เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1784 ปาชื่อปาถูกหยุด

บทที่ 1784 ปาชื่อปาถูกหยุด

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1784 ปาชื่อปาถูกหยุด

“ฆ่า!” ผู้อมตะตระกูลปาตะโกนขณะที่ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้น เขากระทืบอสูรปีจนตายในครั้งเดียว ร่างของผู้อมตะตระกูลช่ายอาบอยู่ในเปลวเพลิงและทําให้เขาดูเหมือนเทพสงคราม

ฟางหยวนจําผู้อมตะตระกูลช่ายได้ มิติช่องว่างบนเส้นทางแห่งไฟของคนผู้นี้ค่อนข้างดี เขามีภูเขาไฟหลายลูกที่ล้ําค่า

ไท่หูชิวเงียบ เขาขยับอย่างรวดเร็วและส่งแสงสีทองออกไปแยกร่างอสูรปี

ฟางหยวนคิดถึงวิญญาณอมตะที่อยู่ในมือของไท่ซิ่วจง มันเป็นหนึ่งในแกนกลางของท่าไม้ตายอมตะตัดเวลา ในชีวิตก่อนหน้า ฟางหยวนได้รับมันมาโดยมือปีศาจปล้นวิญญาณ แต่วิธีนี้ไม่น่าเชื่อถือ

“ปีศาจฟางหยวน เราต้องขอบคุณเจ้าสําหรับความมั่งคั่งนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า” เฉิงหูจางหัวเราะขณะใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งไม้จับอสูรปและเก็บพวกมันไว้ในมิติช่องว่างของเขา

ฟางหยวนสงบมาก ไม่สําคัญว่าเฉิงหูจางจะจับอสูรปีได้มากเท่าใด แต่สุดท้ายกระทั่งเฉิงหูจางก็จะกลายเป็นสมบัติของฟางหยวน

“โฮก…”

กองทัพอสูรปีหลั่งไหลออกมาอย่างไม่รู้สิ้นสุด

“เหตุใดจึงมีอสูรปีมากมายนัก?”

“ปีศาจฟางหยวนพยายามลดพลังงานอมตะของพวกเรา!”

“การทําลายค่ายกลคือหนทางสู่ชัยชนะ”

ผู้อมตะภาคใต้ลอบสนทนา

ลั่วเว่ยหยินและเซี่ยชาเป็นบุคคนที่มีโอกาสทําลายค่ายกลนี้มากที่สุด

“โฮก…”

เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงคํารามที่ดุร้ายดังขึ้นในสนามรบ

ฟางหยวนตกตะลึงเล็กน้อย “โอ้ ข้าเรียกอสูรปีขาลแรกกําเนิดออกมา มันแข็งแกร่งกว่าอสูรปีระกาแรกกําเนิดที่ข้าเคยเรียกออกมาในชีวิตก่อนหน้า นี่เป็นเพราะข้าใช้มรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งโชคเพื่อเพิ่มโชคให้ตนเองงั้นหรือ?”

การแสดงออกของผู้อมตะภาคใต้เปลี่ยนไป

“อสูรปีแรกกําเนิด!”

“ค่ายกลนี้สามารถเรียกอสูรปีแรกกําเนิดออกมาได้จริงๆ!”

“มันคือค่ายกลชนิดใด? มันน่ากลัวเกินไป! ทําลายมันเร็วเข้า!”

ลั่วเว่ยหยินต้องการลงมือแต่ไม่ชิวจงก้าวออกมา “ให้เราจัดการมัน ผู้อมตะระดับแปดทั้งสอง ท่านโปรดจัดการค่ายกลวิญญาณอมตะนี้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด”

“ให้ข้าลงมือหรือไม่?” ปาซื่อปาลอบถาม

“ไม่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา พี่ปารอก่อน” เซี่ยชาตอบกลับ

ปาซื่อปาเห็นด้วย

ไท่ชิวจงเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขาต้องร่วมมือกับผู้อมตะคนอื่นๆต่อสู้กับอสูรปีขาลแรกกําเนิด แต่หลังจากชั่วครู่ พวกเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ในชีวิตก่อนหน้า พวกเขาต่อสู้กับอสูรประกาแรกกําเนิด พวกเขาสามารถต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียม

แต่อสูรปีขาลแรกกําเนิดแข็งแกร่งกว่าอสูรประกาแรกกําเนิด ดังนั้นพวกเขาจึงกลาย เป็นฝ่ายด้อยกว่า

หัวใจของไท่ชิวจงจมดิ่งลง เขาคิด “นี่เป็นความแข็งแกร่งระดับแปดที่แท้จริง น่าประทับใจ! ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะเสนอตัวต่อต้านพลังอํานาจดังกล่าวจริงๆ”

“มีแกนกลางอยู่ที่นี่!” ดวงตาของเซี่ยชาส่องประกายขึ้น นางชี้นิ้วยิงลําแสงลึกลับพุ่งเข้าโจมตีตําแหน่งนั้นและทําให้ค่ายกลวิญญาณอมตะเกิดการสั่นสะเทือน

ผู้อมตะภาคใต้รู้สึกสนุกสนาน มีแกนกลางของค่ายกลอยู่ที่นั่นจริงๆ เซี่ยชาทําลายมันตามความคาดหวังของพวกเขา

เมื่อแกนกลางถูกทําลาย เกลียวแสงที่สองก็ปรากฏขึ้นและส่งกองทัพอสูรปีออกมาอีกครั้ง

การแสดงออกที่สนุกสนานของผู้อมตะภาคใต้หายไปทันที

“โฮก….”

อสูรปีมะโรงแรกกําเนิดพุ่งเข้าสู่สนามรบ

การแสดงออกของผู้อมตะภาคใต้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

อสูรปีแรกกําเนิดตัวที่สอง!

“ถึงเวลาของข้าแล้ว” ปาซื่อปากต้องการเคลื่อนไหว

“ไม่ ท่านปาซื่อปา ให้ข้าลงมือ” ลั่วเว่ยหยินถ่ายทอดเสียงก่อนจะส่งมือสีเหลืองขนาดใหญ่พุ่งเข้าจับอสูรปีมะโรงแรกกําเนิดเอาไว้

ลั่วเว่ยหยินสามารถจับอสูรปีมะโรงแรกกําเนิดได้ในครั้งเดียว แม้เขาจะไม่มีพลังโจมตี แต่ท่าไม้ตายนี้ก็ทําให้ทุกคนรู้สึกชื่นชมในตัวเขาเป็นอย่างมาก

ขวัญกําลังใจของผู้อมตะภาคใต้พุ่งสูงขึ้นขณะที่การแสดงออกของสมาชิกนิกายเงาและผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์กลายเป็นมืดมน

พลังการต่อสู้ระดับแปดน่ากลัวเกินไป

ฟางหยวนคิดถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิตก่อนหน้า ความแข็งแกร่งของลั่วเว่ยหยินเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อฝ่ายของฟางหยวน ตอนนี้ลั่วเว่ยหยินยังแสดงความแข็งแกร่งของเขาออกมาเพียงครึ่งเดียวแม้เขาจะเป็นหนึ่งในผู้อมตะระดับแปดที่แข็งแกร่งที่สุดก็ตาม

“ฟ่อ…”

เป็นเพียงเวลานี้ที่อสูรปีมะเส็งแรกกําเนิดเลื้อยคลานออกมาจากเกลียวแสงและเข้าสู่สนามรบ

อสูรปีแรกกําเนิดตัวที่สาม!

“ก็อซ.”

อสูรประกาแรกกําเนิดปรากฏตัวพร้อมกับชูแผงคอขึ้นด้วยท่างทางหยิ่งผยอง

อสูรปีแรกกําเนิดตัวที่สี่

อสูรปีแรกกําเนิดสองตัวเข้าสู่สนามรบในเวลาเดียวกัน นี่ทําให้ใบหน้าของผู้อมตะภาคใต้กลายเป็นซีดเผือด

อสูรปีมะเส็งแรกกําเนิดไม่ง่ายที่จะจัดการ มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดุร้ายยิ่งกว่าสองตัวแรก สําหรับอสูรประกาแรกกําเนิด มันปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณอมตะออกมา นี่ทําให้มันยิ่งอันตรายมากขึ้น

หลังจากอสูรปีแรกกําเนิดสองตัวปรากฏตัว กองทัพอสูรปีก็พุ่งตามออกมาจากเกลียวแสงราวกับคลื่นยักษ์

การต่อสู้ที่ดุเดือดปะทุขึ้น ผู้อมตะใช้สติปัญญาและท่าไม้ตายเผชิญหน้ากับศัตรู ขณะที่อสูรปี ไม่ฉลาดนักแต่พวกมันมีความได้เปรียบด้านจํานวน

ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของฟางหยวนปกป้องแกนกลางของค่ายกลและเฝ้ามองการต่อสู้ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด

“ค่ายกลนี้น่ากลัวจริงๆ เราต้องทําลายมันอย่างรวดเร็วที่สุด!”

“ตราบเท่าที่เราสามารถทําลายส่วนหนึ่งของมัน เราจะสามารถส่งข้อมูลและขอกําลังเสริม”

“ค่ายกลนี้ช่างซับซ้อนนัก เชี่ยชาขมวดคิ้ว หลังจากพบแกนกลางแรก นางยังไม่พบแกนกลางที่สอง

“ความสําเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของข้าต่ําเกินไป บางทีข้าควรโจมตีสุดกําลังและเปิดเผยข้อบกพร่องของมันออกมา!” เจตนาสังหารของเซี่ยชาปะทุขึ้น

ลั่วเว่ยหยินที่สัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเซี่ยชาเร่งกล่าว “อย่าตกลงสู่หลุมพรางของฟางหยวน เขาเจ้าเล่ห์มาก กระทั่งวังสวรรค์ก็ไม่สามารถจับเขา นิกายเงาได้รับสนามรบแห่งความโกลาหล แม้มันจะถูกทําลาย แต่วิญญาณอมตะจํานวนมากยังอยู่ในมือพวกเขา หากท่านโจมตีอย่างเต็มกําลัง ท่านอาจตกลงสู่กับดักของฟางหยวน”

เซี่ยชาลังเลขณะที่อสูรประกาแรกกําเนิดพุ่งเข้ามาหานาง

“เดรัจฉาน!” เซี่ยชาเย้ยหยันด้วยความโกรธ

ท่าไม้ตายอมตะกรรไกรฤดูใบไม้ผลิ

กรรไกรสีเขียวขนาดใหญ่พุ่งเข้าตัดลําคอของอสูรประกาแรกกําเนิดและทําให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที

เซี่ยชาแสดงพลังการต่อสู้ที่ไม่ด้อยกว่าสมาชิกวงสวรรค์ออกมา ก่อนที่อสูรประกาแรกกําเนิ จะตายด้วยน้ํามือของนาง ฟางหยวนก็กระตุ้นใช้งานค่ายกลวิญญาณอมตะนําอสูรประกาแรกกําเนิดที่ได้รับบาดเจ็บออกจากที่เกิดเหตุ

“มาหาข้า” ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิธีบนเส้นทางแห่งทาสและประสบความสําเร็จในการกดขี่อสูรประกาแรกกําเนิดเช่นเดียวกับชีวิตก่อนหน้า

ตั้งแต่กําเนิดใหม่ฟางหยวนพยายามรวบรวมอสูรปีแรกกําเนิด

แผนการของเขาคือรวบรวมอสูรปีแรกกําเนิดทั้งสิบสองชนิด แม้เขาจะมีอสูรปีระกา แรกกําเนิดอยู่แล้ว แต่เขาจะไม่ทิ้งมันไป

เซี่ยชายิ้ม “ในที่สุดเจ้าก็เผยข้อบกพร่อง แม้เจ้าจะได้รับอสูรปีแรกกําเนิดหนึ่งหรือสองตัว แล้วอย่างไร?”

ฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะนําอสูรประกาแรกกําเนิดออกไป นี่ทําให้เซี่ยชาเข้าใจการทํางานของค่ายกลมากขึ้น

ดังคาด ไม่นานหลังจากนั้นนางก็พบแกนกลางที่สองและทําลายมัน

ผู้อมตะภาคใต้โห่ร้องด้วยความยินดีแต่ในวินาทีต่อมาแกนกลางที่ถูกทําลายกลับกลายเป็นเกลียวแสงและส่งกองทัพอสูรปีเข้าสู่สนามรบมากขึ้น

“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” กลุ่มผู้อมตะภาคใต้ตกตะลึง

“ไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าต้องเคลื่อนไหวเดี๋ยวนี้!” ปาซื่อปาต้องการเคลื่อนไหว

แต่เซี่ยชาและลั่วเว่ยหยินหยุดเขา

“ไม่จําเป็นต้องรีบร้อน เรามาถึงจุดนี้แล้ว ท่านควรรอต่อไป”

“เราต้องตรวจสอบค่ายกลทั้งหมด ท่านต้องลงมือในช่วงเวลาสําคัญที่ฟางหยวนคาดไม่ถึง

ปาซื่อปาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ “ตกลง”

การต่อสู้ยังดําเนินต่อไป

ผู้อมตะจํานวนมากเริ่มได้รับบาดเจ็บ

ลั่วเว่ยหยินและเชี่ยชาต่อสู้กับอสูรปีแรกกําเนิดอย่างดุเดือด

ต้องขอบคุณพวกเขาที่ทําให้ฟางหยวนได้รับทาสอสูรปีแรกกําเนิดมากกว่าในชีวิตก่อนหน้า

กองทัพอสูรปีกลายเป็นภัยคุกคามต่อผู้อมตะภาคใต้มากขึ้นเรื่อยๆ

ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายเย็นเยียบ “ในชีวิตก่อนหน้า ค่ายกลวิญญาณอมตะปีแห่งความตายของข้าสามารถสร้างเกลียวแสงได้สามทาง แต่หลังจากการดัดแปลงมันในชีวิตนี้ มันสามารถสร้างเกลียวแสงได้ห้าทาง”

“มันขึ้นอยู่กับเวลา”

“ในชีวิตก่อนหน้า การต่อสู้กินเวลาสองวันกับหนึ่งคืน ครั้งนี้มีอสูรที่มากขึ้น แม้มันจะพึ่งผ่านไปเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืน แต่ผู้อมตะภาคใต้ก็ยังเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าครั้งก่อน”

“ทุกคน ร่วมมือกับข้ากระตุ้นใช้วิธีที่ทรงพลังที่สุดของค่ายกล!” ฟางหยวนออกคําสั่ง

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท