อาจารย์เว่ย
ชั่ววินาทีที่เห็นคำนี้ ฉินอวี่ไม่ได้แยแส
ยิ่งอยู่ในเมืองหลวงมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจสถานะของอาจารย์เว่ยในแวดวงเมืองหลวง ไม่ใช่เพียงสถานะของตัวเขาเท่านั้น แต่ยังมีเครือข่ายสังคมนับพันนับหมื่นที่เชื่อมโยงกับเขา
หากไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง จะไม่มีทางรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น
ได้เจอในงานฌาปนกิจของเฉินซูหลานงั้นเหรอ
ฉินอวี่เม้มปากเล็กน้อย ไม่ใส่ใจแต่อย่างใด ขณะที่กำลังจะกดปิดมือถือแล้วเก็บเข้ากระเป๋า หยิบลิปสติกออกมาแทน
มู่หยิงก็ส่งรูปภาพเข้ามา
เป็นรูปที่แอบถ่าย
น่าจะเป็นงานฌาปนกิจของเฉินซูหลาน ในรูปเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของชายชราคนหนึ่ง ผมเป็นสีดอกเลา ท่าทางดูแก่หง่อม
ฉินอวี่เคยเห็นตัวจริงของอาจารย์เว่ยเพียงครั้งเดียว แต่ภาพของเขาในนิตยสารหรือข่าวทั้งหลายแหล่เธอเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
เธอแน่ใจว่า ภาพที่มู่หยิงส่งให้เธอนั้น เป็นอาจารย์เว่ยตัวจริงเสียงจริง…
ฉินอวี่มองรูปภาพบนมือถือ มือเผลอกำแน่น แววตาวูบไหว
เธอมารัฐ M จุดประสงค์หลักก็เพื่อทำความรู้จักกับบุคคลเบื้องหลังไต้หรานให้มากขึ้น เปิดหูเปิดตา
ฉะนั้นตอนแรกที่เธอตัดสินใจเลือกข้อนี้ เธอตัดงานศพของเฉินซูหลานทิ้งอย่างไม่ลังเล เลือกตามไต้หรานมา
แต่ไม่คิดเลยว่าอาจารย์เว่ยที่เธอไม่มีโอกาสได้เจออีกครั้งในเมืองหลวงจะปรากฏตัวในงานศพของยายเธอ
ไฟฮึกเหิมของฉินอวี่ที่ถูกจุดด้วยการแนะนำของไต้หรานในวันนี้ กลับมอดดับเพราะประโยคนี้ของมู่หยิง เธอเป็นคนรู้มาตลอดว่าตัวเองต้องการอะไร และจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา
ไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลย ทว่าตอนนี้ เธออยากรู้ยิ่งนักว่าเรื่องของอาจารย์เว่ยมันอย่างไรกันแน่
ฉินอวี่โทรทางไกลหามู่หยิงโดยตรง
…
ในเวลาเดียวกัน
สำนักงานใหญ่ของทีม OST ณ เมืองหลวง
หยางเฟยหยิบผ้าพันคอขึ้นพันคอตัวเอง จากนั้นกดปิดเวยป๋อ ขึ้นไปชั้นบนกับโค้ช
ชั้นบนสุดของตึกมีผู้คนบางตา แต่กลับสะอาดสะอ้าน
เห็นได้ชัดว่าหยางเฟยไม่ได้มาครั้งแรก แต่โค้ชด้านหลังเขาเพิ่งเคยเข้าพบผู้ที่อยู่เบื้องบนของตนครั้งแรก เขาเดินสั่นระริกมาตลอดทาง พร้อมกับจัดเสื้อผ้าของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
เลขาสาวฉลาดปราดเปรื่องฝีมือดีส่งยิ้มให้พวกเขา จากนั้นเปิดประตูห้องทำงาน “ประธานรอทั้งสองท่านอยู่ด้านในค่ะ”
ข้างในมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้พวกเขา
เขาสวมชุดสูทสีเทา ตัวสูงโปร่ง ยามหันหลังกลับมา ใบหน้าอ่อนโยนแต้มรอยยิ้มบางๆ ราวกับทายาทตระกูลขุนนางในสมัยโบราณที่เดินออกมาจากภาพวาด เสื้อผ้าเรียบหรู ประหนึ่งว่าทุกความประณีตในโลกได้รวมอยู่บนตัวเขาแล้ว
ปานเทพบุตร
โค้ชของทีม OST มองเพียงแวบเดียวก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเขา
หยางเฟยนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่อย่างเคยชิน ใบหน้ายังคงเรียบเฉย น้ำเสียงจริงจัง “พี่ครับ”
ชายคนนั้นขานรับ จากนั้นผายมือ เชิญให้โค้ชนั่งลงอย่างมีมารยาท
เสียงใสฟังชัด และเจือความน่ายำเกรง
“เธอขึ้นแข่งเหรอ” ชายคนนั้นถือกาน้ำชาเซรามิก รินน้ำชาสามถ้วย
หยางเฟยเอนตัวพิงพนัก ใบหน้าดูดีไร้อารมณ์ “อืม พี่ก็เห็นถ่ายทอดสดแล้วนี่”
ชายคนนั้นยื่นถ้วยชาให้ทั้งสองคน ไม่ดื่มชา เพียงแค่ทอดตามองนอกหน้าต่าง ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะพยักหน้า ไม่พูดอะไรก็ออกจากห้องไป
หลังเขาออกไปแล้ว โค้ชก็พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด
…
โรงเรียนเหิงชวนอีจง
ห้องเก้า
เลิกเรียนพอดี หลินซือหรานนั่งอยู่บนเก้าอี้ เล่นเวยป๋ออย่างเบื่อหน่าย ระยะนี้ผู้ติดตามเวยป๋อของเธอเพิ่มจากห้าหมื่นกว่าคนเป็นสองแสนเจ็ดหมื่นคนแล้ว และกำลังเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเวยป๋อของฉินหร่าน เพิ่มทะยานถึงสามล้านเจ็ดแสนคนแล้ว
หลินซือหรานคาดการณ์ว่า อีกไม่กี่วันก็คงทะลุสี่ล้านแล้ว
ในการแข่งขันของ OST ครั้งก่อนที่เซี่ยงไฮ้ ฉินหร่านได้แฟนคลับเพิ่มมาอย่างล้นหลาม แถมยังมีแฟนคลับที่ตามมาจากหยางเฟยอีกด้วย มาเร่งเร้าหลินซือหราน ขอร้องให้หลินซือหรานบอกให้ฉินหร่านโพสต์เวยป๋อ
ใช่ว่าในโลกออนไลน์จะไม่มีคนสืบหาว่าหลินซือหรานเป็นใคร แต่สองแอคเคาท์พิลึกนัก ต่อให้มีคนหาแฮกเกอร์มา ก็ทำอะไรสองแอคเคาท์นี้ไม่ได้
แน่นอนว่าคนในห้องเก้าที่เคยเห็นแอคเคาท์หลักของฉินหร่านปิดปากเงียบ เมื่อคนอื่นกล่าวถึง พวกเขาก็จะฉีกยิ้มอย่างปิดทองหลังพระ
จากนั้นแอบล็อคอินเข้าเวยป๋อเพื่อกดติดตามแอคเคาท์ของฉินหร่าน
หลินซือหรานเหลือบมองโต๊ะเรียนที่ว่างเปล่าแล้วถอนหายใจ
จากนั้นก็ดึงทิชชูอย่างเอื่อยเฉื่อยเตรียมจะไปเข้าห้องน้ำ
โต๊ะด้านหลัง เฉียวเซิงเองก็หมอบอยู่บนโต๊ะคุยกับสวีเหยากวงและเหอเหวินอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นหลินซือหราน ก็กวักมือเรียกเธอ
“คุณชายสวี นายว่าเจ๊ฉินจะมาเรียนเมื่อไร อาจารย์ฟิสิกส์คิดถึงเธอหลายวันแล้ว” เฉียวเซิงยื่นขาขวางทางเดิน พูดอย่างไร้อารมณ์
สวีเหยากวงถือปากกา กำลังทำโจทย์ฟิสิกส์ เมื่อได้ยินประโยคนี้ ปากกาในมือก็ชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉียวเซิงก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะรู้ เพียงแค่ยกมือขึ้นเท้าคาง “จะว่าไปเช้าวันนี้ก็ไม่เห็นพานหมิงเย่ว์กับเว่ยจื่อหัง ไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหน”
สวีเหยากวงก็หรี่ตาลง วันนี้ปู่ของเขาก็ไม่มาเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง
เฉิงมู่จอดรถ ถามคนมาตลอดทางจนเจอห้องเก้า กลับไม่พบเกาหยางที่ห้องพักครู
เมื่อเห็นหลินซือหรานที่ออกมาจากห้องน้ำ เฉิงมู่จำได้แม่นยำว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉินหร่านที่มักจะใช้หญ้าปลอมเป็นเครื่องคลายทุกข์
“คุณหลิน…” เฉิงมู่เรียกเฉินซือหรานด้วยใบหน้าเรียบเฉย
หลินซือหรานกำลังก้มหน้า มือถือทิชชู เช็ดน้ำบนมืออย่างสบายๆ เมื่อได้ยินว่ามีคนเรียกเธอ ก็เหลียวหลังมอง เห็นเป็นเฉิงมู่ “คุณมาหาฉินหร่านเหรอ”
“เปล่าครับ ผมมาหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอลาให้คุณหนูฉิน” เฉิงมู่เงียบไปครู่หนึ่ง
หลินซือหรานชะงักงัน ตกใจมากทีเดียว “ลาเหรอ นานแค่ไหน”
“คิดว่า ราวๆ…อาจจะถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย” เฉิงมู่ก้มหน้า
หลินซือหราน “…”
อ่า ดูแล้วก็เหมือนพฤติกรรมสุดเท่ของเจ๊ฉินจริงๆ นั่นแหละ
“อาจารย์ที่ปรึกษาสอนอยู่ที่ห้องหกชั้นล่าง คุณไปรอตรงบันไดก็น่าจะได้พบเขา” หลินซือหรานคำนวณเวลาชั่วครู่ ยืนยันกับเฉิงมู่ว่า “หมายความว่าเทอมนี้หรานหร่านจะไม่เข้าเรียนเลยใช่ไหม”
เฉิงมู่เดินลงไปพร้อมกับพยักหน้า
หลินซือหรานตามเขาลงมา เธอดึงฮู้ดเสื้อขนเป็ดขึ้นสวมให้ตัวเอง “งั้นถ้าคุณลาอาจารย์เสร็จแล้ว ช่วยรอฉันตรงทางเดินสักเดี๋ยวนะ ฉันจะฝากของให้หรานหร่าน”
ไม่รอให้เฉิงมู่ตอบ หลินซือหรานก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงมู่เกาหัวอย่างงุนงง จากนั้นก็ลงไปรอเกาหยางข้างล่าง บอกเล่าสาเหตุที่ต้องลาหยุดเล็กน้อย
นักเรียนลาหยุด โดยเฉพาะมัธยมปลายปีสาม ไม่ง่ายแน่นอน
หลังเฉิงมู่คุยกับเกาหยางเสร็จ เดิมทีคิดว่าเกาหยางจะซักละเอียดยิบ ไม่คิดเลยว่าปฏิกิริยาแรกของเกาหยางคือถอนหายใจอย่างโล่งอก…
“เนื้อหาข้างหลังเธอไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ แต่ระหว่างที่ลาหยุด ก็อย่าหละหลวม” หากอิงตามที่หัวหน้าฝ่ายวิชาการกับอาจารย์ใหญ่สวีตามใจฉินหร่าน เกาหยางไม่จำเป็นต้องรายงานเบื้องบน ก็สามารถให้ลาได้
เขาฉีกใบลาออกมา เขียนไม่กี่ประโยค จากนั้นประทับตราแล้วยื่นให้เฉิงมู่
เมื่อเฉิงมู่กลับไป เขาก็หยิบมือถือโทรแจ้งหัวหน้าฝ่ายวิชาการ หัวหน้าฝ่ายวิชาการจึงรายงานอาจารย์ใหญ่สวีทันที
นักเรียนทั่วไปลาหยุด หัวหน้าฝ่ายวิชาการย่อมไม่ตื่นตระหนกรีบร้อนรายงานอาจารย์ใหญ่สวี แต่ฉินหร่านเป็นคนที่อาจารย์ใหญ่สวีให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เฉิงมู่พับใบลาแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
จากนั้นก็ผูกผ้าพันคอ ไม่ได้กลับไปทันที แต่ยืนรอหลินซือหรานตรงทางเดิน
โรงเรียนเหิงชวนอีจงไม่เล็ก
ไปกลับระหว่างตึกเรียนกับหอพักใช้เวลาสิบห้านาที
หลังเฉิงมู่คุยกับเกาหยางเสร็จ รออยู่ตรงทางเดินไม่กี่นาที หลินซือหรานก็วิ่งเหยาะเข้ามา
เธอถือถุงพลาสติกสีดำ
เฉิงมู่กระชับผ้าพันคอ ชายตามอง เขารู้สึกมันเหมือนถุงขยะ…
“คุณชายเอาของพวกนี้ให้หรานหร่านที” หลินซือหรานหยุดยืน จากนั้นคุ้ยในถุงขยะ ข้างในมีขวดแก้วสองใบ เธอมองดูเล็กน้อยแล้วทิ้งกลับถุงขยะ คุ้ยกระถางต้นไม้ออกมา “ต้นไม้ต้นนี้นี่แหละ ต้องรดน้ำทุกเช้า วางตรงที่นอนของเธอ แล้วก็ต้นไม้ต้นนี้บอบบางมาก…”
หลินซือหรานหยิบมือถือออกมา ให้เฉิงมู่เพิ่มเพื่อนวีแชทของเธอ จากนั้นก็ส่งบทความดูแลต้นไม้ยาวเหยียดมาให้
เฉิงมู่ก้มมองแวบหนึ่ง “…”
กระถางต้นไม้เส็งเคร็งยังต้องให้คนสวนที่ค่อนข้างมีฝีมือมืออาชีพมาดูแลด้วยงั้นเหรอ
แต่ของที่ให้ฉินหร่าน เฉิงมู่ก็ยังวางมันลงท้ายรถอย่างระมัดระวังอยู่ดี
ขับรถออกจากโรงเรียนเหิงชวนอีจง
กลับเจอกับอาจารย์ใหญ่สวีตรงหน้าโรงเรียน อาจารย์ใหญ่สวีโบกรถ
“ได้ยินว่าหรานหร่านจะลาหยุดเหรอ” มือข้างของอาจารย์ใหญ่สวีล้วงกระเป๋า อีกข้างดันแว่นบนสันจมูก ทำท่าครุ่นคิด
เฉิงมู่ลงจากที่นั่งคนขับ พูดกับอาจารย์ใหญ่สวีอย่างสุภาพ “ดูเหมือนจะใช่ครับ”
“อืม” อาจารย์ใหญ่สวีเงียบลงครู่หนึ่ง จากนั้นอ้อมไปอีกฝั่ง เปิดประตูข้างที่นั่งคนขับ “พาฉันไปหาเธอหน่อย ฉันมีเรื่องสำคัญมากอยากคุยกับเธอ”
ยี่สิบนาทีต่อมา
รถก็แล่นมาถึงคฤหาสน์ใจกลางเมือง
พ่อบ้านเฉิงออกมาเปิดประตู เขาคิดว่าคนที่เห็นคือเฉิงมู่ไม่ก็ลู่จ้าวอิ่ง แต่กลับได้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นที่เคร่งขรึม เขาพูดอย่างตกใจว่า “ผู้อาวุโสสวี”