เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1036

ตอนที่ 1036

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1036 มนุษย์โคลน

แปลโดย iPAT

“โอ้ หมายความว่าอย่างไร?”

“นานๆครั้งสายเลือดตระกูลหนี่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น หากพวกเขารอดชีวิต วิญญาณอมตะจะถือกำเนิดขึ้นในร่างของพวกเขา”

ฉีช่ายมองก้อนเมฆด้านหน้าขณะกล่าวต่อ “หนี่เหรินทำเช่นนั้นเพราะต้องการสร้างผู้อมตะตระกูลหนี่ เขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เขาสามารถผสานวิญญาณอมตะเข้ากับสายเลือดตระกูลหนี่ นั่นทำให้คนนอกไม่สามารถฉกชิงพวกมันไป กระทั่งบางคนจะพยายามหลอมรวม พวกเขาก็จะล้มเหลว มันเป็นวิญญาณอมตะที่มนุษย์สามารถใช้งานแม้จะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงมากก็ตาม”

ฉีอี้รู้สึกชื่นชมหนี่เหรินอย่างช่วยไม่ได้ “หากข้าได้รับความช่วยเหลือจากวิญญาณอมตะ ข้าอาจสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติได้ด้วยตัวของข้าเอง”

ฉีช่ายหัวเราะเสียงเย็น “หนี่เหรินทำงานหนักแต่ระหว่างหลายปีที่ผ่านมาก็ยังไม่มีผู้อมตะถือกำเนิดขึ้นในตระกูลหนี่ วิญญาณอมตะที่เขาเลือกมีความต้องการสูงเกินไป แม้ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์จะสามารถใช้งาน แต่มันก็ไม่ต่างจากเด็กทารกพยายามใช้ดาบ แล้วพวกเขาจะปลอดภัยได้อย่างไร?”

“เมื่อวิญญาณอมตะปรากฏขึ้นในร่างของทายาทตระกูลหนี่ คนผู้นั้นจะถูกเรียกว่าหนี่เซียงรุ่นปัจจุบัน วิญญาณอมตะดวงแรกที่ปรากฏขึ้นเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่มีชื่อว่า วิญญาณอมตะใช่หรือไม่ วิญญาณดวงนี้จะรับข้อมูลมาจากสวรรค์พิภพ เมื่อผู้ใช้วิญญาณถาม มันจะตอบว่าใช่หรือไม่ แต่ผู้ใช้วิญญาณจะต้องจ่ายด้วยอายุขัยห้าสิบปีทุกครั้งที่ถาม”

ฉีอี้ยกคิ้วขึ้น “อายุขัยห้าสิบปี! เป็นราคาที่แพงมาก! แล้วหนี่เซียงรุ่นปัจจุบันจะเต็มใจจ่ายงั้นหรือ?”

ฉีช่ายยิ้มแต่ไม่ตอบ

ร่างกายของฉีอี้สั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย

นางมีประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร นางเข้าใจว่าการนิ่งเฉยของฉีช่ายหมายถึงสิ่งใด

‘ค่าใช้จ่ายของการตอบคำถามคืออายุขัยห้าสิบปี พวกเขาจะเต็มใจได้อย่างไร? แต่ท่านลุงทวดเป็นผู้อมตะขณะที่หนี่เซียงรุ่นปัจจุบันเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเขาขัดขืน?’

‘ตระกูลหนี่อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเพราะพวกเขาถูกกดขี่โดยตระกูลฉี?’

‘ในทางกลับกัน หากตระกูลฉีตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ผู้อมตะของตระกูลฉีก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยงั้นหรือ?’

ฉีอี้รู้สึกเย็นเยียบและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาอีก

ฉีช่ายปิดปากของตนเช่นกัน

ก่อนหน้าฉีช่ายเพียงต้องการแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยๆให้แก่ฉีอี้ที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเท่านั้น

การกระทำของตระกูลฉีไม่สอดคล้องกับวิถีของฝ่ายธรรมะ หากผู้อมตะที่พึ่งเข้าร่วมมีทัศนคติที่แตกต่าง มันจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง

ฉีช่ายไม่ได้กล่าวออกมาแต่ฉีอี้เข้าใจความหมายของเขาแล้ว

‘ภูเขาโคลนเน่าเปื่อยอยู่ไม่ไกล ครั้งนี้ข้าจะปล่อยให้ฉีอี้จัดการตระกูลหนี่ แม้ตระกูลหนี่จะถูกลบออกจากโลกใบนี้ก็ไม่มีปัญหา’ ดวงตาของฉีช่ายส่องประกายขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

ด้วยความตั้งใจของฉีช่าย ราชสีห์ปราณทะยานร่างลงจากท้องฟ้า

ฉีอี้เริ่มมองเห็นภูเขา แม่น้ำ และป่าไม้ที่อยู่ด้านล่าง นางไม่เคยเห็นภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นมันจึงช่วยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกตื่นเต้น

ท่ามกลางภูเขามากมายมีภูเขาสีดำที่โดดเด่นตั้งอยู่

ต้นไม้และพืชพันธุ์บนภูเขาลูกนี้ล้วนเป็นสีดำน้ำตาล

“หือ?” เป็นเพียงเวลานี้ที่ฉีช่ายรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ

ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบบางสิ่ง

ตอนนี้หมู่บ้านตระกูลหนี่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว

ซากศพและบ่อเลือดกระจัดกระจายอยู่รอบๆ

ไม่เพียงซากศพมนุษย์แต่ยังมีซากศพของสัตว์อสูร

“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ฉีอี้อุทาน

ราชสีห์ปราณร่อนลงบนเนินดินขณะที่ผู้อมตะตระกูลฉีทั้งสองกวาดตามองไปรอบๆ

กลิ่นคาวเลือดพุ่งเข้าโจมตีจมูกของฉีอี้ขณะที่นางแทบไม่สามารถทนมองภาพอันน่าสยดสยองที่อยู่เบื้องหน้า

ฉีช่ายพึมพำ “ภูเขาโคลนเน่าเปื่อยมีดินชนิดพิเศษ ตอนนี้เลือดยังไม่แห้ง ดูเหมือนพวกเขาจะถูกสังหารประมาณหนึ่งหรือสองวันที่ผ่านมา”

“มีบางสิ่งผิดปกติ มีศพสัตว์อสูรหลายชนิดอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่ฝูงสัตว์อสูรทั่วไป ตระกูลหนี่โชคไม่ดีที่ต้องเผชิญหน้ากับคลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้” ฉีอี้กล่าว

ฉีช่ายก่นเสียงเย็น “ฮืม คลื่นสัตว์อสูรอันใด!? ชัดเจนว่าเป็นภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น! มีสัตว์อสูรเพียงชนิดเดียวบนภูเขาโคลนเน่าเปื่อย นั่นก็คืออสูรโคลน”

ฉีอี้ตกใจมาก “อา…ผู้ใดช่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้?”

นางคิดก่อนกล่าวต่อ “คนผู้นี้สามารถควบคุมฝูงสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลและยังเป็นสัตว์อสูรที่แตกต่างกัน เขามีวิธีการที่น่าทึ่งนัก เมื่อใดกันที่ภาคใต้มีผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งทาสที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้?”

“ฮืม คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใช้วิญญาณแต่เป็นผู้อมตะ!” ฉีช่ายเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

ณ ใจกลางหมู่บ้านมีพื้นโคลนสีดำที่แยกออกจากบ่อเลือดที่อยู่รอบๆอย่างชัดเจน

“ตระกูลหนี่ได้รับการปกป้องจากอสูรโคลนเดียวดายแต่อสูรโคลนเดียวดายตัวนี้ตายไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งทาสจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็ไม่สามารถต่อต้านสัตว์อสูรเดียวดาย นี่เป็นฝีมือของผู้อมตะ!” อี้ช่ายกล่าวเสียงเย็น

“ผู้อมตะ?” ฉีอี้ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นฝีมือของผู้อมตะ

นางรู้สึกแปลก นางมีชีวิตอยู่มาหกสิบปีแต่ไม่เคยพบเห็นผู้อมตะ เพียงเมื่อนางกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ นางจึงได้พบกับลุงทวดของนาง แต่ตอนนี้นางกลับพบร่องรอยของผู้อมตะอีกคนอย่างรวดเร็ว

‘ตอนนี้ข้าเป็นผู้อมตะ สิ่งต่างๆ แตกต่างออกไปจากก่อนหน้า ผู้คนที่ข้าพบเจอก็แตกต่างออกไปเช่นกัน’ ฉีอี้คิด

การแสดงออกของฉีช่ายกลายเป็นมืดครึ้ม

เขาตั้งใจมาหาหนี่เซียงรุ่นปัจจุบันแต่ตอนนี้หมู่บ้านตระกูลหนี่กลับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ มีความหวังเพียงเล็กน้อยที่แผนการของเขาจะประสบความสำเร็จ

“ฮืม ฆ่าทั้งตระกูลและจากไป ข้าอยากรู้นักว่าเป็นฝีมือของผู้ใด?”

ฉีช่ายเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะไม่สามารถตามหา? คิดว่าทักษะของตระกูลฉีธรรมดางั้นหรือ?”

ฉีช่ายกล่าวก่อนจะยื่นมือขวาออกไป

เขาชี้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางออกไปข้างหน้า แม้มันจะเป็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่มันกลับสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่

“บึม!”

คลื่นอากาศระเบิดออกไปทุกทิศทาง

ฉีอี้ก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ

สนามรบทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียว

“มา!” ฉีช่ายกางนิ้วทั้งสามในลักษณะของกรงเล็บอินทรีย์และดึงแสงสีเขียวกลับมา

เพียงไม่กี่ลมหายใจแสงสีเขียวก็ถูกดูดเข้าไปในมือของฉีช่ายอย่างสมบูรณ์

มือของฉีช่ายเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“ท่านลุงทวด มือของท่าน…” หัวใจของฉีอี้สั่นสะท้านขึ้น

“อย่าเข้ามา เจ้าพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ตอนนี้เจ้าไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก อย่าเข้าใกล้ข้า” ฉีช่ายออกคำสั่ง

ฉีอี้พยักหน้าและถอยหลังกลับไปอีกครั้ง

จากนั้นนางจึงได้ยินฉีช่ายกล่าว “แสงสีเขียวก็คือปราณแห่งความเกลียดชังที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ฆาตกรสังหารผู้คนทั้งหมู่บ้านโดยไม่เว้นกระทั่งเด็กหรือคนชรา ด้วยความเหี้ยมโหดนี้ คนตระกูลหนี่ย่อมเต็มไปด้วยความเกลียดชังและไม่พอใจต่อชะตากรรมของตน ปราณแห่งความเกลียดชังที่อยู่ในสนามรบจะนำเราไปหาเป้าหมาย”

“ไป!” ฉีช่ายตะโกน

แสงสีเขียวถูกส่งไปยังบ่อโคลนด้านล่าง

นี่ไม่ใช่โคลนทั่วไปแต่เป็นซากร่างของอสูรโคลนเดียวดาย

“เส้นทางแห่งพลังปราณมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เสี่ยวอี้ ดูเอาไว้ นี่คือหนึ่งในทักษะเฉพาะตัวของตระกูลฉี” ฉีช่ายไม่ปกปิดความภาคภูมิใจของตน

บอลโคลนลอยขึ้นสู่อากาศ

บนพื้นผิวของมันเต็มไปด้วยใบหน้าภูตผีที่แสดงออกด้วยความโกรธและเกลียดชัง

ฉีช่ายพ่นลมออกจากปากและส่งกลิ่นอายลึกลับผสานเข้ากับบอลโคลน

บอลโคลนส่งเสียงออกมา “ฆ่า! ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ฉีอี้อ้าปากค้าง “สมาชิกตระกูลหนี่ฟื้นขึ้นมางั้นหรือ?”

“ตั้งแต่วิญญาณชะตากรรมได้รับบาดเจ็บ วิธีหลบหนีจากชะตากรรมมากมายก็ถือกำเนิดขึ้น” ฉีช่ายอธิบายก่อนจะเปิดปากถามสัตว์ประหลาดโคลนที่เปลี่ยนสภาพเป็นมนุษย์โคลน “เจ้าคือผู้ใด?”

“อ๊าก…” มนุษย์โคลนยังกรีดร้องราวกับคนบ้า

ฉีช่ายขมวดคิ้วถามอีกครั้ง

มนุษย์โคลนไม่สนใจและยังสาปแช่งต่อไป “คนชั่ว! เจ้าสังหารท่านปู่ของข้า ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”

ฉีช่ายเย้ยหยัน เขาเป็นผู้สร้างสัตว์ประหลาดตนนี้ เป็นธรรมดาที่เขาจะสามารถควบคุมมัน

“เจ้าคือผู้ใด? เจ้าเป็นฆาตกรด้วยงั้นหรือ? ข้าจะ…” ร่างของมนุษย์โคลนสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่จะเริ่มสงบลงและค่อยๆเงยหน้ามองฉีช่ายด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า

ฉีช่ายถอนหายใจ เขารู้ว่าสัตว์ประหลาดตนนี้มีสติปัญญาต่ำมาก หลังจากทั้งหมดมันถูกสร้างขึ้นจากปราณแห่งความเกลียดชังเท่านั้น

“เจ้าคือผู้ใด?”

“หนี่เจี้ยน” มนุษย์โคลนตอบ

ฉีช่ายสะบัดแขนเสื้อระเบิดร่างมนุษย์โคลนอย่างกะทันหัน

มันกลายเป็นว่าชื่อของหนี่เจี้ยนออกเสียงคล้ายคำว่า เจ้าโง่ นั่นทำให้ฉีช่ายตีความผิดและโจมตีมนุษย์โคลนด้วยความโกรธ

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท