ตอนที่ 223 สถานการณ์ตึงเครียด
เหยียนเค่อกรอกเหล้าเข้าปากหลายแก้ว อารมณ์ความรู้สึกก็พลุ่งพล่าน เอาแต่จ้องซย่าเสี่ยวมั่วไม่ละสายตา
เหยียนเฟิงก็เดินเข้ามาร่วมด้วย
“พวกนายรั้งตัวน้องชายฉันไว้ทำไมเหรอ”
เหยียนเค่อเงยหน้าขึ้นไปมองเขาปราดหนึ่ง มองท่าทางราวกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องช่างลึกซึ้งแล้วก็รู้สึกอยากจะอ้วก
ในที่สุดสายตาบีบคั้นนั้นก็จากไปแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เงยหน้าขึ้นเห็นผู้หญิงคนนั้นระทวยอิงแอบในอ้อมแขนของเหยียนเค่อ แล้วก็เหยียดยิ้ม
สวีอิ๋งอิ๋งเห็นสายตาที่มองมาของซย่าเสี่ยวมั่วก็จ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว นึกไม่ถึงว่าซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่ทันมองชัดว่าเธอหน้าตาเธอเป็นอย่างไรก็เบนสายตาหนีแล้ว
“ทุกคนก็คุยกันเพราะเห็นว่าเป็นน้องชายนายไง” เฉิงนั่วเรียกเหยียนเฟิงให้นั่งลงข้างๆ
เฉิงซีเป็นอำนาจและอิทธิพลของเหยียนเฟิง เป็นพวกขยะไร้ประโยชน์ที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กจนโต
ในทางธุรกิจนั้นถูกเหยียนเค่อข่มเอาไว้ตลอด อยากร่วมงานกับเหยียนเค่อหลายต่อหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นจึงจดจำความแค้นที่มีต่อเหยียนเค่อกับสวีอันหรานไว้ในใจมาโดยตลอด
เหยียนเค่อไม่สนใจสักนิด เขามาก็เพื่อมาดูซย่าเสี่ยวมั่วเท่านั้น
มือของหลี่หมิงฉวีโอบเอวของเธอแน่น ดึงซย่าเสี่ยวมั่วไปอยู่ในอ้อมแขนของตน ทำเอา
เหยียนเค่อยิ่งมองยิ่งเดือดดาล
ซย่าเสี่ยวมั่วอยากรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคน แต่เพราะว่ามือเขาแรงเยอะมากเกินไป เธอก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้ง ทำได้เพียงยืนนิ่งเกร็งอย่างกล้ำกลืน ไม่สนใจสายตาของเหยียนเค่อที่มองมา
หลี่หมิงฉวียิ่งได้ใจ แถมยังจะจูบซย่าเสี่ยวมั่วท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อนอีกต่างหาก
ซย่าเสี่ยวมั่วแกะมือของเขาออกแล้วลุกขึ้นยืน เหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “ฉันจะไปห้องน้ำ”
สวีอันหรานมองฉู่อวิ๋นที่เดินเข้ามาจากประตูด้านหลัง ขณะกำลังคิดว่าควรจะลงมือเลยดีไหมนั้น ก็ได้ยินเสิ่นจิ้งเฉินวิ่งมาบอกเขาอย่างรีบร้อน “เหยียนเค่อเล่นงานหลี่หมิงฉวีแล้ว”
สวีอันหรานก็ไม่ลังเลแล้ว ถลกแขนเสื้อขึ้น เมื่อประตูเปิดออกก็กระโดดถีบทันที
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วเดินออกไป บรรยากาศภายในโต๊ะก็เปลี่ยนแปลง
เหยียนเค่อจะลุกขึ้นเดินตามซย่าเสี่ยวมั่วไป แต่กลับถูกหลี่หมิงฉวีดึงตัวไว้เสียก่อน “ประธาน
เหยียนจะไปทำอะไรเหรอ”
เหยียนเค่อเกลียดการที่คนอื่นมาโดนตัวเขาที่สุด พลิกมือแล้วบิดข้อมือของหลี่หมิงฉวีออก
หลี่หมิงฉวีโอดครวญก่อนจะยกขาเตะเข้าที่บริเวณท้องของเหยียนเค่ออย่างไม่กลัวตาย
เหยียนเค่อตะแคงตัวหลบ ยกขาขึ้นถีบขาที่ช่วงก่อนหน้านี้เพิ่งจะรักษาจนหายดี
หลี่หมิงฉวีเจ็บจนร้องไม่ออก ขาข้างหนึ่งคุกเข่านั่งลงบนพื้น ขาอีกข้างก็แหกแยกออกไปด้านหน้าด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาด นั่งอยู่ท่านั้น เจ็บปวดเจียนตาย
เดิมทีก็มีความขัดแย้งกันทางอำนาจอยู่แล้ว พอลงมือทำร้ายร่างกาย บรรยากาศตึงเครียดในค่ำคืนนี้ก็ถูกจุดขึ้น
เฉิงนั่วและกลุ่มเพื่อนสมัยเด็กถีบแก้วน้ำไปทางเหยียนเค่อ ในมือถืออาวุธ
เหยียนเฟิงก็เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแบบออกนอกหน้าไม่ได้ จึงพาสวีอิ๋งอิ๋งมานั่งดูอยู่ข้างๆ
สถานการณ์โกลาหลในทันที หลายตระกูลที่มีความแค้นสะสมกันมานานก็เริ่มฉีกหน้ากัน
เหยียนเค่อไม่ว่าทางด้านไหนก็โดดเด่นที่สุดทั้งนั้น ตอนอยู่ยุโรปก็เคยติดตามทหารของหน่วยคอมมานโดที่เกษียณแล้วจึงได้เรียนวิชาต่อสู้ ทหารรับจ้างห้าคนยังสู้เขาไม่ได้ พวกลูกเศรษฐีที่เที่ยวเล่นใช้ชีวิตไปวันๆ เหล่านี้ต้องเทียบไม่ได้แน่นอน
แต่เมื่อจำนวนคนเยอะ เขาจึงถูกคนใช้เก้าอี้ฟาดลงบนร่างอยู่หลายทีเช่นกัน
ฉินซื่อหลานเข้ามาช่วยแก้ปัญหา แต่ท่าทางเหมือนมารอดูเรื่องสนุกมากกว่า
“ไอ้ห่าเอ๊ย นายมาหาเรื่องให้ฉันเพิ่มใช่ไหมวะเนี่ย”
ฝีมือของฉินซื่อหลานรวดเร็ว แม่นยำ และทรงพลัง แต่ไม่ใช่กับการชกต่อยปกติเช่นนี้ เหมาะกับการโจมตีใกล้ๆ เท่านั้น ถ้าในมืออีกฝ่ายมีอาวุธ เขาก็ไม่มีทางแสดงฝีมือออกมาได้เลย แถมยังต้องป้องกันสองมืออันล้ำค่าของตนอีก
คนของตระกูลฉู่และตระกูลสวีต่างก็ไม่รู้จะเข้าไปช่วยอย่างไร ไม่ว่าจะเข้าข้างฝ่ายใดต่างก็ต้องทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจทั้งสิ้น พวกซูอี้และเซ่าหมิงฟ่านที่เป็นคนค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีศัตรูคู่แค้นที่ไหนทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมและคอยห้ามอยู่ข้างๆ
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าการที่ตนเดินไปเข้าห้องน้ำจะทำให้เกิดสงครามนองเลือดเช่นนี้ หลบอยู่ในมุมไม่กล้าออกมา แถมยังคิดในใจว่า แม้แต่พระเจ้ายังคิดว่างานหมั้นของสวีรั่วชีในครั้งนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเลย ฟ้ามีตาจริงๆ
เหยียนเค่อล้มเฉิงนั่วและคนของตระกูลหลี่อีกสองสามคนได้ ฉินซื่อหลานที่ตามอยู่ด้านหลังแอบเตะซ้ำไปอีกสองที
เพิ่งจะจัดการสองสามคนข้างหน้าไป ข้างหลังก็มีคนกระโจนเข้ามาอีกกลุ่มหนึ่ง ฉินซื่อหลานไม่ได้สังเกตว่ามีเก้าอี้ฟาดมาที่หลังของตน เหยียนเค่อเหลือบไปเห็นเข้า ก็หมุนตัวกระโจนเข้าไปรับไว้แทน เตะขาไปด้านหลังจนคนนั้นกระเด็นออกไป
ตอนที่ 224 หลังจบเรื่อง
วินาทีที่ฉินซื่อหลานถูกดึงเข้าสู่อ้อมแขนของเหยียนเค่อ เขาก็ตกตะลึงไปทันที คนที่โถมตัวใส่แผ่นหลังของตนร้องดัง อึก หนึ่งทีก่อนจะรีบปล่อยเขา หันไปก็เห็นว่าเหยียนเค่อหันไปล้มได้อีกสองคนแล้ว
สวีอันหรานใช้ข้ออ้างที่ว่า ‘ฉู่อวิ๋นไม่เคารพน้องสาวฉัน’ ทำร้ายเขาจนสลบเหมือดแล้วพาส่งโรงพยาบาล
สวีรั่วชีมองดูเขาที่เปลี่ยนไปอย่างประหลาดใจ ในใจรู้สึกรับไม่ได้
สวีอันหรานอย่างจะอธิบายกับเธอ แต่เสิ่นจิ้งเฉินพูดแทรกขึ้นมาก่อนว่าห้องโถงด้านหน้าวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว เขาสั่งกำชับให้สวีรั่วชีเข้าไปอยู่ในห้องดีๆ ส่วนตัวเขาจะออกไปจัดการปัญหาอันแสนเละเทะนั่นก่อน
คนที่กลัวมีเรื่องต่างก็แยกย้ายกลับไปไม่น้อยแล้ว ส่วนคนที่มีความแค้นก็ยังทะเลาะกันอยู่
ซย่าเสี่ยวมั่วออกจากห้องน้ำแล้วเดินกลับไปที่งาน ในใจรู้สึกถึงลางร้าย
ก็เห็นร่างของฉินซื่อหลานและเหยียนเค่อจากที่ไกลๆ รวมไปถึงกลุ่มคนที่ล้มระเนระนาดอยู่
คนฉลาดหลักแหลมอย่างเธอจึงโทร 110 เรียกตำรวจทันที
หลังจากเหยียนเค่อและทุกคนรู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนโทรเรียกตำรวจ แต่ละคนก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป มีเพียงสวีรั่วชีที่หัวเราะอย่างสะใจ
ตำรวจมาถึงอย่างรวดเร็ว ส่วนสวีอันหรานก็ออกมากู้สถานการณ์
ในที่สุดห้องโถงขนาดใหญ่ที่สับสนอลหม่านนี่ก็สงบลงเสียที
สวีอันหรานรีบส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาล เมื่อเดินผ่านพวกเขาก็แสร้งเหยียบเข้าที่มือ ‘โดยไม่ได้ตั้งใจ’ อย่างสะใจ
ตำรวจมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อถึงเวลาให้ปากคำกลับไม่มีสักคนยอมพูดว่าคนที่ก่อเรื่องคือใคร
เพราะว่าต่างก็เป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง ตำรวจต่างก็ไม่กล้าทำให้ใครไม่พอใจ เห็นว่าไม่ทะเลาะกันแล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วรีบเก็บกองกำลังตำรวจกลับไปทันที
ความสัมพันธ์ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นแฟ้น ถึงจะแก้แค้นกันจนเป็นอันตรายถึงชีวิตก็ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของประเทศแน่นอน
มีความโกรธแค้นใดก็จะชำระแค้นกันโดยส่วนตัว ถ้ามาชำระแค้นกันข้างนอกต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
เหยียนเค่อสะบัดข้อมือที่บวมช้ำ มองดูคนกลุ่มนั้นที่ถูกหามออกไปก็รู้สึกสะใจ
พอตำรวจมา ซย่าเสี่ยวมั่วก็วิ่งกลับเข้ามา ตอนเดินผ่านหลี่หมิงฉวียังจงใจเหยียบมือที่มาโอบเอวเธออย่างแรงอีกด้วย
เหยียนเค่อได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลังก็หันไปมอง
“นายไม่เป็นไรนะ?” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เห็นข้อมือเขาจึงถามขึ้น
“ไม่เป็นไร” เหยียนเค่อเกร็งหลัง ไม่กล้าขยับมาก
ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะขอบคุณที่เขาล่มงานหมั้นของสวีรั่วชี จู่ๆ ก็ถูกเสิ่นจิ้งเฉินที่มาจากไหนไม่รู้ขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
“ทำไมนายวู่วามแบบนี้วะ!” เสิ่นจิ้งเฉินถลาเข้าไปชกเหยียนเค่อเข้าหนึ่งทีอย่างเดือดดาล แต่ถูก
ฉินซื่อหลานห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไอ้รองบาดเจ็บอยู่ จะทำอะไรก็ดูหน่อย”
“แม่งเอ๊ย ใครกันแน่ที่ไม่ดูให้ดีน่ะฮะ ไปทำให้พวกนั้นเจ็บตัวขนาดนั้น ถ้าเป็นไอ้ใหญ่ฉันก็จะทนหรอกนะ แต่คนที่ไม่เหมาะสมจะทำแบบนี้อย่างนายคิดจะหาเรื่องหรือไง!” เสิ่นจิ้งเฉินปวดกบาล คุยกันดิบดีแล้วแท้ๆ ว่าออกไปก่อนค่อยคิดบัญชี…
ต่อให้ไอ้สารเลวฉู่อวิ๋นนั่นมาสาย แต่พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำร้ายอีกฝ่ายนี่นา
เหยียนเค่อเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉันไม่ได้เริ่มก่อนสักหน่อย หลี่หมิงฉวีดึงตัวฉันก่อน อีกฝ่ายจงใจยั่วโมโห แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”
เซ่าหมิงฟ่านที่เพิ่งไปลบคลิปวิดีโอแล้วกลับมาดูเรื่องสนุกถึงกับกระอักเลือด
“จริงหรือเปล่า” เสิ่นจิ้งเฉินถามเซ่าหมิงฟ่านอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เซ่าหมิงฟ่านพยักหน้าอย่างเอือมระอา “จริง” หลี่หมิงฉวีดึงตัวเหยียนเค่อไว้ก่อนจริงๆ แต่ยั่วยุหรือเปล่านั้นไม่มีใครรู้
ซย่าเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่บนโซฟาถูกทุกคนละเลย ทำได้เพียงจัดระเบียบความสัมพันธ์ของพวกเขาเงียบๆ
สวีอันหรานเห็นซย่าเสี่ยวมั่ว ก็เดินเข้ามาตบบ่าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เธอไปหาเสี่ยวชีเถอะ อยู่ที่นี่เดี๋ยวโดนลูกหลง”
เสิ่นจิ้งเฉินเพิ่งจะเห็นเธอ จึงรีบร้อนเข้ามาถาม “ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”
“ไม่ค่ะๆ” เธอโบกมือ ดึงแขนเสื้อเสิ่นจิ้งเฉินไว้ อาศัยจังหวะนี้พูดฟ้องขึ้น “ฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องขอ
งหลี่หมิงฉวีเหมือนกัน แถมวันนี้เขายังมาลูบมาคลำฉันด้วย!”
ในยามนี้ถ้าไม่หาที่พึ่งก็ไม่มีเวลาที่เหมาะสมแล้ว
เสิ่นจิ้งเฉินได้ยินแล้วก็โมโห กำหมัดแน่นจนข้อต่อนิ้วลั่นดัง กร๊อบ “ฉันเข้าใจแล้ว เธอรีบไปอยู่กับสวีรั่วชีเถอะ”
“อืม”