เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1354

ตอนที่ 1354

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน – บทที่ 1354 พลังของไห่และไป่
การไล่ล่าของฟางหยวนล้มเหลว แต่ผู้ใดจะคิดว่านิกายเงาจะมอบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้เขาในครั้งนี้

เนื่องจากวิญญาณทารกอมตะ นิกายเงาจะไม่ปล่อยฟางหยวนไป หากฟางหยวนไม่กำจัดพวกเขาและปล่อยให้นิกายเงาสามารถเติบโต เขาจะจบลงเช่นเดียวกับหม่าหงหยุน

หลังจากกำจัดนิกายเงา เขาจะสามารถกำจัดจุดอ่อนของการเชื่อมโยงโชค

ด้วยวิธีนี้เขาจะค่อยๆพัฒนาขึ้นด้วยการใช้ประโยชน์จากอาณาจักรแห่งความฝัน

ในสงครามห้าภูมิภาค เขาจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อหาโอกาสทำลายล้างวังสวรรค์

หากสถานการณ์ดำเนินไปตามความคาดหวัง เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับเก้า เขาจะเข้าใกล้เป้าหมายชีวิตนิรันดร์อีกก้าวหนึ่ง

นี่คือแผนการบ่มเพาะของฟางหยวน

แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง

อย่างไรก็ตามในความคิดเห็นของฟางหยวน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เขาจะกำจัดนิกายเงา

เพราะนิกายเงาไม่รู้ว่าฟางหยวนอยู่ที่นี่

ผู้ใดจะรู้ว่าวูอี้ไห่คือเขา? กระทั่งวูหยงพี่ชายของเขาก็ยังไม่รู้

การกำจัดวูอี้ไห่และปลอมตัวเป็นคนผู้นี้ถือเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้จะมีความเสี่ยง แต่มันก็ทำให้เขาได้รับโอกาส

และฟางหยวนต้องฉวยโอกาสนี้

‘หากเป็นไปได้ข้าควรจับเทพปีศาจจิตวิญญาณ!’

‘ด้วยวิธีนี้ ข้าจะได้รับประสบการณ์การบ่มเพาะและความทรงจำที่ล้ำค่ามากมายจากเขา…’

สิ่งที่ฟางหยวนสนใจมากที่สุดคือท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน

ด้วยท่าไม้ตายนี้ ฟางหยวนจะกลายเป็นตัวตนอันดับหนึ่งในแง่ของการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน เขาจะมีข้อได้เปรียบมหาศาล โลกทั้งใบจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันของฟางหยวนเท่านั้น

…..

ตอนนี้เทพธิดาเมี่ยวหยินมีแขนหกข้าง การโจมตีของนางรุนแรงขึ้นกว่าก่อนหน้าอีกมาก

อย่างไรก็ตามเฉียวซื่อหลิวยังสามารถป้องกันตัว

ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีเขียว เส้นผมสีดำของนางกลายเป็นกิ่งหลิวที่ยื่นออกมาจนถึงเอว

เทพธิดาที่งดงามที่สุดของภาคใต้ทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดและอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออก

…..

“บัดซบ! ข้าสู้ไม่ไหว ข้าต้องหนี!” ปีศาจอมตะผู้หนึ่งพยายามล่าถอย

เป็นเพียงเวลานี้ที่กลิ่นอายที่ทรงพลังปะทุขึ้นด้านหลังเขา

“หนูสกปรก ตาย!” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะผู้หนึ่งตะโกนและยื่นมืออกมาคว้าศีรษะของปีศาจอมตะเอาไว้

ต่อมาสายฟ้าสีน้ำเงินก็ระเบิดออกไปรอบๆ

ปีศาจอมตะกลายเป็นโครงกระดูกที่ไหม้เกรียมจนไม่เหลือเค้าโครงของมนุษย์

“ฮืม ไม่รู้จักขีดจำกัดของตนเอง กล้ายโสต่อหน้าข้า อี้ไห่ถิง งั้นหรือ!?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะปล่อยมือขณะที่ซากศพของปีศาจอมตะร่วงลงบนพื้นและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

…..

“พวกเจ้าทำได้เพียงเท่านี้งั้นหรือ?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะที่มีร่างกายเพียวบางและมีจมูกสูงกล่าวด้วยความเย่อหยิ่งและผิดหวัง

“อย่ายโสเกินไ!”

“ไท่ซินเจี้ยน เราเหนือกว่าเจ้า แต่เจ้ายังมีหน้ากล่าว…อา…”

ผู้บ่มเพาะสันโดษสามคนที่โจมตีไท่ซินเจี้ยนเย้ยหยันแต่การแสดงออกของพวกเขากลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

กลิ่นอายที่ทรงพลังปะทุออกมาจากร่างของไท่ซินเจี้ยนในเวลานี้

ผู้บ่มเพาะสันโดษทั้งสามรีบล่าถอย

สายลมทำให้เสื้อผ้าของเขาสะบัดตัวขึ้นสู่อากาศ แต่ไท่ซินเจี้ยนยังสงบนิ่ง เขาปิดเปลือกตาและกล่าวอย่างช้าๆ “ไร้ประโยชน์ ข้าเห็นทุกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้า จุดอ่อนทั้งหมดของพวกเจ้าถูกเปิดเผยต่อหน้าข้า ไม่มีความลับใดหลุดรอดจากสายตาของข้า”

“บัดซบ!” ผู้บ่มเพาะสันโดษผู้หนึ่งสาปแช่งแต่ในจังหวะนี้ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง

“ฉับ ฉับ ฉับ”

สามเสียงดังขึ้นเมื่อปราณดาบสามเล่มตัดศีรษะของผู้บ่มเพาะสันโดษทั้งสามออกจากร่างกาย

…..

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ไห่ลั่วหลันหัวเราะเสียงดังแม้นางจะได้รับบาดเจ็บ

เฉิงกุ้ยหลี่เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เขามองไห่ลั่วหลันด้วยความตกใจ การแสดงออกของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป

“ดังคาด ผู้อมตะภาคเหนือบ้าคลั่งการต่อสู้” เฉิงกุ้ยหลี่ไม่เต็มใจยอมแพ้แต่อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก

‘ถอย’ ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจของเขา

ไห่ลั่วหลันสังเกตเห็นและเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าจะหนีไปที่ใด?”

“หมายความว่าอย่างไร?” เฉิงกุ้ยหลี่รู้สึกสังหรณ์ร้าย

“ฮูม…”

เปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นจากบาดแผลของเขารวมถึงดวงตา รูหู รูจมูก และปาก

“อ๊าก…” เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดดังไปทั่วสนามรบก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

ไห่ลั่วหลันจ้องมองอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดงั้นหรือ?”

…..

“เร็ว ข้าต้องการกำลังเสริม!” ช่ายเฮ่าซิงกรีดร้องขณะล่าถอย

หากเปรียบเทียบกับก่อนหน้า เขาได้สูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวล

เทพธิดามังกรไป่หนิงปิงเดินไปข้างหน้าทีละก้าว

นางงดงามมาก แต่ในมุมมองสายตาของช่ายเฮ่าซิง นางไม่ต่างจากปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว ตอนนี้เขาไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากหลบหนีไปให้ไกลที่สุด

แต่ในสถานการณ์นี้หากเขาพยายามหลบหนีออกจากสนามรบ เขาจะกลายเป็นเพียงอาหารของจ้าวเย่ฮุ้ย

ช่ายเฮ่าซิงต้องต่อสู้ต่อไปอย่างไม่เต็มใจ

พลังการต่อสู้ของไป่หนิงปิงและไห่ลั่วหลันสูงมาก

ไป่หนิงปิงได้รับมรดกที่แท้จริงของไป่เซียง วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งหิมะและน้ำแข็งเข้ากันได้ดีกับสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืดของนาง

สำหรับไห่ลั่วหลัน นางมีสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริง แต่นางใช้วิญญาณอมตะและวิธีการบนเส้นทางแห่งไฟที่ได้รับจากนางมารผลาญสวรรค์

ช่ายเฮ่าซิงได้รับกำลังเสริมมาแล้วครั้งหนึ่งแต่พวกเขาถูกไป่หนิงปิงสังหารทั้งหมด

แน่นอนว่าไป่หนิงปิงต้องจ่ายด้วยราคาที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

ปาเต๋อเป็นผู้บังคับบัญชาการต่อสู้ของฝ่ายธรรมะในครั้งนี้ เมื่อเขาได้ยินเสียงตะโกนของช่ายเฮ่าซิง ความสนใจของเขาก็ถูกดึงดูดไป

“ไท่ซินเจี้ยนโปรดช่วยช่ายเฮาซิงด้วย” ปาเต๋อคิดก่อนจะส่งข้อความ

“ตกลง” ไท่ซินเจียงบินไปทางไป่หนิงปิงทันที

กลิ่นอายที่ทรงพลังของเขาดึงดูดความสนใจของไป่หนิงปิง รูม่านตาของนางหดเล็กลงขณะที่นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ

“กำลังเสริมมาแล้ว ข้าอยู่ที่นี่!” เมื่อเห็นร่างของไท่ซินเจี้ยน ช่ายเฮ่าซิงรู้สึกมีความสุขมาก

แต่เพียงเมื่อเขาผ่อนคลายจิตใจลง เขาก็เผยจุดอ่อนขณะที่ไป่หนิงปิงฉวยโอกาสโจมตีทันที

“บัดซบ!” ไท่ซินเจี้ยนมาสายไปก้าวหนึ่ง เขาสบถด้วยความโกรธเมื่อเห็นช่ายเฮ่าซิงกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งก่อนจะแตกสลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน

ไป่หนิงปิงเผยรอยยิ้มบาง นางมองไท่ซินเจี้ยนและกล่าวเสียงเย็น “ท่าไม้ตายของข้าเรียกว่าน้ำแข็งแตกสลาย เจ้าอยากลองหรือไม่?”

…..

‘ช่ายเฮ่าซิงตายแล้ว แม้มังกรหญิงผู้นี้จะเป็นผู้อมตะระดับหก แต่พลังการต่อสู้ของนางเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ดชั้นแนวหน้า!’ หัวใจของปาเต๋อจมดิ่งลง

เขามองไปรอบๆสนามรบและพบว่าแนวป้องกันยังไม่พังทลายลง

ฝ่ายธรรมะมีข้อได้เปรียบแม้ค่ายกลวิญญาณจะเสียหาย

แม้ฝ่ายธรรมะจะพบกับความสูญเสีย แต่นิกายเงาก็มีคนตายเช่นกัน ขวัญกำลังใจของพวกเขาลดลง บางคนเริ่มหวั่นไหว

‘ฝ่ายตรงข้ามมีผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเพียงสี่คน เทพธิดากระต่ายขาว เทพธิดาเมี่ยวหยิน เทพธิดามังกร และผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งไฟ ตราบเท่าที่เราสามารถกำจัดหนึ่งในนั้น ขวัญกำลังใจของพวกเขาจะตกต่ำลง’ เมื่อคิดได้เช่นนี้ปาเต๋อจึงหันหน้าไปทางฟางหยวนอีกครั้ง

สถานการณ์ของฟางหยวนยังไม่เปลี่ยน แต่ความคิดกระดองเต่าเพิ่มขึ้นถึงระดับสามแสนหลังแล้ว พวกมันบินอยู่รอบๆสนามรบและผลักดันนางเสือดำให้ถอยห่างออกไป

ปาเต๋อก่นเสียงเย็นด้วยความโกรธ “วูอี้ไห่ หยุดป้องกัน! ในฐานะผู้อมตะตระกูลวู เจ้ากลับไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้ เจ้ากลัวตายงั้นหรือ? ให้ข้าบอกเจ้า เจ้าเป็นตัวแปรสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าคือความหวังของพวกเรา ตราบเท่าที่เจ้าสามารถสังหารนางเสือดำและไปสนับสนุนคนอื่นๆ มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ สถานการณ์จะหันมาทางพวกเรา!”

ฟางหยวน “…”

เต่าพยากรณ์เหมือนภูเขาที่ไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวของปาเต๋อ

“บัดซบ! คนผู้นี้ยังทำตัวเหมือนเดิม ข้าไม่อยากจะเชื่อ!” ปาเต๋อกัดฟันแน่น

“เสร็จแล้ว!” เป็นเพียงเวลานี้ที่จื่อกุ้ยเปิดเปลือกตาขึ้น

“สำเร็จ?” ปาฉวนฟงถามด้วยความตื่นเต้น

“แน่นอน ข้าอนุมานแล้ว ตอนนี้เราต้องจัดการค่ายกลวิญญาณและกระตุ้นใช้งานแนวป้องกันที่สาม หากประสบความสำเร็จ ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทาจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” จื่อกุ้ยพยักหน้า

“ดี!” ปาเต๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขามองไปที่จ้าวเย่ฮุ้ย

สัตว์อสูรแรกกำเนิดกำลังพักผ่อน มันยังไม่ได้เคลื่อนไหว

“สถานการณ์หันมาหาฝ่ายธรรมะของเราแล้ว” ปาเต๋อรู้สึกมีความสุขมาก

แต่ความรู้สึกของฟางหยวนยังห่างไกลจากคำว่าดี

‘ราชันภูเขาม่วงยังไม่ปรากฏตัว เขามีแผนการใด?’ ฟางหยวนรู้สึกเหมือนกำลังถูกผลักเข้ามุม

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท