เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 20 ไวโอลินตั้งห้าแสนแปดหมื่น
หมอหนุ่มมองดูเบอร์โทร แล้วนิ่งไป
ช่วงที่ผ่านมา เขาติดต่อกับหมายเลขที่ไม่โชว์เบอร์หลายครั้ง
ข้างนอกรถ เด็กสาวเพิ่งรู้ตัวว่ามือถือหล่น จึงได้หันหลังกลับและเดินไปที่รถ เด็กสาวก้มตัวลงมาเล็กน้อย งอนิ้วเคาะหน้าต่างรถอย่างไม่รีบร้อน
เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้ว เอื้อมมือไปลดกระจกลง
เด็กสาวนอกรถหรี่ตาลง น้ำเสียงราบเรียบแต่ส่อแววขอโทษในที “มือถือหล่นน่ะค่ะ”
คุณชายเฉิงมองต่ำ แล้วหยิบมือถือขึ้นมา ก่อนยื่นให้เด็กสาว นิ้วมือของเขาเรียวสวย น้ำเสียงขรึม “ฉันรู้แล้ว มันดังแน่ะ”
นักเรียนสาวรับมือถือ สีหน้ายังคงนิ่ง แล้วพูดเนิบๆ “โปรโมชันน่ะค่ะ”
ตั้งแต่มีการคิดค้นซอฟต์แวร์ไม่แสดงเบอร์ขึ้น เดี๋ยวนี้มีหลายเบอร์มากที่ทำแบบนั้น
เมื่อก้าวเข้าไปในโรงแรม เด็กสาวหน้าสวยก้มหน้าเพื่อส่งข้อความหาแม่
เบอร์ที่ไม่แสดงโทรเข้าอีกครั้ง
เธอเดินไปสุดทางเดิน โดยที่สีหน้าท่าทางยังคงเหมือนเดิม แล้วหยิบหูฟังที่อยู่กระเป๋าออกมา จากนั้นก็เปิดไมค์และกดโทรออก
“อีกฝ่ายเพิ่มเงินให้อีกห้าสิบเท่า” เสียงนั้นใช้เครื่องเปลี่ยนเสียงแน่ๆ มีเสียงแทรกเข้ามาเล็กน้อย “เธออยากเลิกจำศีลหรือยัง”
ฉินหร่าน “…”
เด็กสาวยืนพิงกำแพง นิ่งไปครู่ใหญ่
หลังจากผ่านไปสักพัก
เธอจึงถามขึ้น “ไอ้งั่งคนนั้นเป็นใครกัน”
“ฮะ” ปลายสายอีกฝั่งอึ้งไป
“ฉันถามว่าไอ้ปัญญาอ่อนคนไหนสั่งงานฉัน ส่งข้อมูลมันมา” เธอยิ้มกระตุกปาก แล้วพันสายหูฟังด้วยนิ้วมือ
พอได้ยินน้ำเสียงที่ดูผ่อนคลายจากฝั่งคนรับงาน คนนั้นจึงวางสายไปอย่างมีความสุข
ใช้เวลาไม่นาน ข้อมูลเฉพาะก็ถูกส่งเข้ามาที่กล่องเมลของฉินหร่าน
สาวคนสวยไม่ได้เดินไปไหน เพียงแค่เปลี่ยนอิริยาบถ หลังยังคงพิงกำแพง จากนั้นก็เปิดข้อมูลขึ้นมาดูอย่างไม่รีบร้อน
ขณะที่ดูข้อความ เส้นเลือดในตัวก็พลุ่งพล่านอีกครั้ง
เธอส่งข้อความตอบกลับคำเดียว
[โอเค]
สั้นและตรงประเด็น
**
พอได้ยินว่าลูกเลี้ยงกำลังจะถึง หนิงฉิงลงมารอข้างล่างก่อนเวลานานพอควร
ช่วงเย็นคนขับรถตระกูลหลินต้องไปรับนายหญิงทำให้ไม่มีเวลาไปรับคุณหนู ส่วนพี่ชายคนโตจะขับผ่านโรงเรียนอยู่แล้ว เขาจึงจะแวะรับฉินอวี่และฉินหร่าน
เรื่องนี้ทำให้แม่เลี้ยงรู้สึกดีใจขึ้นมา
ลูกชายคนโตของบ้านเฉยเมยกับเธอตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่เมื่อมีฉินอวี่เข้ามา ทำให้เข้ากับชายหนุ่มได้ง่ายขึ้น
เพราะว่าเขาเอ็นดูลูกสาวของเธอ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หนิงฉิงต้องลงมารอข้างล่าง
“จิ่นเซวียน ทำให้เธอต้องลำบากแล้ว” แม่เลี้ยงคลี่ยิ้มเล็กน้อย ด้วยกระเป๋าที่ถือไว้ แววความสง่าปรากฏออกมาบนใบหน้างามนั้น
พอก้าวออกจากรถ ดวงตาของลูกชายตระกูลหลินดูอ่อนโยน เขาเป็นคนหน้าตาหล่อและดูสุภาพ “ไม่เป็นไรครับ”
ช่วงนี้ เขาค่อนข้างยุ่ง แม้แต่ตอนที่อยู่บ้าน ก็จะคุยโทรศัพท์ตลอด
คุณชายใหญ่ดูกังวลมากเหมือนว่ามีเรื่องเกิดขึ้น ทั้งแม่เลี้ยงและผู้เป็นพ่อจึงไม่ได้รบกวนอะไรเขานัก
ตอนนี้ แม้จะอยู่ที่นี่ แต่ชายหนุ่มไม่พูดอะไรมาก เขาสุภาพมาก และทักทายหนิงฉิงทันทีเมื่อลงจากรถ
ผู้เป็นแม่มองดูลูกคนเล็กลงมากจากรถ
ประตูด้านหลังยังไม่เปิดออก
ตอนนี้ ผู้ที่ขับมาส่งกำลังจะออกรถไป
หนิงฉิงมองดูที่เบาะหลัง “จิ่นเซวียน ฉินหร่านอยู่ไหนจ๊ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”
ชายหนุ่มในรถเตรียมพร้อมถือกุญแจในมือแล้ว พอได้ยินประโยคนี้ เขานิ่งไปหลายอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น นวดขมับ แล้วพูดด้วยเสียงอ้ำอึ้งว่า “ขอโทษครับ ผมยุ่งมากเลยลืมเธอไปสนิท รู้เบอร์เธอไหม ผมจะไปรับให้ตอนนี้เลย”
ปรากฏว่าเด็กน้อยเจ้าปัญหาถูกลืม
แม่เลี้ยงพยักหน้า ขยับนิ้วมือ น้ำเสียงยังสุภาพอ่อนหวาน “ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวน้าให้นั่งแท็กซี่มาเองก็ได้ หลานเองก็ยุ่งอยู่นี่นาช่วงนี้ ไม่ต้องไปรับหรอก”
เดิมทีหลินจิ่นเซวียนก็ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว แถมเขายังยุ่งมากๆ อีก “ช่วยส่งเบอร์เธอให้ผมด้วย จะได้โทรไปขอโทษครับ”
พอลูกเลี้ยงขับรถออกไป ผู้เป็นแม่นวดขมับ แล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาลูกคนโต
แต่เด็กนั่นไม่รับสาย
“คุณแม่ ขอโทษด้วยค่ะ หนูไม่ทันคิด…” ลูกสาวคนโปรดเดินเข้าอาคาร แล้วยื่นไวโอลินให้ป้าจางด้วยท่าทีรู้สึกผิด
หนิงฉิงตัดสายอย่างฉุนเฉียวเพราะคนที่โทรหาไม่ยอมรับสาย “ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เกี่ยวกับลูกสักหน่อย”
เธอโทรติดกันตั้งสองครั้ง แต่อีกฝ่ายยังไม่รับ ตอนแรกหนิงฉิงรู้สึกโกรธ แต่พอได้คิดไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น กลับรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
หากเป็นฉินอวี่ หลินจิ่นเซวียนคงต้องกลับไปรับแน่ๆ
ต่อให้ไม่มีเวลา เธอคงเป็นคนไปรับลูกคนเล็กด้วยตัวเอง แล้วคงไม่ตัดจบง่ายๆ แบบนี้
แต่ท้ายที่สุด เป็นเพราะเด็กนั่นคือฉินหร่าน ไม่ใช่ฉินอวี่
ผู้เป็นแม่เข้ากับลูกสาวเจ้าปัญหาไม่ได้มาสิบสองปีแล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งห่างเข้าไปอีก โดยเฉพาะเมื่อลูกคนโตแสดงท่าทีแข็งกร้าว เย็นชาและจองหองใส่ ลูกคนนี้รับมือยากและไม่เคยพูดจาเข้าหูเหมือนลูกคนเล็ก
ญาติมากมายมาที่อวิ๋นเฉิง เพื่อดูว่าหนิงฉิงเป็นอย่างไรบ้าง
พวกเขาไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมคุณแม่ของเธอ แค่อยากมาสร้างสัมพันธ์กับคุณนายตระกูลหลินให้แน่นแฟ้นขึ้นก็เท่านั้น
เธอรู้ทันญาติพวกนี้ดี หนิงฉิงดูถูกคนเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้อยากทำตัวไร้มารยาทเช่นกัน
สำหรับโอกาสแบบนี้ อาจขาดฉินหร่านได้ แต่ขาดฉินอวี่ไม่ได้ ลูกสาวคนเล็กเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้
แต่ฉินหร่านน่ะหรือ…
ไม่เคยมีความลับในบรรดาญาติพวกนี้ หากพวกเขาถามขึ้นมาว่าทำไมลูกคนโตยังอยู่มัธยมปลายอยู่ล่ะก็…
ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ก่อนจะพาลูกรักขึ้นบันไดไป
เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าญาติๆก็อยู่ที่งานเกือบครบทุกคน
หญิงชราโค้งศีรษะตอนที่เห็นลูกสาวกำลังถูกรายล้อมด้วยญาติทุกคน จากนั้นจึงได้ถามขึ้นว่า “หร่านหร่านไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่”
ลูกสาวของเฉินซูหลานนิ่งไป บังเอิญหางตาเหลือบไปเห็นร่างผอมบางเดินเข้ามาพอดี
คนนั้นแต่งตัวด้วยแจ๊กเก็ตตัวโรงเรียนอี่จงตัวโคร่ง ด้านในเป็นเสื้อยืด ห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวนี้มืดและเสียงดัง ทุกคนต่างสวมใส่อาภรณ์หรูหรา มีแต่หนิงฉิงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เข้าพวก
“ไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอคะ” มารดาของเด็กสาวถามขึ้น
ผู้เป็นยายก็มองเห็นหลานเช่นกัน
ฉินหร่านสวยสะกดสายตาทุกที่ที่ไป คิ้วโก่งคู่นั้นคมและเป็นเส้นตรง และทุกคนก็มองเห็นเธอตอนที่เดินเข้าห้องมา
“คุณยายคะ คุณป้าล่ะคะ?” หลานสาวเข้ามาประคองมือซ้ายของคุณยายแล้วถามขึ้น เธอมองไปรอบๆ ห้อง ในที่สุดก็เห็นผู้เป็นป้ายืนอยู่ตรงมุมห้องอย่างจำยอม
“หลานใหญ่จริงด้วย ป้าไม่เห็นหลายตั้งหลายปี ดูเด็กลงตลอดเลยนะ” หญิงวัยกลางคนเข้าไปจับมือคุณนายตระกูลหลินอย่างรักใคร่ “โอ้ คนนี้ต้องเป็นฉินอวี่แน่ๆ เลย สวยจังเลยลูก ได้ยินว่าไปเล่นไวโอลินออกทีวีด้วยนี่ หลานคงภูมิใจ…”
ลูกคนโตได้ยินเสียงนุ่มนวลมีความสุขของผู้เป็นแม่ “มานี่จ้ะอวี่เอ๋อร์ นี่เป็นภรรยาของพี่ชายแม่เอง ลูกคนนี้ไม่เคยทำให้ต้องกังวลใจตั้งแต่เล็กแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เรียนอยู่ห้องคิงที่โรงเรียนอี่จง”
ฉินหร่านไม่เคยเห็นหน้าญาติพวกนี้มาก่อน และไม่รู้จักพวกเขาเลย
เธอรู้เพียงว่าคนพวกนี้มาเพราะหนิงฉิงและฉินอวี่ จึงรู้สึกขี้เกียจพูดคุยและไม่ได้อยากทำความรู้จักพวกนั้น
หลังจากขอตัวกับคุณยายแล้ว เด็กสาวออกไปเดินหาป้าของเธอ
หนิงเว่ยยืนอยู่ในมุม แล้วจิกชายผ้าด้วยความรู้สึกต่ำต้อย เสื้อผ้าของเธอสะอาดแต่เห็นได้ชัดว่ามีสภาพเก่า
“หร่านหร่าน” ตาเธอทอแววมีประกายตอนที่เห็นหลานสาว เสียงพูดดังขึ้นมาเล็กน้อย
หลานสาวคนสวยนิ่งไปครู่หนึ่ง มือถือโทรศัพท์ไว้ แล้วสูดหายใจเข้า “คุณป้า ทำไมถึงไม่นั่งคะ”
“ไม่มีเก้าอี้ว่างน่ะ ป้ายืนได้ไม่เป็นไร” หนิงเว่ยหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วมองไปที่เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างเธอ “มู่หยิง นี่ลูกพี่ลูกน้องของลูก หร่านหร่าน”
ก่อนเด็กสาวจะเอ่ยอะไร เธอเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องเดินไปเสียแล้ว
เด็กสาวหน้าสวยไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปรอบห้อง
สายตานั้นเยือกเย็นจนอธิบายไม่ถูก
เย็นชาและไร้อารมณ์
มีเก้าอี้ตัวหนึ่งไม่ห่างออกไป บนเก้าอี้มีไวโอลินตั้งอยู่หนึ่งคัน
เด็กสาวถอนหายใจด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง โทสะทั้งหมดฉายปรากฏบนใบหน้างามๆ นั้น เธอกำนิ้วแน่น แล้วเดินไปตรงนั้น
ก่อนที่นิ้วเรียวงามจะได้สัมผัสไวโอลิน มีเสียงแหลมตะโกนมาจากด้านหลัง “ไวโอลินคันนี้ราคาตั้งห้าแสนแปดหมื่น คุณฉินห้ามแตะมันเด็ดขาด!”