เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1040

ตอนที่ 1040

ทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1040 ฟางหยวนปะทะฉีช่าย

แปลโดย iPAT

“สหาย โปรดรอก่อน” เสียงของฉีช่ายดังขึ้น

ฟางหยวนหยุดและหันหลังกลับ

ฟางหยวนยกเลิกท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยไปแล้ว หลังจากทั้งหมดวิญญาณทัศนคติใช้พลังจิตมากเกินไป เขาไม่สามารถใช้มันได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้เมื่อปราศจากวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์ ฟางหยวนต้องชดเชยสิ่งที่ขาดด้วยวิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมหาศาล การกระตุ้นใช้งานวิญญาณจำนวนมากทำให้เขาสูญเสียพลังจิตไปไม่น้อย

ดังนั้นฉีช่ายจึงไม่คิดว่าฟางหยวนเป็นคนร้าย เขามีเพียงข้อสงสัยบางประการเท่านั้น

เมื่อราชสีห์ปราณใกล้เข้ามา ฉีอี้จึงมองเห็นฟางหยวน

ฟางหยวนอยู่ในชุดคลุมสีขาว ผิวขาวละเอียดราวหิมะ ดวงตาส่องประกายเหมือนดวงดาว และมีเส้นผมยาวลงมาจนถึงเอว

แม้ฉีอี้จะอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว แต่ดวงตาของนางยังส่องประกายสดใสเมื่อเห็นการปรากฏตัวของฟางหยวน นางคิด ‘ผู้อมตะท่านนี้มีรูปลักษณ์ที่สง่างาม ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดดูดีเท่านี้มาก่อนในชีวิต’

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเรียกข้าด้วยเหตุใด?” ฟางหยวนป้องหมัดถาม

เขาไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย การบ่มเพาะระดับหกของเขาสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย

ด้านฉีช่าย เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับเจ็ดออกมาอย่างชัดเจน

โลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งจะได้รับการยกย่อง เป็นธรรมชาติที่ฟางหยวนจะต้องแสดงความเคารพ หากเขายืนมือไพล่หลังและแสดงออกด้วยความหยิ่งยโส นั่นจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

การแสดงออกของฉีช่ายอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นความอ่อนน้อมของฟางหยวน “มันเป็นเพียงการตรวจสอบเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

จากนั้นเขาก็นำบอลโคลนออกมา

ในพริบตาบอลโคลนขยายร่างเป็นมนุษย์โคลนในรูปลักษณ์ของหนี่เจี้ยน

ดวงตาของฟางหยวนมืดมนลงเล็กน้อย

หนี่เจี้ยนมองฟางหยวนด้วยความงุนงงก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง

รูปร่างหน้าตาของฟางหยวนแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แต่สัญชาตญาณของหนี่เจี้ยนบอกว่าคนผู้นี้คือคนร้าย

“เป็นเจ้า! เจ้าปีศาจ! เจ้าบังคับให้ท่านปู่ของข้าตายและสังหารคนทั้งตระกูลของข้า!” หนี่เจี้ยนชี้นิ้วไปที่ฟางหยวน

“โอ้?” การแสดงออกของฉีช่ายเปลี่ยนเป็นเย็นชา

ฟางหยวนรู้สึกถึงสายตาอันแหลมคมของฉีช่ายที่พุ่งตรงมาที่เขา

โดยไม่รีรอ ฟางหยวนสะบัดมือส่งกลุ่มเมฆหมอกออกมาปกคลุมพื้นที่ก่อนจะเริ่มล่าถอย

‘มีวิธีการมากมายในการตรวจสอบ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลบร่องรอยทั้งหมด พวกเขาสามารถตามหาข้าได้จริงๆ’

ศัตรูเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

ฟางหยวนตัดสินใจหลบหนีทันที

“หยุด!” ฉีช่ายตะโกน เขากางฝ่ามือเป็นลักษณะกรงเล็บอินทรีย์และส่งออกไปด้านหน้า

กลุ่มเมฆหมอกสลายไปอย่างรวดเร็วภายใต้พลังอำนาจของฉีช่าย

ฟางหยวนรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น นี่ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว

มนุษย์โคลนบินเข้ามาแต่ฟางหยวนยังแสดงออกอย่างไม่แยแส

“ตาย!” มนุษย์โคลนส่งหมัดออกไปทำให้เกิดลมกรรโชกแรง

เดิมทีหนี่เจี้ยนเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสอง แต่หลังจากกลายเป็นมนุษย์โคลน ความแข็งแกร่งของเขากลับเทียบเท่าสัตว์อสูรเดียวดาย

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์ของฉีช่ายได้เป็นอย่างดี

หมัดของหนี่เจี้ยนพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอย่างไร้ความปรานี

แต่ในจังหวะนี้ร่างของฟางหยวนกลับแตกสลายกลายเป็นกลุ่มเมฆหมอก

ฉีอี้อุทานด้วยความประหลาดใจ นางไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

อย่างไรก็ตามฉีช่ายไม่รู้สึกประหลาดใจใดๆ เขาหันหน้าไปทางขวาและสะบัดนิ้วออกไป

ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ ดัชนีศักดิ์สิทธิ์!

พลังปราณทรงกลมขนาดเล็กพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนขณะที่เขาไม่สามารถหลบเลี่ยง

ร่างจริงของเขาถูกเปิดเผยในที่สุด

ฉีช่ายพ่นลมหายใจออกมา

ทันใดนั้นกระแสพลังปราณที่โปร่งแสงพลันปรากฏขึ้นและหมุนวนอยู่รอบเอวของหนี่เจี้ยนทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้นสามเท่า

“มอบชีวิตของเจ้ามา!” หนี่เจี้ยนคำรามขณะทะยานร่างเข้าโจมตีฟางหยวน

ฟางหยวนขมวดคิ้ว

ปราณทรงกลมจากก่อนหน้าไม่ได้ทำร้ายเขา มันเพียงบังคับให้เขาปรากฏตัวออกมาเท่านั้น

‘ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ…’ ฟางหยวนคิด

เส้นทางแห่งพลังปราณเก่าแก่กว่าเส้นทางความแข็งแกร่ง แม้มันจะถดถอยลงแต่มันยังทรงพลังกว่าเส้นทางความแข็งแกร่ง

ฟางหยวนไม่คาดคิดว่าเขาจะพบกับผู้อมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณของภาคใต้อย่างกะทันหัน

‘ข้าสังหารหมู่คนตระกูลหนี่ สิ่งนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้อมตะทั้งสอง ในความทรงจำของข้า ตระกูลหนี่ไม่มีผู้อมตะอยู่เบื้องหลัง’ ฟางหยวนรู้สึกงุนงง

“อ๊าก…” หนี่เจี้ยนพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนอีกครั้ง

ฟางหยวนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

เขาเคยต่อสู้กับอสูรโคลนเดียวดายมาแล้ว พวกมันไม่มีจุดอ่อนพิเศษใดๆ

กระทั่งวิญญาณอมตะดาบบินก็ส่งผลกระทบต่อพวกมันเพียงเล็กน้อย

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าฟางหยวนไม่มีวิธีจัดการพวกมัน

เขาสะบัดมือเบาๆสร้างชั้นน้ำแข็งขึ้นบนฝ่ามือก่อนจะส่งมันเข้าโจมตีหนี่เจี้ยน

หนี่เจี้ยนเคลื่อนไหวอย่างดุดันขณะที่ฟางหยวนลื่นไหลราวกับใบไม้

หนี่เจี้ยนไม่สามารถสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของฟางหยวน

ในทางตรงข้ามการเคลื่อนไหวของฟางหยวนค่อยๆสร้างชั้นน้ำแข็งขึ้นบนร่างของหนี่เจี้ยน

ในไม่ช้าความเร็วของหนี่เจี้ยนก็เริ่มลดลง นอกจากนั้นกระแสพลังปราณที่หมุนวนอยู่รอบเอวของเขาก็สลายไปแล้ว

ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะแต่พวกมันล้วนเป็นวิญญาณระดับเจ็ดที่เขาไม่สามารถใช้งานได้บ่อยนัก

ดังนันเขาจึงใช้ท่าไม้ตายระดับมนุษย์เพื่อผ่านอุปสรรคนี้

เมฆหมอกก่อนหน้านี้ก็มาจากท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งเมฆาของไท่เป่ยหยุนเฉิง

ฟางหยวนมักฝึกซ้อมการต่อสู้กับไท่เป่ยหยุนเฉิงเป็นประจำ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจท่าไม้ตายนี้

นอกจากนั้นด้วยการค้นวิญญาณของเซี่ยซ่งซื่อ ฟางหยวนยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งน้ำแข็งของเขาอีกด้วย

สำหรับวิญญาณที่ใช้ปลดปล่อยท่าไม้ตายเหล่านี้ ฟางหยวนได้รับมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา

ก่อนหน้านี้เขายังใช้มันกำจัดอสูรโคลนเดียวดายมาแล้ว

การแสดงออกของฉีช่ายกลายเป็นมืดครึ้มเมื่อเขาเห็นหนี่เจี้ยนที่มีพลังการต่อสู้ระดับหกถูกเล่นงานโดยฟางหยวน

เขาปลดปล่อยท่าไม้ตายและส่งเม็ดพลังปราณจำนวนมากออกไปอีกครั้ง

ฟางหยวนสามารถหลบได้เพียงบางส่วนและต้องใช้เกราะขนราชสีห์ปกป้องตนเอง

ความแข็งแกร่งของเกราะขนราชสีห์ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของฉีช่าย

เขาคำรามเสียงเย็นและเปลี่ยนวิธีการโจมตีโดยส่งปราณดาบพุ่งเข้าจู่โจมฟางหยวน

เกราะขนราชสีห์สามารถรับการโจมตีนี้ได้เพียงสองครั้ง จากนั้นฟางหยวนจึงปล่อยของเหลวสีดำออกมาเคลือบคลุมเกราะขนราชสีห์เอาไว้

พลังอำนาจของปราณดาบลดลงทันทีเมื่อปะทะกับของเหลวสีดำดังกล่าว เมื่อมันกระทบเกราะขนราชสีห์ พลังอำนาจของปราณดาบก็เหลือเพียงหกสิบส่วนเท่านั้น

ของเหลวที่คล้ายน้ำมันสีดำชนิดนี้ฟางหยวนได้รับความรู้มาจากการค้นวิญญาณของไห่เจิ้ง

ท่าไม้ตายเหล่านี้ไม่สามารถเพิ่มระดับความสำเร็จได้โดยตรง แต่ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการบ่มเพาะของผู้คนเหล่านี้ก็สามารถช่วยเหลือฟางหยวนได้เป็นอย่างมาก

ฉีช่ายเย้ยหยันก่อนจะพ่นเพลิงลมปราณออกจากรูจมูกทั้งสองข้าง

เพลิงลมปราณราวกับไฟนรกที่พุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน

ในเวลาเดียวกันหนี่เจี้ยนก็ต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่เขามี

ฟางหยวนรับมือมนุษย์โคลนขณะที่เพลิงนรกใกล้เข้ามา

เขาหัวเราะและระเบิดวงแหวนเมฆาเก้าวงออกไปรอบๆ

นี่คือท่าไม้ตายระดับมนุษย์สายป้องกันของไท่เป่ยหยุนเฉิง วงแหวนเมฆาทั้งเก้า!

เพลิงนรกถูกปิดกั้นและดูดซับ วงแหวนเมฆาสี่วงเปลี่ยนเป็นสีแดง

ฟางหยวนยื่นมือทั้งสองออกไปและสร้างกระแสลมสีดำหมุนวนขึ้นในมือทั้งสองข้าง

ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ คลื่นทมิฬ!

คลื่นทมิฬถูกส่งไปยังฉีช่าย

ฉีอี้ที่อยู่ด้านข้างฉีช่ายกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อตระหนักถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในลมหมุนสีดำที่มืดมิด

ฉีช่ายตอบโต้ด้วยการใช้ปราณดาบและเพลิงลมปราณจากจมูก

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันโดยไม่มีฝ่ายใดยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว

ฉีอี้รู้สึกมึนงงและไม่สามารถติดตามการต่อสู้ของผู้อมตะ

นางพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ตอนนี้นางยังไม่ต่างจากผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์มากนัก

‘ข้าเกือบแน่ใจแล้วว่าเขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ’ ฟางหยวนรวบรวมข้อมูลของศัตรูระหว่างต่อสู้

การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน แต่ฉีช่ายยังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนแผ่นหลังราชสีห์ปราณ

แม้คลื่นทมิฬและการโจมตีอื่นๆของฟางหยวนจะสามารถเข้าประชิดตัวฉีช่าย แต่ฉีช่ายยังสามารถรับมือด้วยเกราะพลังปราณ

ชัดเจนว่าฉีช่ายแข็งแกร่งกว่าแต่เขาก็ไม่รู้สึกสบายใจมากนัก

‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’

‘คนผู้นี้บ่มเพาะบนเส้นทางสายใดกันแน่?’

ยิ่งต่อสู้มากเท่าใด ฉีช่ายก็ยิ่งสับสน

ท่าไม้ตายระดับมนุษย์ต่างๆของฟางหยวนใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่างกัน มันครอบคลุมในหลากหลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแห่งวายุ เส้นทางแห่งเมฆา เส้นทางแห่งความมืด เส้นทางความแข็งแกร่ง และอื่นๆ

เรื่องนี้ให้ฉีช่ายรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก

หลังจากทั้งหมดนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบสถานการณ์เช่นนี้

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท