ตอนที่ 249 ออกห่าง
ซย่าเสี่ยวมั่วที่เขียนรายงานเสร็จแล้วพ่นลมหายใจออกมา จู่ๆ ก็นึกไปถึงภาพทิศทางแนวโน้มต่างๆ บนหน้าจอคอมพ์ที่เมื่อก่อนวางอยู่ในห้องของเหยียนเค่อ ก่อนจะนั่งพิงพนักเก้าอี้แล้วเหม่อลอย
เธอยังไม่รู้เลยว่าเหยียนเค่อทำอาชีพอะไรกันแน่ แต่ในเมื่อเขากับเสิ่นจิ้งเฉินรู้จักกัน ก็คงมีหน้าที่การงานที่ดีอยู่ล่ะมั้ง
เธอพองลมเต็มแก้ม ยกข้อมือขึ้นส่ายไปมา เพชรที่มุมและด้านแบ่งแยกกันชัดเจนสะท้อนเป็นแสงเจ็ดสีขนาดเล็ก
ดังนั้นเสียงเด็กน้อยน่ารักก็ดังขึ้น ซย่าเสี่ยวมั่วคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้ามาก็ขบฟัน แล้วฉีกยิ้มน่าสะพรึงกลัว
“สวัสดีค่ะ คุณสวี สอบถามปัญหากดหนึ่ง ปรึกษาปัญหาหัวใจกดสอง บอกเล่าข่าวสารกดสาม”
เป็นครั้งแรกที่สวีรั่วชีโดนซย่าเสี่ยวมั่วจับจุดอ่อนได้ รู้ว่าตัวเองผิด จึงให้ซย่าเสี่ยวมั่วได้ลำพองใจเสียหน่อย
“ทำตัวปกติหน่อย” เสียงของหญิงสาวไม่มีการเอาอกเอาใจและความรู้สึกผิดเลยสักนิด
ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินก็ไม่ยอม “ยายผู้หญิงใจจืดใจดำ ฉันขอแช่งให้เธอขายไม่ออก!”
สวีรั่วชีปวดใจ “เธอเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย พูดให้มันดีๆ หน่อย!”
ก็ได้…ซย่าเสี่ยวมั่วยอมแพ้ กลับเป็นปกติ “โทรมาหาฉันมีอะไร”
“ฉันไปหาเธอที่บ้านทำไมไม่มีใครอยู่ล่ะ”
“เธอจำประตูหน้าบ้านฉันได้ด้วยหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เหยียนเค่อเดินลงมาจากด้านบนก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วที่อยู่ด้านล่าง จึงเบรกเท้าตัวเองได้ทันพอดี
ซย่าเสี่ยวมั่วปิดประตูห้องทำงานแล้วลงไปกินข้าวข้างล่าง
“ทำตัวปกติหน่อยได้ไหม ฉันไม่ได้เป็นเลสเบี้ยนนะ” สวีรั่วชีเอ่ยเตือน
“ก่อนหน้านี้ที่เธอไปแอฟริกาได้รับอะไรกลับมาบ้างไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วถามประเด็นที่เธอค่อนข้างสนใจ
สวีรั่วชีนั่งลงบนโซฟาบ้านของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วเก็บกวาดของให้เธอ ลองตั้งใจคิดดูแล้วจึงตอบ “ไม่ได้อะไรเลย ฉันต้องเจอกับคนไข้และไวรัสเยอะมาก ดังนั้นเธอคิดว่า…”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนใจเรื่องไวรัสสักกะนิด
“ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่ฮุยเถิง ถ้าว่างเมื่อไรมาหาฉันได้นะ”
สวีรั่วชีได้ยินชื่ออันคุ้นเคยนี้แล้ว สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือชื่อของเหยียนเค่อ ส่ายหัวอย่างเอือมระอา คุณชายเหยียนก็มีวันที่ต้องมัดมือชกเพื่อได้อยู่ใกล้ชิดคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว เย็นนี้รีบกลับบ้านด้วยล่ะ”
“เข้าใจแล้ว แม่นางเถียนหลัว[1]ที่รัก” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินเข้าลิฟต์แล้วเอ่ยลาสวีรั่วชี
เหยียนเค่อมองแผ่นหลังของเธอลับหายไปจากด้านบนตึกก็จิตใจห่อเ**่ยว รู้สึกว่าตัวเองสนใจซย่าเสี่ยวมั่วมากเกินไป และผลที่ตามมาก็คือความรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจนที่เขามีต่อซย่าเสี่ยวมั่วก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าได้อยู่ห่างจากซย่าเสี่ยวมั่วแล้วอาการจะดีขึ้นสักหน่อยไหมนะ…
เขาเริ่มคิดแผนการยกระดับสภาพจิตใจให้ตัวเอง คิดคำนวณว่าจะไปเมืองหลวงกับเสิ่นจิ้งเฉิน จะได้ถือโอกาสขยายกิจการด้วยเลย บางทีอาจจะได้ใช้โอกาสนี้เพื่อลืมซย่าเสี่ยวมั่วก็ได้
ซย่าเสี่ยวมั่วและอันหร่านกินข้าวด้วยกันในร้านอาหารใต้บริษัท
“อาหารของฮุยเถิงเยี่ยมไปเลย” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดชมหมูพะโล้ของที่นี่ไม่หยุดปาก
อันหร่านพยักหน้า “แต่ก็แพงอะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพูด เหลือบไปเห็นคนที่นั่งถัดไปจากอันหร่านสองที่นั่งก็ปิดปากไม่ส่งเสียงอีก
อันหร่านมองผู้หญิงที่นั่งลงข้างๆ ปราดหนึ่งอย่างเหนื่อยหน่าย ก้มหน้าลงกินข้าวต่อเช่นกัน
“คนที่โดนบอสใหญ่**ก็มากินข้าวที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย เห็นได้ยากจริงๆ” เสียงของเซียวอู๋อี้ไม่ดังนักแต่ก็เพียงพอให้คนรอบด้านได้ยิน เขาหยิบตะเกียบแล้วเปิดกล่องอาหารอย่างเชื่องช้า
อันหร่านได้ยินคำพูดนี้ก็มองซย่าเสี่ยวมั่วปราดหนึ่งอย่างหวั่นเกรง ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าเซียวอู๋อี้กำลังพูดอะไรอยู่ จึงไม่ได้สนใจ
“แอ๊บไปเถอะ อยากรู้นักว่าจะแอ๊บไปได้นานแค่ไหน” เซียวอู๋อี้มองซย่าเสี่ยวมั่วที่ยังคงนิ่งสงบแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยเจตนาร้าย
“ตอนกินข้าวไม่พูดคุย ตอนนอนไม่ส่งเสียงรบกวนคนอื่น เรื่องแค่นี้ก็ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วเงยหน้ามองเขาปราดหนึ่ง สายตาเฉียบคมประดุจมีด
เซียวอู๋อี้ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “คงเทียบไม่ได้กับคุณซย่าที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากบอสใหญ่หรอกค่ะ”
——
[1] แม่นางเถียนหลัว ตัวละครในเรื่องเล่าพื้นบ้านของชาวฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน เป็นหญิงสาวที่ขยันขันแข็งและจิตใจดี
ตอนที่ 250 จำได้ไม่รู้ลืม
ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเขาแล้วก็รู้สึกคลื่นไส้ ปิดฝากล่องข้าวก่อนจะหันตัวเดินหนี “น่าขยะแขยงเหมือนแมลงวันจริงๆ”
อันหร่านกลัวว่าตัวเองจะโป๊ะแตกก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ซย่าเสี่ยวมั่วถือกล่องข้าวเดินหนี เธอจึงรีบเดินตามไป
“วันนี้เซียวอู๋อี้น้ำเข้าสมองหรือไงนะ น้ำเปล่าหรือว่าน้ำยาฆ่าเชื้อล่ะ! ทำไมปากไม่โดนฆ่าเชื้อไปด้วยนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนปวดท้อง ได้ยินเสียงแปลกๆ นั่นก็ยิ่งเดือดดาลไปกันใหญ่
“เธอใจเย็นๆ ก่อนนะ” อันหร่านลูบไหล่เธอด้วยสีหน้าลังเล นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ายายเซียวอู๋อี้นั่นไปรู้ตัวตนของเหยียนเค่อได้อย่างไร
เหยียนเค่อกำลังนั่งกินอาหารพิเศษสำหรับตัวเองอยู่ในร้านอาหารของตนอยู่ และไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่นึกถึงรสมือของซย่าเสี่ยวมั่ว
“พวกคุณมานั่งกินด้วยกันสิครับ” เหยียนเค่อกวักมือเรียกบอดี้การ์ดที่ยืนเรียงรายกันและผู้ช่วยมือซ้ายมือขวาของตนอีกสองสามคน
ผู้ช่วยสองสามคนนั่งลงตรงข้ามเขา แต่ไม่มีใครกล้านั่งตรงกับเขาพอดีเลยสักคน
“ผมหน้าแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ทำไมไม่มีใครอยากนั่งตรงข้ามผมเลย” เหยียนเค่อเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
บอดี้การ์ดที่กำลังจะนั่งลงทำได้เพียงเดินมานั่งตรงข้ามกับเหยียนเค่อ
เหยียนเค่อมองชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หน้าโหดปราดหนึ่งก่อนจะรู้สึกหนาววาบจนตัวสั่น หยิบกล่องข้าวตัวเองแล้วขยับที่ ปากก็บ่นอุบ “ไม่ไหวๆ คุณน่ากลัวเกินไป”
บอดี้การ์ดที่โดนรังเกียจนั่งอยู่ที่เดิม อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ผมยังไม่รังเกียจคุณเลย ทำไมคุณถึงทำร้ายจิตใจกันแบบนี้
ผู้ช่วยต่างก็ลอบกลั้นหัวเราะ จับตะเกียบแล้วกินข้าวด้วยกันกับเหยียนเค่อ
“พวกคุณมีความต้องการเกี่ยวกับอาหารของร้านอาหารเราไหมครับ” เหยียนเค่อกินข้าวเสร็จก่อน นั่งเฉยๆ จึงรู้สึกเบื่อ
ผู้ช่วยและบอดี้การ์ดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าควรจะเสนอความต้องการอะไร
เหยียนเค่อเห็นพวกเขาทำหน้างุนงง จึงเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ “พวกคุณคิดว่าอาหารของร้านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีมากเลยครับ” ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
เหยียนเค่อลูบคาง “ทำไมผมรู้สึกว่ามันขาดรสชาติของบ้านไป”
บอดี้การ์ดที่หน้าตาน่ากลัวและถูกเหยียนเค่อรังเกียจคนนั้นเกือบจะพ่นเม็ดข้าวออกมา
เหยียนเค่อคือเจ้านายที่ตลกที่สุดตั้งแต่เขาเคยทำงานมา เป็นหนึ่งเดียวและไม่มีคนอื่นเทียบได้
“พวกเราหลายคนเป็นโสดน่ะครับ ยังไม่เคยได้สัมผัสกับรสชาติของบ้าน” ผู้ช่วยคนหนึ่งพูดพลางทอดถอนใจ “แทบจะลืมรสชาติของอาหารที่แม่ทำแล้ว”
เหยียนเค่อพยักหน้า ตอนแม่ทำอาหารเขาก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเช่นกัน แต่ทำไมถึงเอาแต่คิดถึงรสมือของซย่าเสี่ยวมั่วกันนะ…
“พวกคุณมีใครชอบอาหารที่ผู้หญิงคนหนึ่งทำหรือเปล่า”
“ไม่เคยครับ”
“พวกเราจะมีลาภปากแบบนั้นได้อย่างไรล่ะครับ”
“สมัยนี้ผู้หญิงที่ทำอาหารเป็นมีไม่เยอะแล้วนะครับ”
เหล่าผู้ช่วยต่างก็พากันส่ายหัวทอดถอนใจ เป็นเชิงว่าพวกเขาไม่เคยได้สัมผัสกับมัน
เหยียนเค่อลูบคางอย่างหลงตัวเอง “ก็จริง คนโสดอย่างพวกคุณจะเคยได้สัมผัสกับมันได้อย่างไรล่ะเนอะ”
ทุกคนเห็นสีหน้าเบิกบานใจของเขา ก็ปิดปากแล้วกินข้าวต่ออย่างเงียบเชียบ จู่ๆ ก็ได้เอาใจเจ้านายโดยไม่รู้ตัว เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์จริงๆ
“พวกคุณคงไม่ได้ไม่มีแฟนกันหมดหรอกนะ” เหยียนเค่อมองทุกคนที่นั่งเงียบ เป็นครั้งแรกที่เขาใส่ใจชีวิตส่วนตัวของลูกน้องตัวเอง
“เคยมีครับ แต่เลิกแล้ว” คนส่วนใหญ่ต่างก็พูดเช่นนี้
แต่ก็ยังมีคนที่น่าเศร้ายิ่งกว่า “งานยุ่งน่ะครับ เลยเลิกกัน”
“ผมเรียนจบก็เข้ามาทำงานที่ YAN จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงบนชั้นยี่สิบสองเลยครับ” ผู้ช่วยที่อายุน้อยที่สุดบอกเล่าทั้งน้ำตา
เหยียนเค่อมองดูลูกน้องที่ทั้งอ้างว้าง เศร้าโศก ทั้งบ่นว่า จึงรีบสะกดมุมปากที่หยัดขึ้นของตัวเองเอาไว้ “ตอนออกไปคุยเรื่องสัญญา พวกคุณก็ไปหาประสบการณ์ซะ ต่อไปผมจะอนุมัติให้ลางานไปนัดบอดนะ”
เป็นครั้งแรกที่ผู้ช่วยได้สนทนากับเหยียนเค่อเป็นการส่วนตัว ต่างก็รู้สึกว่าเหยียนเค่อเป็นคนที่ไม่ถือตัวเลย เพียงแต่เปอร์เซ็นต์ที่เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกมีค่อนข้างมากก็เท่านั้น
“ขอบคุณครับบอส พวกเราจะรีบแต่งงานเร็วๆ นะครับ” เหล่าผู้ช่วยพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก