เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1422

ตอนที่ 1422

ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของฟางหยวนอยู่บนจุดสูงสุดของระดับเจ็ด ดังนั้นพลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะหมื่นมังกรจึงพุ่งขึ้นสู่จุดสูงของท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดเช่นกัน

มังกรดาบบรรพกาลโจมตีนักรบเพลงทั้งสี่อย่างดุเดือด

นักรบเพลงหยกเขียวเปลี่ยนมังกรดาบบรรพกาลให้เป็นมังกรหยกเขียวแต่มันยังจมน้ำตายในทะลมังกร

นักรบเพลงสวรรค์พิภพโจมตีศัตรูด้วยแรงกดดันมหาศาลแต่มังกรดาบบรรพกาลมีมากเกินไป ในที่สุดมันก็ถูกกัดกินโดยหนึ่งในนั้น

นักรบเพลงยอมจำนนอยู่นานที่สุด มันสามารถทำให้มังกรดาบบรรพกาลบางตัวยอมแพ้แต่มันยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์

นักรบเพลงแยกพยายามแยกร่างมังกรดาบบรรพกาลแต่มันไม่สามารถต่อต้านคลื่นมังกรที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ในอดีตท่าไม้ตายหมื่นตัวตนของฟางหยวนมีปริมาณและคุณภาพต่ำ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อมตะที่ทรงพลัง ฟางหยวนสามารถใช้มันเพื่ออำพรางตัวและหลบหนีเท่านั้น

แต่หลังจากผสานท่าไม้ตายอมตะทั้งสองเข้าด้วยกัน ท่าไม้ตายหมื่นมังกรสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ

ภูตมนุษย์ที่เกิดจากท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับร่างมังกรดาบบรรพกาลที่เกิดจากท่าไม้ตายอมตะหมื่นมังกร

นี่เป็นวิธีโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันของฟางหยวน

มังกรดาบบรรพกาลทำลายนักรบเพลงทั้งสี่ก่อนจะปิดล้อมฟงจิวเก้อไว้อย่างแน่นหนา

ฟางหยวนระดมกองกำลังมังกรโจมตีฟงจิวเก้อจากทุกทิศทางโดยปราศจากความลังเล

ความชื่นชมในสายตาของฟงจิวเก้อหายไปขณะที่เขาชกหมัดขวาออกไปข้างหน้า

“ปัง”

เสียงกลองดังราวกับเสียงฟ้าร้อง มังกรดาบบรรพกาลห้าตัวถูกทำลาย

เกือบในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือข้างซ้ายของฟงจิวเก้อก็ตบไปด้านข้าง

“เคร้ง”

เสียงระฆังทำให้มังกรดาบบรรพกาลหลายตัวหยุดเคลื่อนไหวก่อนที่พวกมันจะสลายกลายเป็นความว่างเปล่า

หมัดกลอง!

ฝ่ามือระฆัง!

ฟงจิวเก้อยังโจมตีต่อไป

มังกรดาบบรรพกาลจำนวนนับไม่ถ้วนอาจทำให้ผู้อมตะระดับเจ็ดทั่วไปตกสู่สถานการณ์อันตราย แต่สำหรับฟงจิวเก้อ มันยังไม่เพียงพอ

รากฐานบนเส้นทางแห่งเสียงของฟงจิวเก้อลึกล้ำเกินไป กระทั่งทะเลทรายไร้เสียงยังไม่สามารถสะกดข่มเขาได้อย่างเต็มที่

แต่ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสิ่งนี้

‘มันค่อนข้างแปลก’

‘เหตุใดฟงจิวเก้อไม่ใช้เพลงทางผ่านแสง?’

‘นักรบเพลงถูกทำลายไปแล้ว ฟงจิวเก้อสามารถหลี่กเลี่ยงการโจมตีของข้า นั่นจะทำให้เขาประหยัดพลังงานอมตะ’

‘เว้นเพียงเขากำลังเตรียมท่าไม้ตายอมตะบางอย่าง…’

‘แต่เขาใช้หมัดกลองและฝ่ามือระฆังอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้น้อยมากที่เขาจะใช้ท่าไม้ตายอื่น แต่เขาจะไม่ใช้ท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้งั้น?’

‘ดูเหมือนเขาจะมีเหตุผลบางประการ แต่จากข้อมูลในชีวิตแรกของข้า มันดูไม่สมเหตุสมผลเลย’

ความคิดจำนวนมากพุ่งชนกันอยู่ในใจของฟางหยวน

เขาลอบแจ้งเตือนสมาชิกนิกายเงา “เราจะถอย!”

เมื่อค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศถูกใช้งานอีกครั้ง ฟงจิวเก้อทำได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่นและมองกลุ่มของฟางหยวนจากไปโดยไม่ไล่ล่า

ปรากฏว่าแม้ท่าไม้ตายอมตะเพลงทางผ่านแสงของเขาจะยอดเยี่ยม มันก็ยังมีจุดอ่อนเช่นท่าไม้ตายอื่น

นั่นคือเวลาที่จำกัด

ท่าไม้ตายอมตะเพลงทางผ่านแสงมีเวลาจำกัด

เมื่อมันจบลง ฟงจิวเก้อต้องรออีกสิบสี่ชั่วโมงก่อนจะสามารถใช้งานมันได้อีกครั้ง

กล่าวได้ว่าท่าไม้ตายนี้มีค่ามาก เขาจะไม่ใช้มันในการต่อสู้ปกติ

เพราะเมื่อเขาใช้มัน เขาต้องเผชิญหน้ากับข้อจำกัดของเวลา

หากเขาไม่สามารถจบการต่อสู้ภายในเวลาที่กำหนด ฟงจิวเก้อจะไม่มีวิธีการเคลื่อนไหวที่ดีเพื่อออกจากสนามรบ

ในการต่อสู้กับวูหยงก่อนหน้านี้ บ้านไม้ไผ่สายลมเร็วเกินไป แม้ฟงจิวเก้อจะใช้เพลงทางผ่านแสง เขาก็หนีไม่พ้น

ก่อนหน้านี้เมื่อฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ ฟงจิวเก้อต้องใช้เพลงทางผ่านแสงเพื่อไล่ล่า

เมื่อฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะหมื่นมังกร เวลาของเพลงทางผ่านแสงก็หมดลงในที่สุด ฟงจิวเก้อทำได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่นขณะที่เขาต้องใช้หมัดกลองและฝ่ามือระฆังเพื่อป้องกันตัว

หลังจากฟางหยวนและคนอื่นๆจากไป มังกรดาบบรรพกาลจำนวนนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆจางหาย

ในสนามรบเหลือเพียงฟงจิวเก้อเท่านั้น

เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เขายังคงสง่างามราวกับการต่อสู้ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างไรก็ตามแม้ฟางหยวนจะประสบความสำเร็จในการหลบหนีแต่ฟงจิวเก้อไม่รู้สึกหดหู่ใจ เขายังเผยรอยยิ้มบาง

“ต่อสู้กับฟางหยวนจะจบลงในครั้งเดียวได้อย่างไร?”

“มันต้องมีการตรวจสอบมากมาย หลังจากค้นพบไพ่ตายทั้งหมดของเขา ข้าจะสามารถฆ่าเขา แต่ก่อนหน้านั้น มีภารกิจของวังสวรรค์ที่บังคับให้ฟางหยวนค้นหามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง”

“ดูเหมือนฟางหยวนจะรู้จักข้าค่อนข้างดี มันเป็นเพราะวิญญาณกาลเวลางั้นหรือ?”

“ผู้อมตะหญิงคนใหม่ดูเหมือนจะเป็นเทพธิดาซุ้ยป๋อของทะเลทรายตะวันตก แต่นางใช้วิธีบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ นี่ค่อนข้างแปลก”

ผลการตรวจสอบของเขาดีมาก

โดยเฉพาะเรื่องของอิงอู๋เซี่ย

ในการต่อสู้ครั้งก่อน เนื่องจากฟางหยวนเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ฟงจิวเก้อจึงไม่สังเกตเห็นเทพธิดาซุ้ยป๋อ

แต่ตอนนี้แตกต่างออกไป

“อิงอู๋เซี่ยมีท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน เขาเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ฟางหยวนอาจมีแผนการบางอย่างและมันอาจเกี่ยวข้องกับอิงอู๋เซี่ย”

“ในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีอิงอู๋เซี่ยแต่มีสมาชิกใหม่เป็นเทพธิดาซุ้ยป๋อ”

“หากข้าจำไม่ผิด เทพธิดาซุ้ยป๋อเป็นนางสนมของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง เหตุใดนางถึงไปอยู่กับฟางหยวน?”

“เทพธิดาซุ้ยป๋อเป็นสมาชิกของนิกายเงาหรือนาง…ถูกอิงอู๋เซี่ยเข้าสิง?”

แม้ฟงจิวเก้อจะไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาแต่เขาฉลากมากและแทบจะสามารถเปิดเผยความจริงได้ในระยะเวลาสั้นๆ

อีกด้านหนึ่ง

“ฟงจิวเก้อไม่ได้ไล่ล่าพวกเรา” ฟางหยวนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและตระหนักถึงความจริงที่ว่าเพลงทางผ่านแสงมีเวลาจำกัด

หลังจากเรียนรู้เรื่องนี้ สมาชิกนิกายเงาทั้งหมดจึงสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ฟงจิวเก้อแข็งแกร่งสมกับชื่อเสียงของเขาจริงๆ”

“ข้ารู้สึกว่าเขายังไม่ได้ใช้ไพ่ทั้งหมดในมือ”

“โดยรวมแล้วนี่เป็นเพียงการทดสอบ เราต่างไม่ได้ใช้ไพ่ตายทั้งหมด”

กลุ่มผู้อมตะพูดคุยกัน

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายอมตะเลียของเสือดำ ท่าไม้ตายอมตะไป่เซียงของไป่หนิงปิง หรือท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันของอิงอู๋เซี่ย พวกมันยังไม่ถูกใช้งาน

ในการต่อสู้ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายยังสงวนความแข็งแกร่งเอาไว้แต่พวกเขายังใช้วิธีการมากมาย

ตัวอย่างเช่นท่าไม้ตายอมตะเพลงทางผ่านแสงหรือนักรบเพลงของฟงจิวเก้อและท่าไม้ตายอมตะหมื่นมังกรของฟางหยวน

เมื่อพวกเขาต่อสู้กันอีกครั้ง ท่าไม้ตายเหล่านี้จะถูกตอบโต้หรืออย่างน้อยพวกเขาก็จะสามารถป้องกันตัว

หลายวันต่อมา บนเนินทรายธรรมดาแห่งหนึ่ง

ลมทะเลทรายพัดมาขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน

ไกลออกไปมีขบวนสินค้าของผู้ใช้วิญญาณมนุษย์ค้างแรมอยู่ที่นั่น

คนเหล่านี้ไม่สามารถตรวจสอบการคงอยู่ของฟางหยวนและคนอื่นๆ

ในเวลานี้ฟางหยวนกำลังเพ่งจิตเข้าไปในมิติช่องว่างของเขา

ค่ายกลวิญญาณถูกสร้างขึ้นที่ภาคกลางน้อย

มันก็คือค่ายกลวิญญาณชำระล้างตัวเอง!

โดยใช้วิญญาณอมตะรักตัวเองระดับเจ็ดเป็นแกนกลางและวิญญาณอมตะธงค่ายกลระดับเจ็ดเป็นส่วนสนับสนุน ค่ายกลวิญญาณอมตะนี้จะชำระล้างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่เป็นอันตรายทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง และด้วยการคงอยู่ของวิญญาณอมตะธงค่ายกล ค่ายกลวิญญาณนี้จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้ดังใจปรารถนา

กล่าวคือเมื่อฟางหยวนต้องการ เขาสามารถนำมันออกมาและใช้งานมัน

หากเขาไม่จำเป็นต้องใช้งานมัน เขาสามารถเก็บมันไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ มันสะดวกมาก

“ค่ายกลวิญญาณนี้ยังสามารถพัฒนาไปได้อีกมาก ตัวอย่างเช่น ข้าสามารถเพิ่มวิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อเร่งความเร็ว น่าเสียดายที่ระดับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของข้าต่ำเกินไป ข้าไม่สามารถอนุมานมันได้”

ฟางหยวนรู้สึกเสียดาย

“แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถย้ายจิตวิญญาณค่ายกลมาไว้ในค่ายกลวิญญาณนี้”

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก

ฟางหยวนรวมค่ายกลวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของเจิ้งหยวนซือเข้ากับค่ายกลวิญญาณชำระล้างตัวเอง

มันเป็นทักษะการผสมผสานบนเส้นทางแห่งค่ายกล

แน่นอนว่ามันเป็นเพราะความสำเร็จระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวน

เขามั่นใจมากในเรื่องนี้ เขาต้องการเวลาขึ้น

“ด้วยการคงอยู่ของจิตวิญญาณค่ายกล ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ค่ายกลวิญญาณด้วยตนเอง ข้าสามารถใช้เวลาและพลังงานของข้ากับเรื่องอื่น”

“แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องยกระดับท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนขึ้นอีกระดับหนึ่ง!”

หลังจากต่อสู้กับฟงจิวเก้อ ฟางหยวนได้รับแรงบันดาลใจมากมาย

สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาต้องพัฒนาท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตน!

ในเวลาเดียวกัน

“มันคืออาณาจักรแห่งความฝันจริงๆ”

“แต่เจตจำนงของสามี วิญญาณอมตะระดับแปด และหงหยุนยังอยู่ข้างในหรือไม่?”

กลางอากาศ ผู้อมตะหญิงระดับเจ็ดสองคนมองหน้ากัน

พวกนางเป็นนางสนมของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง หนึ่งคือนางบำเรอรัตติกาล อีกหนึ่งคือนางกำนัลชิงเหลียน

ไม่นานมานี้บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงได้รับข้อมูลว่าฟางหยวนและคนอื่นๆวางแผนต่อต้านเขาและกระทั่งจับตัวเทพธิดาซุ้ยป๋อ แน่นอนว่าเขายังรู้ว่านางรำหงหยุนและเจตจำนงของเขาติดอยู่ในอาณาจักรแห่งความฝัน

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงโกรธมาก แต่เพราะอาการบาดเจ็บของเขายังไม่หาย ดังนั้นเขาจึงต้องส่งนางสนมสองคนนี้ออกมาตรวจสอบเรื่องนี้

ไม่ว่าจะเป็นนางบำเรอรัตติกาลหรือนางกำนัลชิงเหลียน พวกนางต่างเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ต่อหน้าอาณาจักรแห่งความฝัน พวกนางยังไม่สามารถทำสิ่งใด

เมื่อพวกนางหมดหนทาง มีเสียงลึกลับดังขึ้นในใจของทั้งสอง “หากพวกเจ้าไม่สามารถสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน เหตุใดพวกเจ้าไม่ไปหาผู้ก่อการร้าย เทพธิดาซุ้ยป๋ออยู่กับพวกเขา”

“ผู้ใด?”

“ออกมา!”

ผู้อมตะหญิงทั้งสองตะโกน พวกนางใช้วิธีตรวจสอบทั้งหมดที่มีแต่ยังไม่พบแหล่งที่มาของเสียง

“เป็นวิธีบนเส้นทางแห่งเสียงที่น่าประทับใจ” การแสดงออกของนางบำเรอรัตติกาลและนางกำนัลชิงเหลียนเปลี่ยนไป

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท