เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1802 การสนับสนุนของตระกูลฟาง

บทที่ 1802 การสนับสนุนของตระกูลฟาง

บทที่ 1802 การสนับสนุนของตระกูลฟาง

ฐานทัพใหญ่ตระกูลหว่าน

“ท่านพ่อ! ท่านตายอย่างน่าสมเพช!” เสียงร้องไห้ดังขึ้นในห้องโถงใหญ่ท่ามกลางกลุ่มผู้อมตะ

ชายหนุ่มในชุดไว้ทุกข์กําลังร้องไห้

คนผู้นี้คือหว่านซุ้ยชิง เขาเป็นผู้อมตะระดับหกและเป็นบุตรของหว่านเหลียงฮัน

หว่านซุ้ยชิงคุกเข่าอยู่บนพื้นและกรีดร้อง ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเขา

ผู้อมตะตระกูลหว่านที่อยู่ในห้องโถงขมวดคิ้ว พวกเขาเงียบและแสดงออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของตระกูลหว่านถอนหายใจ “มันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เราส่งผู้อมตะระดับเจ็ดสามคนออกไป แต่พวกเขากลับพ่ายแพ้!”

ผู้อมตะตระกูลหว่างต่างรู้สึกเช่นเดียวกัน

หากไม่ใช่เพราะฟางหยวนเปิดเผยการต่อสู้ในสวรรค์สีเหลือง ผู้อมตะตระกูลหว่านอาจยอมรับผลลัพธ์หลังจากลังเลอยู่บ้าง

ในความเป็นจริงหว่านเหลียงฮันออกเดินทางหลังจากได้รับการอนุมัติจากผู้อมตะตระกูลหว่านส่วนใหญ่

สามผู้อมตะระดับเจ็ดและเขตแดนอมตะ สถานการณ์ควรจะอยู่ในการควบคุมของพวก เขา แต่ผู้ใดจะคิดว่าพวกเขากําลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งเปิดปากกล่าวในที่สุด “ซวนปู้จินสังหารผู้อมตะของตระกูลหว่าน เราไม่สามารถให้อภัยเขา หว่านซุ้ยชิง พ่อของเจ้าทิ้งมรดกไว้หรือไม่?”

หว่านซุ้ยชิงหยุดร้องไห้ก่อนตอบคําถาม “ท่านพ่อสอนข้าทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายหรือเคล็ดลับการหลอมรวม แต่ไม่มีวิญญาณอมตะ”

การแสดงออกของกลุ่มผู้อาวุโสกลายเป็นมืดครื้ม

ซวนปู้จินและหว่านเหลียงฮันเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดเช่นเดียวกัน แต่ซวนปู้จินกลับสามารถสังหารหว่านเหลียงฮันโดยที่ฝ่ายหลังไม่แม้แต่จะสามารถตอบโต้

โดยปกติการต่อสู้แห่งชีวิตและความตายของผู้อมตะระดับเดียวกันมักจะติดอยู่ในสภาวะชะงักงัน หากฝ่ายตรงข้ามไม่ติดอยู่ในเขตแดนอมตะและต้องการจากไป อีกฝ่ายจะไม่สามารถทําสิ่ง

คุณค่าของเขตแดนอมตะหรือค่ายกลวิญญาณอมตะคือการกักขังศัตรู

ตระกูลหว่านใช้เขตแดนอมตะเพื่อทําให้แน่ใจว่าซวนปู้จินจะไม่สามารถหลบหนี แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าซวนปู้จินจะไม่พยายามหลบหนี ตรงข้าม เขาใช้ประโยชน์จากมันเพื่อสังหารหว่านเหลียงฮันและต่อสู้กับผู้อมตะตระกูลหว่านอีกสองคน

นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าขันสําหรับตระกูลหว่าน

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้

หากเขารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขาจะนําคฤหาสน์วิญญาณอมตะออกไป

แต่พวกเขามีปัญหาของตนเอง

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด เขาไม่เหมือนผู้นําของกองกําลังอื่นที่เป็นผู้อมตะระดับแปด ดังนั้นเขาจึงต้องใช้มันปกป้องฐานทัพใหญ่ของตระกูล

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านถอนหายใจและกล่าวกับหว่านซุ้ยชิง “ความตายของหว่านเหลียงฮันเป็นความผิดพลาดของเรา หว่านเหลียงฮันจะได้รับเกียรติสูงสุดจากตระกูล เราจะมอบทรัพยากรอมตะให้เจ้าเป็นการชดเชย ข้าเพียงหวังว่าคนเหล่านั้นจะถูกทําลาย!”

“ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่ง! ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่าน!” หว่านซุ้ยชิงโค้งคํานับกลุ่มผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ในห้องโถงซ้ําๆ

นี่คือสิ่งที่เขาคาดหวังจากการร้องไห้และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ่งก่อนหน้านี้ ตอนนี้แผนการของเขาสําเร็จแล้ว

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งกล่าวต่อ “ซวนปู้จินเป็นสมาชิกตระกูลฟาง เราจะกดดันตระกูลฟางให้ส่งมอบตัวเขา จากการต่อสู้ครั้งนี้ เราสามารถกล่าวได้ว่าชวนจินคือทายาทของหลี่เฉิน เขาคือปีศาจที่ชั่วร้าย! หนี้เลือดของเราต้องได้รับการชําระ!”

ดวงตาของกลุ่มผู้อมตะตระกูลหว่านส่องประกายขึ้น

พวกเขาทําได้เพียงเท่านี้

ย้อนกลับไปหลี่เฉินเคยมอบความเจ็บปวดให้กับกองกําลังฝ่ายธรรมะของทะเลทรายตะวันตก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้การเชื่อมโยงระหว่างหลี่เฉินกับฟางหยวนเป็นข้ออ้างในการต่อต้านตระกูลฟาง

ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการจับตัวชวนปู่จินมาสอบสวนและโยนความผิดให้เขา แต่แผนการของตระกูลหว่านล้มเหลว อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านยังคงยืนกรานที่จะทําให้เรื่องนี้เป็นความจริง

ขาดหลักฐาน?

หากขาหลักฐาน ข้าก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง!

แม้มันจะไร้ยางอาย แต่กองกําลังใหญ่ทั้งหมดของฝ่ายธรรมะต้องการจัดการตระกูลฟาง ดังนั้นพวกเขาสามารถใช้แผนนี้ได้อย่างไร้กังวล

มันเป็นเพียงว่าโอกาสประสบความสําเร็จของแผนนี้ไม่สูงเท่ากับแผนการก่อนหน้า

ผู้อมตะตระกูลหว่านเสียชีวิตในการต่อสู้และกระทั่งถูกเปิดเผยออกไป แล้วพวกเขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?

ตระกูลหว่านไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแก้ตัวต่อไป!

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของตระกูลหว่านถอนหายใจ “สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น ตระกูลฟางอาจตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับซวนปู้จินไปแล้ว”

“ฮืม แม้พวกเขาจะยอมแพ้ ตระกูลฟางก็ไม่สามารถหลบหนีจากอาชญากรรมที่พวกเขาปกป้องปีศาจ!”

อย่างไรก็ตามในวันรุ่งขึ้นข่าวร้ายก็มาถึงตระกูลหว่าน

ตระกูลฟางประกาศจุดยืน พวกเขาจะปกป้องชวนรู้จินและพิสูจน์ว่าต้นกําเนิดของซวนปู้จินเกี่ยวข้องกับเจิ้งจิงเฉิน ไม่ใช่หลี่เฉิน

ตระกูลหว่านคัดค้านและขอหลักฐานทันที

ฟางตี้เฉิงโยนหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ออกไป

แน่นอนว่ามันเป็นหลักฐานปลอม อีกฝ่ายทําได้ เหตุใดพวกเขาจะทําไม่ได้

สองกองกําลังใหญ่ของทะเลทรายตะวันตกโต้เถียงกันอย่างหนักว่าชวนจินเป็นทายาทของเจิ้งจิงเฉินหรือหลี่เฉิน

ฝ่ายหนึ่งบอกว่าตนเองมีหลักฐาน อีกฝ่ายก็บอกว่าพวกเขามีหลักฐานที่เชื่อถือได้มากกว่า

ฝ่ายหนึ่งโยนหลักฐานชิ้นหนึ่งออกมา อีกฝ่ายก็โยนหลักฐานออกมาสองชิ้น

แต่บุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้กําลังปราบปรามอสูรวิญญาณอยู่ในทะเลทรายผีเขียวอย่างสบายอารมณ์

เขาให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและรู้สึกว่ามันน่าขัน

ฟางหยวนไม่กังวลแม้แต่น้อย เขาไม่ได้นําหลักฐานใดๆออกมาเพื่อพิสูจน์ตนเอง มีเพียงตระกูลฟางและตระกูลหว่างที่ร้อนรนนําหลักฐานมากมายออกมาพิสูจน์ตัวตนของเขา

มหาอํานาจทั้งสองแข่งขันกันเพื่อเป็นพยานและต่อต้านปีศาจ พวกเขาแสดงความมั่นใจในความคิดของตนออกมาอย่างสุดโต่ง

หากพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของชวนจิน ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะแสดงออกอย่างไร

ตระกูลฟางอาจรู้สึกเหมือนตกลงไปในธารน้ําแข็ง แต่ตระกูลหว่านก็จะตกอยู่ในความหวาดกลัวเช่นกัน

นี่คือปีศาจฟางหยวน!

กระทั่งวังสวรรค์และกองกําลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ก็ไม่สามารถทําสิ่งใดกับเขา!

ในช่วงเวลานี้นอกจากปราบปรามอสูรวิญญาณ ฟางหยวนยังดูดซับมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งปัญญาของหว่านเหลียงฮัน

หว่านเหลียงฮันถูกสังหารอย่างกะทันหัน เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะทําลายวิญญาณอมตะของตนเอง

ฟางหยวนได้รับวิญญาณอมตะสามดวงจากเขา สองดวงเป็นวิญญาณอมตะระดับหก อีกหนึ่งเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด

วิญญาณอมตะระดับเจ็ดมีชื่อว่าสิ่งกีดขวางทางปัญญา ฟางหยวนเคยเห็นพลังอํานาจของวิญญาณอมตะดวงนี้มาแล้ว มันสามารถสร้างสิ่งกีดขวางบนเส้นทางแห่งปัญญาขึ้นรอบตัวเป้าหมาย

นอกจากนี้ยังมีท่าไม้ตายอมตะมากมายที่ใช้วิญญาณอมตะสิ่งกีดขวางทางปัญญาเป็นแกนกลาง

หนึ่งในท่าไม้ตายอมตะของหว่านเหลียงฮันทําให้ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่จะสร้างสิ่งกีดขวางขึ้นในใจของศัตรูโดยตรง ความคิดในใจของศัตรูจะพบอุปสรรคและไม่สามารถพุ่งชนกัน

ตามตรรกะ หากท่าไม้ตายนี้ประสบความสําเร็จ ศัตรูจะกลายเป็นคนโง่ทันที พวกเขาจะรู้สึกเหมือนมีก้อนหินอยู่ในใจและไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ

ท่าไม้ตายนี้โดดเด่นมาก แต่มันต้องทะลวงผ่านการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามเพื่อโจมตีสมองของพวกเขา

น่าเสียดายที่ฟางหยวนเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญา เขามีวิธีการมากมายที่สามารถปกป้องจิตใจของตน ท่าไม้ตายอมตะของหว่านเหลียงฮันแทบไม่มีความหวังที่จะทะลวงผ่านการป้องกันของเขา

ยิ่งไปกว่านั้นหว่านเหลียงฮันยังเป็นฝ่ายถูกรบกวนจิตใจโดยฟางหยวน เขามีท่าไม้ตายที่ดีแต่ไม่สามารถใช้ได้

เมื่อคิดถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา ฟางหยวนรู้สึกพอใจมาก

เขาทดสอบท่าไม้ตายอมตะสองท่าในการต่อสู้จริงและได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

หนึ่งคือท่าไม้ตายอมตะรบกวนความคิด มันเป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีหนึ่งในแกนกลางเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงสามารถปกปิดกลิ่นอายของมันโดยพึ่งพาอสูรวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสี่

อีกหนึ่งคือท่าไม้ตายอมตะมือปีศาจขโมยชีวิต มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่ฟางหยวนอ้างอิงมาจากท่าไม้ตายอมตะมือปีศาจปล้นวิญญาณและมรดกที่แท้จริงขโมยชีวิต

มือปีศาจปล้นวิญญาณสามารถขโมยวิญญาณขณะที่มือปีศาจขโมยชีวิตสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามทันที

นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด มันไม่สามารถสังหารผู้อมตะระดับแปด แต่มันเพียงพอที่จะสังหารหว่านเหลียงฮัน

ในการต่อสู้เพื่อวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ ฟางหยวนใช้มือปีศาจปล้นวิญญาณขโมยวิญญาณอมตะจากชิงโจวต่อหน้าฟางกงและฟางตี้เฉิง

วิธีการที่ซวนปู้จินแสดงออกมาไม่ได้ทําให้ตระกูลฟางประหลาดใจแต่พวกเขายิ่งเห็นคุณค่าของเขา

ในเวลาเดียวกันฟางหยวนยังเปิดเผยจุดอ่อนออกมาอย่างชาญฉลาด นั่นทําให้ตระกูลฟางตัดสินใจปกป้องเขา

ภายนอกอาจดูเหมือนการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างซวนปู้จินกับสามผู้อมตะ ตระกูลหว่าน แต่ในความเป็นจริงฟางหยวนกําลังวางแผนควบคุมสถานการณ์ของโลกผู้อมตะแห่งทะเลทรายตะวันตกทั้งหมด

เป้าหมายที่แท้จริงของฟางหยวนคือผลประโยชน์ในอนาคต วิญญาณอมตะสิ่งกีดขวางทางปัญญาเป็นเพียงการเรียกน้ําย่อยก่อนงานเลี้ยงที่แท้จริง

โดยไม่ได้ตั้งใจ ณ จุดนี้ฟางหยวนไม่ได้ให้ความสําคัญกับกําไรหรือขาดทุนเล็กๆน้อยๆอีกต่อไป

เขาสามารถอาละวาดไปทุกที่โดยปราศจากอุปสรรค

จิตใจของเขาพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

‘โดยไม่รู้ตัว ข้ามาถึงระดับนี้แล้ว’

ท่ามกลางทะเลทรายผีเขียวที่หม่นหมองและยิ่งมืดมิดมากขึ้นในเวลากลางคืน ฟางหยวนนั่งอยู่บนศีรษะอสูรวิญญาณแรกกําเนิดที่ดุร้ายโดยมีกองทัพอสูรวิญญาณจํานวนมากติดตามอยู่ด้านหลัง

ภายใต้การควบคุมของฟางหยวน กองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขต

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท