“สวัสดีครับพี่และท่านหัวหน้า ฉันอู่ซง!”
หลังจากลงถึงพื้น อู่ซงก็เดินตรงไปที่จีเย่และหลู่จือเซิน เขากำหมัดและโค้งคำนับไปที่หลู่จือเซิน
“น้องชาย ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับการคำนับของนาย แต่ฉันไม่สมควรได้รับ!”
หลู่จือเซนิเอื้อมมือออกไปและจับแขนของอู่ซง
จีเย่ถอยห่างออกไปแล้วเพราะเขารู้การมีคำนับของอู่ซงมีไว้ให้หลู่จือเซิน
ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในชีวิตของอู่ซงเกิดขึ้นในระหว่างสงครามกับฟางล่าอย่างไม่ต้องสงสัย แขรของเขาถูกดาบบินของเป่าไต้ตัดขาด เขาล้มลงกับพื้นและเกือบเสียชีวิต
ในเวลานั้นหลู่จือเซินก็ได้เสี่ยงชีวิตพุ่งไปหาอู่ซงและช่วยชายคนนั้นไว้
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หลู่จือเซินก็ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันในวัดลิ่วเหอในหางโจวในขณะที่ฟังพระธรรม
เนื่องจากแขนของเขาถูกตัด อู่ซงจึงถูกซ่งเจียงมองว่าเป็นชายพิการ เขาจึงปฏิเสธรางวัลจากจักรพรรดิและเลือกที่จะเป็นหลวงจีนในวัดลิ่วเหอซึ่งหลู่จือเซินเสียชีวิต เขาอยู่กับความพิการนี้จนกระทั่งเสียชีวิตในตอนที่เขาอายุ 80 ปี
จึงสรุปได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายสองงคนนี้นั้นแน่นแฟ้นมากกว่าความสัมพันธ์ของสมาชิกคนอื่นในเขาเหลียงซาน
และมีเหตุผลสำหรับการทำพฤติกรรมเช่นนี้ของอู่ซง
เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับหลู่จือเซิน เขาได้รับความทรงจำเกี่ยวกับชะตากรรมของเขาในอนาคตเช่นเดียวกัน
“พี่ชาย การได้พบพี่อีกครั้งเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตฉัน ขอบคุณท่านหัวหน้ามาก ฉันสามารถกลับมาที่ภูเขามังกรคู่ได้หลังจากใช้กระดูกปีศาจมนุษย์ต่างดาวนี้เป็นเครื่องบูชายัญ”
เมื่อเทียบกับความรู้สึกอันลึกลับที่หลู่จือเซินแสดงออกมาในตอนนั้น เสียงของอู่ซงฟังดูดีใจมากกว่า นี่อาจเป็นเพราะเขาสามารถพบกับหลู่จือเซินได้อีกครั้ง
จากนั้นเขาก็หันไปทางจีเย่
“ผู้นำอู่ ฉันรู้ว่านายเชี่ยวชาญกระบี่คู่ แต่น่าเสียดายที่เรามีโลหะเหมันต์ในภูเขาน้อยในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นฉันมั่นใจเลยว่าฉันสามารถสร้างกระบี่ที่ยอดเยี่ยมให้นายได้!”
จีเย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องกังวลมากนัก ฉันพอใจที่มีกระบี่วิญญาณเสือนี้อยู่แล้ว ส่วนอีกเล่มฉันจะหามาจากเผ่ามนุษย์ต่างดาวเอง ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ แต่ก็ไม่เคยเจอ โชคดีที่พี่ชายของฉันยังไม่ฆ่าพวกมันหมด!”
เสียงของอู่ซงฟังดูมั่นใจมาก
แม้ว่าเขาจะมีความทรงจำของช่วงเวลาภายในของเขา แต่เมื่อเทียบกับตอนนั้น อุดมการณ์ในปัจจุบันยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
ดังนั้นอู่ซงจึงไม่มีความรู้สึกอันไม่แยแสของชายที่มีอายุ 80 ปี แต่เขาก็เต็มไปด้วยความทะเยอะทะยานที่กล้าหาญ
…
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ณ ลานประลอง!อู่ซงใช้เวลาครึ่งคืนดื่มกับหลู่จือเซิน แต่เขาก็ไม่ได้เมาและดูฟิตมาก
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เคยดื่มถึง 18 ชามติดต่อกันก่อนที่เขาจะข้ามสันเขาเจียงหยางและดื่มไปอีก 30 ชามในป่าสุขสันต์
ดังนั้นเมื่อจีเย่มาถึงสนามประลองเพื่อฝึกฝน อู่ซงจึงได้เริ่มทดสอบกระบี่วิญญาณเสือที่เขาได้รับเมื่อวันก่อน!
เฟิบ! เฟิบ! เฟิบ!
อู่ซงถือกระบี่ในมือและเริ่มใช้เทคนิคใบมีดของเขา เกิดภาพติดตาของกระบี่หลวงจีนสีน้ำเงินดำในอากาศ และมีคนได้ยินเสียงคำรามอย่างแผ่วเบาท่ามกลางเสียงกระบี่ที่กวัดแกว่งไปมา
“กรรร!”
เมื่อเขาฟันกระบี่สุดท้าย เสียงคำามของเสือก็ดังกึกก้องไปทั่วสนามประลอง ภาพของเสือที่มีปีกที่ถูกสร้างจากเปลวไฟสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมาจากกระบี่สีน้ำเงิน มันคำรามออกมาและกระโจนออกไปไกลถึง 30 เมตร
ทุกทีที่มันผ่านไป รอยสีเทาเข้มถูกทิ้งไว้บนพื้น สังหารหนูและแมลงบนเส้นทางที่มันผ่า
“พลังกระบี่นั่นเหลือเชื่อมาก!”
ฉากดังกล่าวดึงดูดความสนใจของผู้เล่นและชนพื้นเมืองทุกคนที่อยู่ในลานประลอง
แน่นอนว่ามีเหตุผลที่กระบี่นี้นั้นทรงพลังมากจนสามารถปลดปล่อยพลังกระบี่เสือได้
นอกเหนือจากความสามารถของอู่ซง ยังเป็นเพราะกระบี่วิญญาณเสือระดับวิสามัญอันดับ 2 ที่มีขั้นสมบูรณ์ ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังระดับวิสามัญทั้งหมดในคราวเดียว
อย่างไรก็ตามในส่วนของพลังระดับวิสามัญเพียงอย่างเดียว มันยังคงไม่ยอดเยี่ยมเหมือนกับดาบงูดำของจีเย่ ท้ายที่สุดแล้วดาบงูดำนั้นมีอันดับสูงกว่า
“ท่านหัวหน้าต้องการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของฉันมั้ย?”
สำหรับจีเย่ การมาถึงของอู่ซงนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาความสามารถของเขาอีกครั้ง
เขาเลือกเรียนรู้สกิลศิลปะการต่อสู้ของอู่ซงแทนที่จะเลียนแบบลุงเก้าหรือหลู่จือเซินที่เลือกเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงของพวกเขา
เหตุผลก็คือเส้นทางของทั้งสองคนไม่เหมาะกับเขา
เห็นได้ชัดกับลุงเก้า แม้ว่าในฐานะนักบวชลัทธิเต๋า เขานั้นเร็วกกว่าคนธรรมมาก แต่โดยพื้นฐานแล้วเขายังคงเป็นนักเวทย์
หลู่จือเซินเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แต่เขาดุร้ายและมุ่งเน้นไปในสไตล์การต่อสู้ที่โจมตีอย่างหนักหน่วงในครั้งเดียวซึ่งไม่เหมาะกับนิสัยของจีเย่
อย่างไรก็ตามอู่ซงนั้นคนละเรื่อง
สกิลศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นไม่ได้ถูกระบุเป็นพิเศษในหนังสือต้นฉบับ ในนิทานพื้นบ้านและบางเรื่อราว เขาถูกกล่าวไว้ว่าได้ฝึกฝนในวัดเส้าหลินเป็นเวลาสามปี หรืออาจมีอาจารย์คนเดียวกับเยว่เฟยหรือหลินชง
เช่นเดียวกับหลู่จือเซิน อู่ซงเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งอันน่าทึ่ง เขาสามารถดยนก้อนหินหนักครึ่งตันเป็นระยะทางกว่าสามเมตรได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูในการต่อสู้ การโจมตีครั้งเดียวของเขาก็เพียงพอที่จะสร้างผลกระทบในระหว่างทำสงครามกับราชอาณาจักรเหลียว อู่ซงได้ตัดหัวม้าของเยลฟเต๋อจงซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักร ก่อนที่จะสังหารชายคนนั้นด้วยการโจมตีอีกครั้ง เขาสังหารเสิ่นอันด้วยการฟันดาบเพียงครั้งเดียวในระหว่างสังหารกับเทียนฮู เขามข้เพียงกระบี่เดียวในการสังหารฟางเหมา หลังจากนั้นในระหว่างการไล่ตามเติ้งหยวนจือ เขาได้สังหารเป่ยอิ๋งกุ้ยซึ่งเป็นหนึ่งใน 24 นาพลแห่งหางโจวด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
ในขณะเดียวกันใบบรรดาวีรบุรุษในซ้องกั๋ง อู่ซงก็ไม่มีใครเทียบได้ในด้านการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
นอกเหนือจากการเอาชนะเสือ ก้าวแหวนหยกและท่าเท้าดวงใจที่เขาใช้เมื่อเขาต่อสู้กับเหมินเสิ๋น
แม้ว่าจะยังมีคนถกเถียงกันว่าใครคือยอดนักรบใน 108 วีรบุรุษนอกกฏหมาย แต่อู่ซงก็เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน
อาจกล่าวได้ว่าสไตล์การต่อสู้ของอู่ซงนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งละสกิลซึ่งเหมาะสมกับจีเย่อย่างมาก
“ฉันไม่มีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงเมื่อฉันใช้กระบี่ ฉันแค่ฟันกระบี่ตามสถานการณ์ ท่านหัวหน้าแม้ว่าท่านจะใช้ดาบ แต่สกิลพื้นฐานก็อยู่ในระดับเดียวกัน”
“อย่างไรก็ตามท่านไม่สามารถเชี่ยวชาญมันได้ในการต่อสู้เพียงอย่างเดียว ท่านสามารถตระหนักถึงความสำเร็จได้หลังจากที่ท่านได้เห็นการต่อสู้ไม่กี่ครั้ง!”
เนื่องจากกระบี่วิญญาณเสือเป็นเครื่องบูชายัญ แน่นอนว่าอู่ซงจึงไม่ปฏิเสธ หลังจากปล่อยให้จีเย่แสดงการเคลื่อนไหวของเขา อู่ซงก็ออกความคิดเห็นและกล่าวคำเหล่านั้น
“สำหรับการเคลื่อนไหวหมัด ฉันเห็นว่าท่านมีพื้นฐานที่มั่นคงแล้ว สิ่งที่ท่านขาดก็คือสกิลบางอย่างของระดับวิสามัญเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูในระดับนั้น!”
“ฉันมีการเคลื่อนไหวชุดที่เรียกว่า ‘ย่างก้าวแหวนหยก ท่าเท้าดวงใจ’ ท่านหัวหน้าอาจเรียนรู้บางสิ่งจากมันได้”
หลังจากนั้นอู่ซงก็แทงกระบี่ลงบนพื้นและสาธิตการเคลื่อนไหว
พวกมันมีคุณสมบัติบางอย่างของตัวมันเอง
“มันพัดสายลมหมุนไปมา ทำให้นึกถึงเหยี่ยวออสเปรที่กำลังกระพือปีกพัดน้ำหรือละมั่งที่กำลังวิ่งด้วยขาหลัง การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและว่องไว สามารถพุ่งออกไปได้ราวกับกระสุนปืนใหญ่และหยุดนิ่งได้ราวกับหินผา มันนุ่มนวลราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านต้นวิลโลว์และแข็งราวกับค้อนทุบระฆัง!”
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว อู่ซงเตะเป้าหมายในลานประลองซึ่งมันถูกสร้างขึ้นจากกระดูกสัตว์ร้ายที่ถูกขัดเกลาโดยเผ่าวิญญาณและถูกห่อหุ้มด้วยเกราะหนา
ตูมม!
เกราะนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที และชิ้นส่วนที่แตกกระจายก็กระเด็นไปทุกทิศ กระดูกสัตว์ร้ายที่แข็งราวกับหินที่อยู่ตรงใจกลางเป้าหมายนั้นได้แตกออกและพุ่งออกไปหลายสิบเมตร
ลองคิดดู ศิลปะการต่อสู้ของอู่ซงนั้นค่อนข้างเกี่ยวข้องกับหมัดตั๊กแตนที่จีเย่ฝึกฝนาเพราะ ‘ย่างก้าวหยกแหวน ท่าเท้าดวงใจ’ นั้นถูกดัดแปลงมาจากหมัดตั๊กแตนของวัดเสาหลินบนโลก
แน่นอนว่าในดินแดนแห่งมรดก อู่ซงได้พัฒนา ‘ย่างก้าวหยกแหวน ท่าเท้าดวงใจ’ ให้เป็นสกิลเฉพาะของเขา
พลังที่เพิ่มอย่างกะทันหันเมื่อมันถูกใช้นั้นแม้กระทั่งแข็งแกร่งกว่าพละกำลังโกลาหลดั้งเดิมซึ่งจีเย่บ่มเพาะ
อู่ซงอธิบายเทคนิคของสกิลโดยละเอียด
จีเย่ใช้แต้มเกียรติยศและบันทึกมันไว้เป็นสกิลของเขา
หลังจากนั้นเขาก็ใช้ค่าประสบการณ์หลายพันและใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อบ่มเพาะมันจนเขาไปถึงระดับพื้นฐาน
เมืองแห่งมนุษย์กำลังจะเปิด และเนื่องจากไม่มีข้อมูลมากนัก หากเขาสามารถเชี่ยวชาญสกิลต่อสู้มนุษย์บางอย่าง พวกมันอาจมีประโยชน์ในภายหลัง!