เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1203

ตอนที่ 1203

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1203 ไร้ยางอายอย่างที่สุด

แปลโดย iPAT

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลัวหรือไม่? แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าเจ้ากล้าหรือไม่!” ผู้อมตะเผ่าไป่ซูเย้ยหยัน

เขามีสายเลือดเผ่าไป่ซูและมีจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูอยู่เบื้องหลัง กระทั่งชูตู๋ก็ไม่สามารถกดขี่เขา

ฟางหยวนมองคนผู้นี้โดยไม่เกรงกลัว

เห็นได้ชัดว่าการขโมยรังอินทรีย์ของฟางหยวนทำให้เกิดความเกลียดชังขึ้นในกลุ่มผู้อมตะเผ่าไป่ซู

ฟางหวนกวาดตามองไปรอบๆและเห็นความสงสัยในตัวเขาจากคนอื่นๆโดยเฉพาะเซี่ยอู่เหิง

‘ไม่สู้!?’

‘เขาเป็นคนเช่นไร?’

‘ขี้ขลาด!’

‘ฮ่าฮ่า ข้าไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหว’

‘ในอนาคตเมื่อเรื่องราวของข้าถูกบันทึก การเอาชนะตัวละครเล็กๆของเผ่าเย่หลิวย่อมไม่ถือเป็นสิ่งใด’

ทุกคนคิดไปต่างๆนานา

เป็นเพียงเวลานี้ที่เย่หลิวชุนซิงเปิดปากกล่าวด้วยความโกรธ “ฮืม ไร้สาระ! ช่างกล่าวถ้อยคำใหญ่โตนัก มาสู้กับข้าหากมีความกล้า!”

“เจ้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ” ฟางหยวนมองเย่หลิวชุนซิงด้วยสายตาดูแคลน

ดวงตาของผู้อมตะหลายคนเบิกกว้างขึ้น

พวกเขาอยากถามจริงๆว่า หากเย่หลิวชุนซิงมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ แล้วผู้ใดมีคุณสมบัติ? เจ้ามีสิ่งใด? ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้านำความมั่นใจนี้มาจากที่ใด? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นปีศาจอมตะไร้หัวนอนปลายเท้า สามารถต่อสู้กับเย่หลิวชุนซิงถือเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว

แต่ชัดเจนว่าฟางหยวนไม่มีความคิดเช่นนี้

กลุ่มผู้อมตะเริ่มพูดคุยและโห่ร้อง

หลังจากไม่นานการแสดงออกของกงหว่านถิงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “พอแล้ว! พวกเจ้าพยายามทำให้การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้เป็นเรื่องตลกงั้นหรือ?”

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะเงียบเสียงลงทันที

จากนั้นกงหว่านถิงก็หันหน้าไปทางชูตู๋ “เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายของเจ้าพยายามก่อกวนเพื่อชะลอการแข่งขัน”

ชูตู๋ไม่ตอบแต่หันหน้าไปทางฟางหยวน

ฟางหยวนไม่สนใจสายตาของชูตู๋ เขาหันไปด้านข้างและชี้นนิ้วออกไป “เจ้า!”

“ข้า?” อดีตผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าไห่ตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะชี้มาที่เขา

“ออกไปสู้ หากเขาชนะเจ้า นั่นหมายความว่าเขามีคุณสมบัติบางอย่างให้ข้าเคลื่อนไหว” น้ำเสียงของฟางหยวนเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส กระทั่งผู้อมตะฝ่ายเดียวกันยังแทบไม่สามารถอดทน

สายตาของผู้อมตะคนอื่นๆหันมาที่ผู้อมตะผู้โชคร้ายผู้นี้และทำให้เขารู้สึกกดดันทันที

เขาโกรธมาก “เจ้ามีสิทธิ์สั่งให้ข้าออกไปงั้นหรือ? ข้าเป็นสมาชิกเผ่าไป่ซู กระทั่งจักรพรรดิอมตะชูตู๋ก็ต้องให้เกียรติข้า!”

ผู้อมตะผู้นี้ตัดสินใจปฏิเสธ แต่หลังจากนั้นเขากลับได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง

“เย่หลิวชุนซิงแข็งแกร่งมาก เขาชนะไปแล้วสี่รอบติดต่อกัน หากคนผู้นี้ออกไป ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้ามประสบความสำเร็จมากขึ้นงั้นหรือ?”

“ฮืม คนผู้นี้เป็นเพียงตัวละครเล็กๆ เย่หลิวชุนซิงสามารถเอาชนะคนระดับนี้สองคนได้อย่างง่ายดาย”

“เขาเป็นอดีตผู้อมตะเผ่าไห่ แม้เขาจะเปลี่ยนแซ่เป็นไป่ซู แต่เขาจะสามารถต่อสู้เป็นตายกับผู้อมตะตระกูลฮวงจินได้งั้นหรือ?”

เมื่อบทสนทนาลักษณะนี้ดังขึ้น เขารู้ตัวทันทีว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปสู้รบ

เขามองฟางหยวนด้วยสายตาดุร้าย แต่โชคไม่ดีที่ฟางหยวนหันหน้ากลับไปแล้ว

ผู้อมตะเผ่าไป่ซูโกรธและเสียใจมาก

ไม่มีสิ่งใดผิดความคาดหมาย

อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ผู้นี้อ่อนแอกว่าเย่หลิวชุนซิงอย่างชัดเจน หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าประมาณสิบครั้ง เขาก็แพ้

“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อจะสามารถต่อสู้ในรอบนี้และสร้างความกระจ่างให้กับพวกเรา” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมากล่าวประชดประชันฟางหยวน

ฟางหยวนตะคอก “อ่อนแอ!”

อดีตผู้อมตะเผ่าไห่แทบไม่สามารถระงับความโกรธ “ข้าอ่อนแอเกินไปจริงๆ แต่ข้าหวังว่าท่านจะแสดงความสามารถบางอย่างออกมา”

แต่คำกล่าวต่อไปกลับทำให้เขายิ่งโกรธ

“ใช้เวลาต่อสู้นานเกินไปสำหรับคนอ่อนแอเช่นเจ้า ข้าอาจประเมินเย่หลิวชุนซิงสูงเกินไป ตอนนี้ข้าไม่มีความสนใจที่จะต่อสู้กับเขาแม้แต่น้อย”

“เจ้า!” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่รู้สึกพูดไม่ออก

เซี่ยอู่เหิงมองฟางหยวนด้วยความรู้สึกสงสัยที่รุนแรงขึ้น

“ดูเหมือนผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูก็เป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น” เย่หลิวชุนซิงเย้ยหยัน

“จักรพรรดิอมตะ เจ้าเคยเห็นเขาต่อสู้บ้างหรือไม่?” เย่หลิวชุนซิงกล่าวต่อ

ชูตู๋เงียบ เขารู้สึกได้ถึงพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของฟางหยวน แต่เขาตัดสินใจที่จะรอดู

“ผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อ หากท่านมีทักษะบางอย่างก็ออกไปฆ่าเขาซะ!” ผู้อมตะเผ่าไป่ซูหัวเราะเย้ยหยัน

ฟางหยวนส่ายศีรษะและโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย “เจ้าจะเข้าใจความสามารถของข้าได้อย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่มีความหวังที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นข้า”

เย่หลิวชุนซิงสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป เขารู้ว่าไม่สามารถบังคับให้ฟางหยวนเข้าสู่การต่อสู้

ในความเป็นจริงหลังจากต่อสู้ห้ารอบติด เขารู้สึกอ่อนเพลียมาก แม้เขาจะยังมีพลังงานอมตะเหลืออยู่ แต่สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

เมื่อเห็นเขาเก็บดวงดาวและกำลังจะจากไป ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋เริ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เย่หลิวเสี่ยวจินออกมาต้อนรับเย่หลิวชุนซิงที่ประตูทางเข้าวังตะวันตก

แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะเปิดปากกล่าวในจังหวะนี้ “ดูสิ เขากลัวข้าจริงๆ แม้ข้าจะไม่ได้เข้าสู่สนามประลอง เขาก็ยังหวาดกลัวข้า ตอนนี้เขาไม่สามารถอดทนได้อีกและเลือกที่จะจากไป”

เย่หลิวชุนซิงหยุดเท้าลงทันที

ดวงตาของเซี่ยอู่เหิงเบิกกว้างขึ้น เขาจ้องมองฟางหยวนและคิด ‘ในโลกใบนี้มีคนไร้ยางอายถึงเพียงนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ? นี่ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ พี่ชูมอบตำแหน่งผู้อาวุโสสุงสุดลำดับที่สองให้กับเขาบางทีอาจเป็นเพราะความไร้ยางอายนี้!’

มุมปากของเย่หลิวเสี่ยวจินกระตุกด้วยความโกรธ

การแสดงออกของเย่หลิวซุ้ยหงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหรี่ตามองฟางหยวนอย่างพิจารณา

เย่หลิวชุนซิงส่ายศีรษะและเดินต่อโดยไม่หันกลับไปมองฟางหยวน

ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “เย่หลิวชุนซิง เจ้าหัวควาย โคตรเง้าสิบแปดชั่วคนของเจ้าล้วนเป็นโคกระบือทั้งหมด!”

เงียบกริบ…

หลังจากนั้นความโกลาหลจึงปะทุขึ้น

เจ้าเป็นคนเช่นไร? เจ้ามาจากที่ใด?

ผู้อมตะทั้งหมดกรีดร้องอยู่ในใจ

ผู้ใดจะคิดว่าฟางหยวนที่ดูสง่างามกลับสถบเรื่องไร้สาระและต่ำตมออกมาในที่สาธารณะ แม้พวกเขาจะรักการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังรักษาภาพลักษณ์ของตนเองเสมอ ท้ายที่สุดพวกเขาต่างยกย่องว่าตนเองเป็นคนชั้นสูง การด่าทอผู้คนในลักษณะนี้เป็นเพียงการทำลายชื่อเสียงของพวกเขาเท่านั้น

“ภาพลักษณ์ที่ดีของเขาช่างสูญเปล่าจริงๆ” ผู้อมตะหลายคนมองฟางหยวนและส่ายศีรษะ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความประทับใจที่ดีต่อภาพลักษณ์ของฟางหยวนถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์

ฟางหยวนหัวเราะและเดินเข้าสู่สนามรบ “เย่หลิวชุนซิง ข้าอยู่ที่นี่แล้ว แต่เจ้ากลับไม่กล้าสู้กับข้างั้นหรือ?”

เย่หลิวชุนซิงหยุดและหันหลังกลับ

บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที

ในวังตะวันตก เย่หลิวซุ้ยหงนั่งตัวตรงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ชุนซิง ระวังคนผู้นี้ เขากำลังวางแผนการบางอย่าง กลับมา!”

การแสดงออกทั้งหมดของฟางหยวนทำให้เย่หลิวซุ้ยหงรู้สึกถึงแผนร้าย

ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “หนูสกปรกไร้ค่า เผ่าเย่หลิวมีเพียงคนขี้ขลาดเช่นนี้งั้นหรือ?”

คำพูดปั่นประสาทลักษณะนี้ถูกโยนออกไปทีละดอก

ผู้อมตะทั้งหมดต่างตกตะลึง

กระทั่งชูตู๋ยังต้องการยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนเอาไว้ ฟางหยวนทำลายภาพลักษณ์ของนิกายชูลงอย่างสมบูรณ์

นี่เป็นครั้งแรกที่ชูตู๋ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการตัดสินใจของตนที่ส่งฟางหยวนออกมาว่าถูกต้องหรือไม่

แต่ไม่ว่าผู้ใดจะกล่าวอย่างไร คำยั่วยุของฟางหยวนก็มีผล

ฝ่ายธรรมะจัดการได้ง่ายกว่าปีศาจอมตะหรือผู้บ่มเพาะสันโดษในบางแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากเผ่าหรือมีสายเลือดใด พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามสาปแช่งหรือดูแคลนในที่สาธารณะ

กองกำลังที่ยิ่งใหญ่รวมตัวกันด้วยสายสัมพันธ์ทางสายเลือด พวกเขาให้ความสำคัญกับสายเลือดและชื่อเสียงของบรรพบุรุษ

นี่คือศีลธรรมพื้นฐานของพวกเขา!

“ชุนซิงกลับมา! ข้าจะต่อสู้กับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูด้วยตนเอง!” เย่หลิวซุ้ยหงลุกขึ้นยืน

ฟางหยวนรู้สึกผิดหวังอยู่ภายในแต่ภายนอกเขายังหัวเราะ “เย่หลิวชุนซิง ถึงเวลาที่ต้องต่อสู้แล้ว”

เย่หลิวชุนซิงโบกมือให้กับเย่หลิวซุ้ยหงก่อนจะหันหน้าไปทางฟางหยวน “เนื่องจากเจ้าต้องการโอกาส ข้าก็จะต่อสู้กับเจ้า มันเป็นเพียงว่าข้าต่อสู้มาห้ารอบแล้วและต้องการพักผ่อนสักเล็กน้อย”

นี่เป็นคำขอที่ยุติธรรมมาก

ฟางหยวนเย้ยหยันแต่เป้าหมายของเขาก็บรรลุแล้ว

ฟางหยวนอนุญาตทันที “พักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าต้องการ ข้าสามารถให้เวลาเจ้าสองหรือสามวัน หากไม่พอข้าก็จะให้เวลาเพิ่มอีกสองหรือสามปี ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ฮ่าฮ่า หนึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว” เย่หลิวชุนซิงยิ้มด้วยฟันที่กัดแน่น

ฟางหยวนไร้ยางอายเกินไป เป็นธรรมชาติที่เย่หลิวชุนซิงจะโกรธมาก

แต่เขายังตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเอง เขาต้องการเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลังจิต

เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจะทำให้หลิวกวนซื่อผู้นี้ได้ลิ้มรสพลังอำนาจของเขา!

หนึ่งชั่วโมงยาวนานราวกับหนึ่งปี ผู้อมตะทั้งหมดแทบไม่สามารถรอคอย

ในที่สุดเย่หลิวชุนซิงก็เดินเข้าสู่สนามรบและเผชิญหน้ากับฟางหยวน

“หลิวกวนซื่อ ข้า…” เย่หลิวชุนซิงกำลังจะกล่าวแต่แสงสีเงินกลับปะทุขึ้นจากร่างของฟางหยวนเรียบร้อยแล้ว

ฟางหยวนเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาลและพุ่งออกไป

“น่ารังเกียจ!”

“เขาลอบโจมตี!”

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะอุทานด้วยความโกรธ

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท