จีเย่ขอให้ผู้เล่นที่เหลือแนะนำตัวเอง
“หลี่ชิง อายุ 37 ปี เคยเป็นทหารพรานในที่รับใช้กองทัพ” นี่คือชายที่เงียบอยู่เกือบตลอดเวลา
“อันหยวน อายุ 30 ปี เป็นนักเขึยนโปรแกรม นักออกแบบและนักเล่นเกม” นี่คือชายหนุ่มมนุษย์เงินเดือนร่างอ้วน คำตอบนั้นค่อนข้างอธิบายปัญหาเรื่องผมของเขาได้เป็นอย่างดี
ชื่อแปลกๆ ทำให้จีเย่นึกถึง ‘วีรบุรุษนอกกฏหมาย’ อีกคนจากซ้องกั๋งที่มีชื่อว่า ‘อันเต้าฉวน’ แพทย์ที่มีชื่อเสียงซึ่งรับใช้จักรพรรดิในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขาสงสัยว่าวีรบุรุษคนนี้จะปรากฏออกมาในไม่ช้า
“ฉินเยว่หยู นักธนูโอลิมปิก ฉันได้รับรางวัลชนะเลิศระดับชาติสองครั้ง” สาวผมสั้นเอ่ยออกมา
จีเย่พยักหน้าด้วยความยินดีเมื่อเขาได้ยินอาชีพของเธอ อาชีพนี้ฟังดูเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่ควรมีในถิ่นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกลุ่ม ‘มนุษย์อินทรี’ ที่จะข้ามหุบเหวมาในไม่ช้า
“ซวีเสวีย ฉันสร้างเพลงและหนังที่เป็นที่รู้จักอยู่ไม่กี่เรื่อง” ‘ดาราสาว’ พูดในขณะที่มองจีเย่ด้วยสีหน้าเย้ายวนกับเธอต้องการสื่ออะไรบางอย่าง
จีเย่พยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่ผู้เล่นคนต่อไป
“ซูนงอิ๋ง ผู้บริหารธุรกิจ ปัจจุบันช่วยบริษัทในการบริหารทรัพยากรบุคคลและโลจิสติกส์” ซูนงอิ๋งพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนผู้คนแทบจะไม่ได้ยินเสียงเธอ
จีเย่ใช้เวลาตรวจสอบหญิงสาวคนนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอดูเหมือนจะแสดงอาการทางอารมณ์บางอย่างในขณะที่เธอพูด
ผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลมืออาชีพฟังดูดีสำหรับถิ่นฐานในขั้นตอนเริ่มต้นของการพัฒนา การมีเธออยู่ในทีมนั้นสำคัญพอๆ กับการมีอาจารย์และวิศวกร แม้ว่าจะเป็น ‘หัวหน้า’ ของถิ่นฐาน แต่จีเย่ยังไม่ได้วางแผนที่ชัดเจนในการกำหนดรูปแบบการตั้งถิ่นฐานอย่างเหมาะสม มันจะเป็นประโยชน์มากหากมีคนอื่นช่วยเขาในสายงานนี้เพราะเขาชอบที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการสังเกตุว่าซูนงอิ๋งพร้อมสำหรับงานหรือไม่ในเมื่อเธออายอย่างหนัก แม้แต่ตอนพูดคุยกับชนพื้นเมืองคนอื่น
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘การทดสอบครั้งแรก’ ของผู้เล่นใหม่นั้นง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการทดสอบของผู้เล่นเก่า นอกจากนี้พวกเขายังได้รับอนุญาตให้กลับโลกได้หลังจากใช้เวลาหนึ่งเดือนในดินแดนแห่งมรดก ไม่ใช่สามเดือนเหมือนกับรอบแรก
พวกเขาไม่มี ‘ไอเทมเริ่มต้น’ เมื่อมาถึง แต่เสียงลึกลับในใจของพวกเขาจะบอกพงกเขาว่าจะหาพวกมันยังไงซึ่งก็คือการพูดกับแกนกลางของถิ่นฐานและจ่าย 1 แต้มเกียรติยศ
สำหรับวิธีการได้รับแต้มเกียรติยศแรกของพวกเขา… ขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่พวกเขาเชี่ยวชาญ
วิธีที่เร็วที่สุดในการได้รับแต้มก็คือการสังหารมอนเตอร์รอบถิ่นฐาน พวกมันไม่จำเป็นต้องเป็นมอนเตอร์ที่ทรงพลัง จีเย่ค้นพบว่ามอนเตอร์ที่อ่อนแอก็ให้แต้มเกียรติยศเช่นกันแม้ว่าจะน้อยมาก อาจจำเป็นต้องสังหารมอนเตอร์หลายตัวเพื่อรวบรวมให้ถึงหนึ่งแต้มเกียรติยศ
แต่ก็มีวิธีที่ตรงไปตรงมาอีกหนึ่งวิธีซึ่งก็คือการสอนทักษะที่เป็นประโยชน์แก่ชนพื้นเมือง ในขณะที่ค้นหามอนเตอร์และทรัพยากรในวันก่อนๆ จีเย่ก็ได้ใช้เวลาพอสมควรในการทดสอบและได้รับแต้มมา
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่เขาคิด เพราะชนพื้นเมืองที่ไม่รู้หนังสือนั้นมีระดับการศึกษาที่เลวร้ายซึ่งแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ต้องกล่าวถึงจีเย่ที่ไม่ได้เป็นอาจารย์จริงๆ
จีเย่มองงชายชราสองคนที่กำลังแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ของพกวเขาอย่ากระตือรือร้น อย่างน้อยเขาก็ค้นพบทางออกแล้ว
เขาเชื่อว่าเขาคิดได้แล้วว่าดินแดนแห่งมรดกทำงานยังไง เพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต เขาต้องสร้างกองทัพผู้เล่นที่มีความสามารถโดยใช้สิ่งที่เขามีอยู่มือ ในกรณีนี้เขาต้องการให้ผู้เล่นสอนสิ่งใหม่ๆ ให้กับเอ็นพีซีและช่วยถิ่นฐานในการเติบโต
หลังจากได้ยินข้อสเนอของเขา ชายชราก็รับงานใหม่ของพวกเขาโดยปราศจากความลังเลเพราะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นงานที่เหมาะสมกับพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่สามารถออกไปนอกถิ่นฐานและไล่สังหารมอนเตอร์ได้
สำหรับผู้มีความสามารถคนอื่น จีเย่วางแผนที่จะพาพวกเขาทั้งหมดออกไปข้างนอกและปล่อยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับมอนเตอร์ไม่กี่ตัวโดยไม่คำนึกถึงอาชีพของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นชายทั้งสามคน
“ได้สิพาฉันไปด้วย!” หลี่ชิงผู้เป็นทหารเกษียณตอบตกลงทันที
เจี้ยวเหวินหมิงดูเหมือนจะไม่มั่นใจในเรื่องนี้เพราะเขาไม่เก่งในด้านการต่อสู้ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ยังคงทำตามเพราะความรู้ของเขาเกี่ยวกับงูไม่ได้มีประโยชน์กับชนพื้นเมืองมากนัก
“ฉะ-ฉันอยู่ข้างหลังได้มั้ย?” นักเขียนโปรแกรมที่มีชื่อว่าแันหยวนร้องขออย่างตั้งใจ
ซวีเสวียบ่นออกมาดังๆ ก่อนที่จีเย่จะตอบกลับ “คุณเป็นนักเล่นเกมที่ต่อสู้กับมอนเตอร์มาทุกประเภททุกวันไม่ใช่เหรอ? นี่คือสิ่งที่คุณทำงั้นเหรอ?”
“แต่นักเขียนโปรแกรมใช้คีย์บอร์ด ไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูจริงๆ! นอกจากนี้ฉันยังจัดการด้านโมเดลและงานศิลปะเป็นหลัก ฉันไม่ได้เล่นเกมมากนัก มันจะดีกว่าหากทิ้งให้ฉันอยู่ที่นี่และช่วยชายชราสองคนนั้น พวกเขาต้องการสิ่งนั้น พวกคุณไม่คิดงั้นเหรอ?”
“ศิลปะ… นายวาดภาพได้มั้ย?” จีเย่เอ่ยถาม เมื่อพูดถึงงานศิลปะ เขาคิดว่าการวาดภาพและดนตรีอาจเป็นประโยชน์เนื่องจากเขาเพิ่งได้รับเครื่องดนตรีซึ่งเป็นอาวุธ
“ฉันวาดได้” อันหยวนพยักหน้าอย่างมีความสุข “นายรู้จักวิดีโอ ‘เทพเจ้าหน้าไม้ ปะทะ งู’ ใช่มั้ย? ฉันทำมันเอง ฉันทำตั้งแต่การจำลองโมเดลไปจนถึงแอนิเมชั่น ฉันยังวาดภาพย่อทั้งหมดด้วยตัวเอง”
“เยี่ยม” จีเย่หยักหน้า “ได้เลย นายสามารถอยู่ที่นี่ได้”
เขาหันไปหาผู้เล่นหญิง “แล้วพวกเธอล่ะ? บอกความคิดเห็นของพวกเธอออกมาได้เลย”
เขาไม่่ได้ตั้งใจที่จะเลือกปฏิบัติกับใคร ธรรมชาติของมนุษย์ก็คือให้ผู้ชายไปทำงานที่ใช้แรงงานทางร่างกายในขณะที่ผู้หญิงทำงานเกี่ยวกับงานสนับสนุนอยู่บ้าน
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าดินแดนแห่งมรดกจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้เพราะผู้หญิงทุกคนมีระดับต่ำกว่าผู้ชายในตอนเริ่มต้น
“ฉันจะไปกับคุณ” ซูนงอิ๋งตอบคนแรก
ฉินเยว่หยูก็ตอบเป็นคนต่อไป “ฉันไม่มีปัญหากับการมีส่วนร่วมนะ แต่ฉันสามารถใช้ธนูและลูกศรได้มั้ย?”
“ฉะ-ฉันไปด้วย” ซางเยี่ยนกล่าว “ฉันเป็นแพทย์สนามของพวกคุณได้ แต่อย่าให้มอนเตอร์เข้าใกล้ฉัน…”
“ขออาวุธด้วย!” ซวีเสวียเอ่ยขออย่างกระตือรือร้น เธอตัดสินใจเช่นนี้เพราะได้เรียนรู้จากฟอรั่มแล้วว่ามีไอเทมวิเศษที่เธอสามารถหาได้หลังจากสังหารมอนเตอร์ เช่น น้ำหอมราคาแพงที่ไม่มีขายในโลกจริง
จีเย่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดเต็มใจที่จะเข้าร่วมการผจญภัย
“ให้มากับพวกเราสิบคน นำอาวุธของพวกนายไปด้วย” เขากล่าวกับยามด้านนอกศาลเจ้า “ผู้นำหลู่ นายจะว่ายังไงหากฉันเปลี่ยนเชื่อศาลเจ้า? ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันอยากเรียกมันว่า ‘ศาลเจ้าแห่งความศรัทธา’”
“อ่า? แน่นอนฉันไม่ขัดข้องครับ และ… ขอบคุณครับ!” ชายร่างใหญ่ดูตื่นเต้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
ในขณะเดียวกัน ชายชราทั้งสองที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเรื่องนั้นหมายความว่าอะไร
“ชายหนุ่มคนนี้… เขาคือของจริง นายก็รู้ใช่มั้ย?”
ในเรื่องราวดั้งเดิมของซ้องกั๋ง ซ่งเจียงได้เปลี่ยน ‘หอแห่งความศรัทธา’ ไปเป็น ‘หอแห่งความภักดี’ ก่อนที่เขาจะยื่นเรื่องต่อรัฐบาลและขายพี่น้องของเขาออกไป อู่ซงและหลู่จือเซินเป็นวีรบุรุษนอกกฏหมายสองคนที่ต้องทุกข์ทรมาณมากที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจีเย่ตั้งใจที่จะป้องกันไม่ให้ผลลัพธ์ที่น่าเศร้าเกิดขึ้นที่นี่