลงเมื่อไหร่ วิธีที่กอร์ดอนโรฮันเลือกใช้ จะกลายเป็นบรรทัดฐานวัดระดับความแข็งแกร่งที่ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้อย่างแพร่หลาย เพราะมีทั้งความแม่นยําและน่าเชื่อถือรองลงมาจากการใช้อุปกรณ์วัดระดับความแข็งแกร่ง ที่สําคัญโอกาสคลาดเคลื่อนยังมีน้อยมากๆ
“การต่อสู้ของพวกนาย 2 คน จะถูกจับตามองโดย จอห์นนี่ แบรด และ ฉัน เพื่อนําข้อมูลที่ไม่เป็นทางการมาใช้อ้างอิง ทางเราจะได้จัดอันดับผู้ตื่นขึ้นของบักหยูนกิวได้อย่างถูกต้อง ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะพูดแล้ว ถ้าพวกนายไม่ว่าอะไร ฉันขอ..
“มิสเตอร์ กอร์ดอนโรฮัน”
“หืม?”
บักหยุนกิวพินิจมองกอร์ดอนโรฮันและกล่าวด้วยน้ำเสียงคาดหวัง “สมมุติฉันมีโอกาสกลับมาซานฟรานซิสโกอีกครั้ง ฉันอยากประลองกับนายสักตั้ง”
ระหว่างพูดบักหยุนกิวเริ่มโคจรพลังเวทย์ในร่างกายของตนเอง
ซูฮยอนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่รั้งรอ เขาปลุกพลังเวทย์ให้ตื่นจากการหลับใหลแล้วชักดาบออกมาจากฝึกเตรียมพร้อมสําหรับการต่อสู้ที่กําลังเริ่มขึ้น
กอร์ดอนโรฮันเกาะติดสถานการณ์ต่อสู้จากที่ไกลๆ เขายิ้มมุมปากแล้วเอ่ยตอบกลับเสียงแผ่วเบา “ไม่มีปัญหา นายมาหาฉันได้ทุกเมื่อ
รอยแตกร้าวเล็กๆ แล่นริ้วไปตามพื้นสนามแข่งขัน ซึ่งได้รับการเสริมความทนทานจากหินอีเธอร์
ทั้ง ซูฮยอน และ บักหยุนกิว ต่างใช้อาวุธประเภทดาบเหมือนกัน
บักหยุนกิวพิจารณาซูฮยอนอย่างถี่ถ้วนและเอ่ยปากพูด “เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? งั้นฉันจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“เอาตามที่คุณสะดวกเถอะ”
ฟรึ่บ!
ร่างกายของ บักหยูนกิว หายไปจากตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่สิ บักหยูนกิวไม่ได้หายไปไหน แต่เขาเร่งความเร็วฝีเท้าจนถึงขีดสุด เป็นผลให้ภาพที่ปรากฏต่อสายตา เหมือนร่างกายเขาอันตรธานหายไปจากจุดเดิมฉับพลัน
เคล้ง!!
ซูฮยอนยกดาบของตนเองขึ้นมาสกัดกั้นคมดาบของบักหยุนกิว
เศษเสี้ยวพลังเวทย์ที่โคจรอยู่รอบใบดาบฟังกระจายไปทั่วอากาศ บริเวณรอบตัวซูฮยอนเห็นภาพเงาสีดําเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว
ดาบของบักหยุนกิวจ้วงแทงมาจากทั่วสารทิศ สายตามองไม่เห็นว่าร่างจริงผู้เหวี่ยงดาบยืนอยู่จุดไหนกันแน่
ฉับพลันดาบที่จ้วงแทงร่างกายซูฮยอนจากทั่วสารทิศจางหายไปพร้อมกัน ชี้ชัดแล้วว่าภาพที่สายตามองเห็นเป็นเพียงภาพลวงตา สําหรับคมดาบของจริงสายตากลับมองไม่เห็น แต่ซูฮยอนมีประสาทสัมผัสเฉียบคม เขาจึงใช้ข้อได้เปรียบตรงนั้นค้นหาคมดาบของจริงว่าซุกซ่อนอยู่จุดไหนและผินหน้าไปเผชิญ
เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาที่สั่นระริกของบักหยูนกิว ซูฮยอนเริ่มทําการสวนกลับทันที
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามลุกโชติช่วงหนุมวนรอบดาบซูฮยอน ความร้อนรุนแรงเกรี้ยวกราดและแสงสว่างเรือนรองส่งผลให้ปักหยุนกิวหรี่ตาขมวดคิ้ว ดาบที่โหมกระหน่ำด้วยเปลวเพลิงของซูฮยอนอาศัยจังหวะได้เปรียบทะลวงแทงอย่างฉับไว
สวบ!!
บักหยุนกิวไม่รอช้ายกดาบขึ้นมาปัดป้องการโจมตี ส่วนแบนของใบดาบรับแรงกระแทกไปเต็มๆ ผลกระทบที่ตามมาทําให้มือของเขาสั่นหมึกหงัก ยังไม่หมดแค่นั้นความร้อนที่ถ่ายทอดผ่านเปลวเพลิงเป็นเหตุให้อุณหภูมิในร่างกายของบักหยูนกิวเพิ่มสูงขึ้นประมาณนึ่ง
[ภาพลวงตา – ลอกเลียน]
ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีครามพลันลุกโชนห่อหุ้มดาบของบักหยูนกิวเอาไว้เหมือนกับซูฮยอนไม่มีผิด สกิล [ลอกเลียน] สามารถทําให้เขาคัดลอกสกิลของคู่ต่อสู้แล้วนํามาประยุกต์ใช้เป็นของตัวเอง ถึงแม้คุณสมบัติโดยรวมจะไม่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์เป๊ะๆ ตามต้นฉบับ แต่ความแข็งแกร่งของสกิลที่ลอกเลียนมา แทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าของตัวจริง เพราะยิ่งเจ้าของมีความชํานาญในสกิลสูงส่ง เพียงใด ถ้าลอกเลียนมาได้สําเร็จล่ะก็จะสามารถฟัดเหวี่ยงกับเจ้าของสกิลได้อย่างทัดเทียม
พวกเขา 2 คนแลกดาบกันไปหลายกระบวนท่า ต้องขอบคุณเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามที่ทําให้การขับเคี่ยวออกมาสูสี แต่เรื่องที่บักหยูนกิวตกใจไม่ใช่ความแข็งแกร่งของสกิล..
<<ความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายของเจ้าหนุ่มนั้น มากถึงขนาดนี้เลยเหรอ…???>>
สกิลที่บักหยุนกิวลอกเลียนมาแข็งแกร่งอย่างไม่มีข้อโต้งแย้ง ทว่าสิ่งที่เขารู้สึกตกใจพรั่นพรึงมากที่สุด คือการโจมตีแต่ละครั้งที่ซูฮยอนปล่อยออกมามากกว่า
ความแข็งแกร่งที่ซูฮยอนระเบิดออกมาไม่ควรเป็นแรงที่เกิดจากกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียวและไม่ใช่เรี่ยวแรงที่คนๆเดียวพึงมี การบรรจงฟาดฟันดาบของซูฮยอนแต่ละครั้งราวกับเป็นคนจัดเจนด้านการต่อสู้
ที่สําคัญที่สุด
<<การออกท่วงท่าของเขา>>
สวบ!! สวบ!!
บักหยูนกิวใคร่ครวญภายในหัว ขณะที่ดาบในมือยังคงป้องกันการโจมตีของซูฮยอนไม่ลดละ
<<จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่ทวงท่าของเขาคล้ายคลึงกับของฉันไม่มีผิด>>
สําหรับบักหยูนกิวมันเป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติมาก
ประหนึ่งว่าซูฮยอนครูพักลักจําทวงท่าดาบจากเขาไปอย่างไรอย่างนั้น
เป็นไปได้หรือไม่ว่าซูฮยอนก็มีสกิลลอกเลียนเหมือนกัน? แม้ความคิดดังกล่าวจะผุดขึ้นมาในหัวฉับพลัน แต่บักหยูนกิวก็ส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระนั้นออกไป
<<ไม่น่าเป็นไปได้ ฝีมือดาบของเขาเหมือนจะล้ำหน้ากว่าฉันด้วยซ้ำ>>
บักหยูนกิวคิดมาเสมอ ว่าตัวเขามีความรู้เกี่ยวกับดาบและเชี่ยวชาญวิชาดาบเหนือใคร
ในฐานะนักดาบเขาเชื่อมั่นการรีดประสิทธิภาพออกมาสูงสุด คนและดาบต้องรวมเป็นหนึ่งจิตใจต้องเชื่อมโยงกันและกัน เขาใช้หัวสมองอย่างหนัก จนได้ข้อสรุปว่าผู้ตื่นขึ้นที่ใช้ดาบเป็นอาวุธประจํากายหลัก ควรรู้ว่าการออกดาบแต่ละครั้งของตัวเองมีจังหวะแบบไหน มีจุดบกพร่องไหม ช่องโหว่มีหรือปาว ถ้ามีจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
ฉะนั้นแววตาของบักหยูนกิวจึงสามารถจับสังเกตได้ว่าการออกดาบของซูฮยอนคล้ายคลึงกับเขา แต่ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายเหมือนจะมีความเชี่ยวชาญมากกว่าตัวเขาหลายเท่า
การออกดาบของซูฮยอนเหมือน [วิชาดาบระดับสูง] ที่เขาชํานาญ
เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความจริงตรงหน้า
ในปัจจุบันบักหยูนกิวไม่ได้กรฝึกเทคนิคการกวัดแกว่งดาบเพียงอย่างเดียว แต่เขาฝึกปรือสกิลควบคู่ไปด้วย
สกิล [วิชาดาบระดับสูง] พัฒนาขึ้นหลังจากเขาบรรลุ [วิชาดาบระดับต่ำ] กว่าจะผ่านขั้นตอนแรกมาได้ เขาต้องคร่ำเคร่งอยู่กับการเหวียงดาบอย่างไม่ย่อท้อ
การกวัดแกว่งดาบพร้อม [วิชาดาบระดับสูง] ไม่เพียงแต่เพิ่มความกล้าหาญในการต่อสู้เท่านั้นยังช่วยแก้ไขการเยื้องย่างที่สะเปะสะปะและการออกดาบที่แข็งที่อ ให้ลื่นไหลยิ่งขึ้น
<<จะเป็นไปได้ไหมว่า.. >>
ในกรณีที่ซูฮยอนมีทวงท่าการออกดาบเหมือนกับเขา เป็นไปได้ว่าซูฮยอนถือครองสกิลแบบเดียวกับเขาเหมือนกัน? แถมความชํานาญยังมากกว่าเขาเสียอีก
<<แต่มันจะบังเอิญเกินไปไหม?>>
[วิชาดาบระดับสูง] ไม่ใช่สกิลที่เข้าถึงแก่นแท้ได้ง่ายๆ ผู้ถือครองต้องกวัดแกร่งดาบอย่างอุตสาหะและต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อให้ร่างกายคุ้นชิน เมื่อระดับความชํานาญเพิ่มสูงขึ้น ดาบที่ผู้ถือครองเลือกใช้จะระเบิดศักยภาพที่แท้จริงของสกิลออกมาได้
ความสามารถของซูฮยอนที่ประจักษ์แก่สายตาเกินขอบเขตคําว่าพรสวรรค์ไปไกลลิบ ต่อให้ซูฮยอนจะเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ แต่ก็ไม่ควรเป็นปรมาจารย์แห่งดาบขณะอายุยังน้อย
ไม่สิ การที่ซูฮยอนสามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้ อาจเป็นเพราะซูฮยอนฝึกฝนเทคนิคการฟันดาบมาตั้งแต่เด็กๆและเติบโตมาพร้อมกับดาบก็เป็นได้
บักหยุนกิวตัดสินใจกระโดดไปตั้งหลักด้านหลังและยกดาบชี้ฟ้า นอกเหนือจากสกิลลอกเลียนที่ใช้ออกมา ยังเหลือสกิลที่อยู่ในการครอบครองของเขาอีกเยอะ เขาโคจรพลังเวทย์จํานวนมหาศาลรวบรวมไว้ที่ดาบ
[หนึ่งดาบสะบั้นสรรพสิ่ง – ดาบสะบั้นนภา]
บักหยูนกิวเหวี่ยงดาบลงพื้น
ทีแรกเขานึกว่าซูฮยอนคงคิดหาวิธีหลบเลี่ยงการโจมตี [ดาบสะบั้นนภา] เพราะความรุนแรงของมันตรงตามชื่อของสกิล
โหนึ่งเดียวสะบั้นสรรพสิ่ง] คือสกิลที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อยุติการต่อสู้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ตามปกติผู้คนที่เผชิญหน้ากับสกิล [หนึ่งดาบสะบั้นสรรพสิ่ง] จะพยายามหาช่องทางเลี่ยงการโจมตี แต่ซูฮยอนกลับไม่เป็นเหมือนคนอื่นๆ เขาเลือกยืนนิ่งอยู่ตําแหน่งเดิมแล้วตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีซะงั้น
<<เขาตั้งใจจะป้องกันการโจมตีของฉันอย่างงั้นเหรอ? >>
ร่างกายของซูฮยอนสัมผัสไม่ได้ถึงความผันผวนของพลังเวทย์ หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้สกิลพิสดารอะไรออกมา..
“เขากําลังดูถูกฉันอยู่?” บักหยูนกิวคิดในใจ
เขาเหวี่ยงดาบเต็มกําลังแขน เพื่อทําลายดาบที่ซูฮยอนตั้งใจใช้ป้องกันการโจมตี
ตูม!!
ทันทีที่ดาบของบักหยุนกิวสัมผัสพื้น คลื่นดาบทรงพลังแยกพื้นสนามแข่งขันออกเป็น 2 เสี่ยง
ความเสียหายไม่ได้มีแค่ที่พื้นสนามเท่านั้น กระทั้งเพดานด้านบนก็มีรอยแยก 2 เสี่ยงเช่นกัน การโจมตีของบักหยูนกิวที่ผ่านมา มีพลังทําลายล้างมากพอตัดสนามแข่งขันรูปแบบโดมให้ขาดครึ่งออกจากกันได้อย่างง่ายดาย..
แต่ทว่า…
“เพล่ามือหน่อยก็ไม่ได้ เล่นผมซะหนักเลย”
ซูฮยอนสามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้ โดยไม่ใช่สกิลพิเศษเข้าช่วย แถมตามเนื้อตัวยังไร้ขีดขวน มีแต่เศษฝุ่นเศษดินที่กระมอมกระแมมตามเสื้อผ้า
“ …!”
คิ้วของบักหยูนกิวขมวดชนกัน
เหตุการณ์หน้าตื่นตกใจทําให้จิตใจของเขาเริ่มว้าวุ่น สมองที่ประมวลความคิดอ่านตอบสนองได้เลื่อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ฟรึ่บ!!
บักหยูนกิวกระโดดถอยหลังเว้นระยะห่างจากซูฮยอนให้มากขึ้น พลางขบคิดสถานการณ์เมื่อครู่
<<ทําไมเขาถึงไม่ตอบโต้ฉันกลับ?>>
ไม่ใช่สิ [ทําไม่ได้] กับ [ไม่อยากทํา] มีความหมายแตกต่างกันชัดเจน
ว่ากันตามเนื้อผ้าในเมื่อซูฮยอนสามารถป้องกันการโจมตีจากเขาได้ หากซูฮยอนอยากตอบโต้กลับจริงๆ คงลงมือได้อย่างไม่ยากเย็น
เป็นครั้งแรกที่บักหยุนกิวรู้สึกว่าความภาคภูมิใจที่สั่งสมมาเกิดการสั่นคลอน ประชาชนบ้านเกิดต่างสดุดีให้เขาเป็นผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ เขาจึงเปิดใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้ตื่นขึ้นหน้าใหม่จะมีความสามารถไล่ต้อนเขาได้
<<ฉันไม่เชื่อ มาลองกันอีกครั้ง!!>>
เมื่อตัดสินใจลองใหม่อีกครั้ง ไอหมอกร้อนระอุพวยพุ่งออกมาจากแผ่นหลังของบักหยุนกิวกะทันหัน ร่างกายขนาดมโหฬารที่ก่อรูปจากไอหมอกเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เพียงไม่นานอสุราที่มีร่างกายใหญ่โตกปืนปรากฏขึ้นด้านหลังของบักหยุนกิว ลําตัวของอสุราสวมทับด้วยชุดเกราะขนาดใหญ่เหมาะสมกับขนาดตัว มือกวัดไกวดาบด้วยท่าทีครั่นคร้าม..
[ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์]
โฮกกกกกก!!!
อสุราออกท่าออกทางเหมือนกับบักหยุนกิวทุกประการ การเหวี่ยงดาบโจมตีด้วยร่างกายใหญ่โต จะเสริมสร้างอานุภาพพลังโจมตีให้เพิ่มทวียิ่งขึ้น
<<[ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ของจริงเหรอเนี่ย? เห็นแล้วนึกถึงความทรงจําเก่าๆเลยแฮะ>>
[ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] คือสกิลระดับสูงที่บักหยุนกิวครอบครอง
ผลของสกิลจะสร้างอสุราร่างกายใหญ่โต ที่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายไปพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของ พลังทําลายล้างไม่จําเป็นต้องกล่าวถึง เมื่อเปรียบเทียบกับสกิลที่ซูฮยอนเคยเผชิญก่อนหน้าไม่นาน [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ถือได้ว่าเหี้ยมหาญกว่าหลายเท่า
ซูฮยอนหรี่ตา…
เหตุผลที่ [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ถูกเรียกออกมาใช้หมายความว่าบักหยุนกิวกําลัง เดินพันการต่อสู้ทั้งหมดไปกับการโจมตีครั้งนี้ แต่ซูฮยอนทราบถึงช่องโหว่สกิลของบักหยุนกิวเป็นอย่างดี สกิล (ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์) ที่เขาเรียกใช้งาน ยังควบคุมได้ไม่ชํานาญพอ ต้องรออีกหลายปีกว่า บักหยูนกิวจะควบคุมสกิลให้ได้อย่างสมบูรณ์
บักหยุนกิวยกดาบขึ้นฟ้า คลื่นพลังของ [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] แผ่ซานออกมาจากดาบตัวดาบส่งเสียงร้องพึ่งๆออกมาไม่ยอมหยุด เขากระชับดาบในมือแน่นแล้วฟาดดาบลงพื้นเต็มแรง
ตูม!
พื้นสนามแข่งขันที่ได้รับการเสริมความทนทานมาเป็นอย่างดี โดนแรงกระแทกจากดาบจนพื้นแตกละเอียดเป็นผุยผง ฝุ่นลอยคลุ้งเต็มอากาศ เศษหินจํานวนมากกระเด็นกระดอนไปทั่วสนามแข่งขัน
เป้าหมายที่ดาบฟาดลงไปเป็นจุดที่ซูฮยอนเคยยืนอยู่ แต่ตอนนี้ร่างกายของซูฮยอนหายไปจากที่นั่นแล้ว
บักหยุนกิวกลอกสายตาเมียงมองสภาพแวดล้อมรอบตัว เพื่อตามหาเป้าหมาย
“ตรงนั้น!!”
โฮกกกกก!!
[ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] เหวี่ยงดาบขนาดใหญ่ไปตามทิศทางที่บักหยูนกิวลงดาบ
สนามแข่งขันในปันจุบันมีสภาพเละตุ้มเป๊ะ พื้นสนามขรุขระเป็นหลุมลึก ถ้าสนามไม่มีหินอีเธอร์เป็นส่วนประกอบหลักล่ะก็ ปานนี้สนามคงพังพินาศ ไม่เหลือเศษซากแม้แต่ชิ้นเดียวไปแล้ว
“ผู้ชายคนนั้น ไม่รู้จักคําว่าออมมือหรือไงกัน” กอร์ดอนโรฮันพูดด้วยน้ำเสียงฝืดเคือง
แม้ในใจจะรู้สึกอุ่นเคืองที่สนามแข่งขันพังยับเยินไม่เหลือเค้าเดิม แต่การต่อสู้ตรงหน้าเขาตรึงตาตรึงใจถึงที่สุด จนทําให้เขาเผลอสติดื่มต่ำไปกับการต่อสู้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกขุ่นเคืองที่คุกรุ่นอยู่ในใจจึงหักล้างได้
ในบรรดาผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ของประเทศเกาหลีใต้ บักหยูนกิวเป็นชื่อที่ไม่ค่อยมีการพูดถึงบ่อยนัก เพราะทํางานอยู่เบื้องหลังมากกว่าเบื้องหน้า อย่างไรก็ตามคนที่รู้จักตัวตนของบักหยูนกิวจะทราบเป็นอย่างดีว่าทักษะการต่อสู้ของเขาเหนือล้ำกว่าผู้ใด
ศักยภาพที่บักหยุนกิวสําแดงออกมาในปัจจุบัน แรงค์ S ทั่วไป ไม่มีทางรับมือได้แน่
“แต่กระนั้น…”
เคล้ง!!
อาวุธของ [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ที่กําลังฟาดฟันซูฮยอนหยุดชะงักกลางอากาศ
กอร์ดอนโรฮันพึมพําแผ่วเบาพลางจ้องมองซูฮยอนที่หยุดดาบขนาดใหญ่ได้สําเร็จ “เป็นอย่างที่ฉันคาดการณ์ไว้ในจํานวนผู้ตื่นขึ้นที่เข้าร่วมการแข่งขัน เจ้าเด็กนั่น เป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ”
กึก!! กึก!!
บักหยุนกิวเพิ่มแรงลงไปในดาบ พยายามกดดาบให้ต่ำลง แต่ดาบไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิ้วเดียว แววตาของเขาสั่นระริกด้วยความระส่ำระสาย
<<เขาป้องกันมันได้จริงๆงั้นเหรอ?>>
ย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้าที่ซูฮยอนป้องกัน [ดาบสะบั้นนภา] ซึ่งความสามารถโดยพื้นฐานของสกิล [ดาบสะบั้นนภา] คือโจมตีเป้าหมายเพียงครั้งเดียว เพื่อยุติการต่อสู้ยืดเยื้อ แต่รอบนั้น ซูฮยอนสามารถป้องกันได้สบายๆ เขาจึงตัดสินใจจัดไพ่ตายที่คิดว่าแข็งแกร่งที่สุดออกมาใช้ จนแล้วจนรอดซูฮยอนก็ยังสามารถต้านทานได้อีก จิตใจของบักหยูนกิวเริ่มยอมรับความเก่งกาจของชายหนุ่มตรงหน้า
บักหยูนกิวไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าจะสามารถต้านทานและป้องกันการโจมตีจาก [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ได้
แกร็ก แกร็ก
เกล็ดสีดํางอกออกมาจากชั้นผิวหนัง ก่อนลุกลามไปทั่วแขนซูฮยอนอย่างรวดเร็ว เขาสูดลมหายใจเข้า-ออก เพื่อสะกดความตื่นเต้นเร้าใจที่กําลังพลุ่งพล่านให้สงบ
“ความแข็งแกร่งคุณน่าเหลือเชื่อมาก สมคําร่ำลือจริงๆ”ซูฮยอนจึมงําออกมาด้วยเสียงเนิบนาบ
ปัง!!
ซูฮยอนที่กําลังยันดาบ [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] เอาไว้ บัดดาบให้แฉลบไปด้านข้างแล้วยกดาบของตัวเองชี้ฟ้า
“ผมเองก็แข็งแกร่งไม่แพ้คุณเหมือนกัน”
หวือ!!
ดาบของซูฮยอนยืดยาวโจมตีไปยังร่างกายของ [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์]
บักหยุนกิวที่เห็นดังนั้นรีบเหวี่ยงดาบโจมตีสวนกลับ พร้อมทั้งกระโจนเข้าหาคู่ต่อสู้ตรงหน้า
เคล้ง!!
“!”
ความแข็งแกร่งที่ส่งผ่านมาจากดาบซูฮยอน ทรงพลังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ตอนแรกบักหยุนกิวเชื่อมั่นเต็มอกว่าตัวเองสามารถสู้รบตบมือกับซูฮยอนได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่จากการปะทะกันเมื่อครู่ การโจมตีของซูฮยอนมีความรุนแรงเหนือกว่า [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ไปเรียบร้อยแล้ว
<<ความแข็งแกร่งของฉัน เป็นรองเขาจริงๆเหรอเนี่ย>>
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่พ่ายแพ้ แม้แต่ความเร็วอีกฝ่ายก็ยังเหนือกว่า
ความจริงบักหยุนกิวสูญเสียความเร็วไปแค่เล็กน้อย แต่กลับส่งผลกระทบใหญ่หลวง ท่าทางการเหวี่ยงอาวุธแต่ละครั้งของบักหยุนกิวเต็มไปด้วยความงุ่มง่าม ซึ่งหมายความว่าการโจมตีของเขาจะไม่เกรงขามเหมือนแต่ก่อน
เดี๋ยวก่อนนะ อย่าบอกนะว่าเป้าหมายแรกเริ่มของเขา มีเจตนารอนกําลังของฉันให้ได้มากที่สุด?>>
ต้องไม่ลืมว่า [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ออกท่าออกทางเหมือนกับเขาทุกประการ
ถ้าเกิดบักหยูนกิวหมดแรงข้าวต้ม [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์ คงไม่แคล้วต้องหมดกําลังตามไป
หากการสมมุติฐานของเขาผิดหมด การที่คู่ต่อสู้จู่ๆก็แข็งแกร่งขึ้นมา มีด้วยกัน 2 เหตุผล
เหตุผลที่ 1 คู่ต่อสู้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเขา แต่จงใจปิดบังเอาไว้
เหตุผลที่ 2 คู่ต่อสู้คาดการณ์การโจมตีเอาไว้ล่วงหน้า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซูฮยอนมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าเขาหลายเท่าตัว
หมับ!!
บักหยุนกิวกําดาบในมือจนมองเห็นเส้นเลือดปูดโปน เขาก็พึ่งทราบวันนี้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนมีนิสัยหัวดื้อ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
<<ฉันจะต้องจบทุกอย่าง ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว! >>
โอกาสคว้าชัยชนะแทบเป็นศูนย์ หากการต่อสู้ยังดําเนินต่อไปแบบนี้
เมื่อเห็นร่างกายของซูฮยอนกะพริบวูบวาบแล้วหายไปจากครรลองสายตา บักหยุนกิวยกดาบชี้ฟ้าอีกรอบ..
[ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์
[หนึ่งดาบสะบั้นสรรพสิ่ง – ดาบสะบั้นนภา]
ดาบของ [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ยกเหนือฟ้าตามเจ้าของสกิล
สายตาราบเรียบไร้ความรู้สึกของบักหยุนกิวจ้องเขม็งไปด้านหน้า ร่างกายซูฮยอนที่หายตัวไปปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าของเขา
แสงสว่างสุกปลั่งเปล่งประกายออกมาจากนัยน์ตาของบักหยูนกิว
<<ฉันคนนี้ ต้องสยบเขาให้จงได้! >>
สวบ!!!
ใบดาบใหญ่โตมโหฬารของ [ราชันดาบแห่งสรวงสวรรค์] ฟาดฟันแหวกอากาศ ก่อให้เกิดแรงลมกระโชกอย่างถึงเป็นถึงตาย