ตอนที่ 277 ทำร้ายกันและกัน
สวีอิ๋งอิ๋งถ่ายรูปสองสามใบในขณะที่เหยียนเค่อกำลังนั่งโอบสาวสวยอยู่ ก่อนจะส่งรูปนั้นไปให้
เหยียนเฟิง ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลไปนิด และบรรยากาศมืดไปหน่อย แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดแล้วก็สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเหยียนเค่อ
ถึงแม้ว่าสวีอิ๋งอิ๋งจะไม่ชอบเหยียนเค่อ แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายของตนในนาม แต่ตอนนี้กลับมากอดโอบผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเขา สวีอิ๋งอิ๋งรับไม่ได้จริงๆ
เมื่อเหยียนเฟิงเห็นรูปแล้วก็ตอบกลับ [มีแค่พ่อกับแม่เท่านั้นที่จะแก้ไขได้]
สวีอิ๋งอิ๋งกำโทรศัพท์แน่น มีแผนการในหัวเรียบร้อยแล้ว
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เหยียนเค่อจำต้องทำให้ถึงที่สุด
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาหาตนจึงเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นเหยียนเค่อ เธอไม่คิดว่า
เหยียนเค่อจะเลือกมาหาเรื่องกันตอนนี้ จึงก้มหน้าลงดูโทรศัพท์
เหยียนเค่อเองก็ไม่ได้มาหาเรื่องจริงๆ แต่เขามาหาคนปลอบใจ
ภาพด้านหน้ามืดลง ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกเหยียนเค่อโอบกอดไว้ซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องของเขา…
สวีอันหรานเห็นว่าสวีรั่วชีกำลั่งเหม่อลอย จึงมองตามสายตาของสวีรั่วชีไป จึงเห็นคนสองคนที่กำลังกอดกันอยู่โดยที่คนหนึ่งยืน อีกคนหนึ่งนั่ง
“เหยียนเค่อสารภาพรักแล้วเหรอ”
“คงงั้นมั้ง”
เสิ่นจิ้งเฉินเห็นการกระทำของเหยียนเค่อแล้วก็อยากไปลากตัวเหยียนเค่อออกมา ถ้าไอ้บ้าเหยียนเค่อนั่นถ้ากล้าดึงให้ซย่าเสี่ยวมั่วเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายของพวกตระกูลเหยียนละก็ เขาจะไม่ไว้ชีวิตมันแน่นอน!
ฉินซื่อหลานและเซ่าหมิงฟ่านที่ไม่เข้าใจสถานการณ์มาห้ามเขาเอาไว้ ก่อนจะเกลี้ยกล่อม “รื้อวัดวาอารามดีกว่าทำลายงานแต่ง นายก็เห็นดีเห็นงามกับพวกเขาเถอะน่า”
เสิ่นจิ้งเฉินขบฟันแน่น เขายินดีกับสองคนนี้มากกว่าใครทั้งนั้น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เห็น
“นายมีอะไรก็พูดมาดีๆ ไม่ได้หรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดเสียงอู้อี้ จมูกอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ บนตัวของเหยียนเค่อปะปนกับกลิ่นน้ำหอมที่ผู้หญิงอีกคนเหลือทิ้งเอาไว้
พอเธอโดนกอดเช่นนี้ ก็เอาโทรศัพท์กระแทกเข้าที่ขาอ่อนของเหยียนเค่อ เหยียนเค่อเองก็หมดคำจะพูด แสร้งทำเป็นโน้มตัวลงไปชิดใกล้ ถอยหลังหนึ่งก้าวถอยห่างจากโทรศัพท์ในมือของเธอ
“เธอเก็บมือกลับไปได้ไหม ท่าสวยๆ กลายเป็นน่าเกลียดเลยเนี่ย”
ซย่าเสี่ยวมั่วแสยะยิ้ม “นายน่าเกลียดอยู่แล้วต่างหากล่ะ ยังจะมาห่วงเรื่องนี้อีก แล้วก็นายช่วยปล่อยฉันสักทีได้ไหม อย่ามาทำตัวรุ่มร่ามนะ”
“ฉันไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามสักหน่อย” เหยียนเค่อย้ายศีรษะที่แนบอยู่บนหน้าท้องมาไว้บนซี่โครงอก โน้มเอวลงครึ่งหนึ่งอย่างอดกลั้น “ช่วยฉันหน่อยสิ”
“อ๋อ มีเรื่องอะไรที่ฉันพอจะช่วยประธานเหยียนได้ด้วยเหรอคะ”
เหยียนเค่อไม่มีเหตุผล “อย่าพูดกระแนะกระแหนขนาดนี้ได้ไหม”
“ฉันไม่ได้กระแนะกระแหนสักหน่อย ฉันออกจะเพราะ”
ลมหายใจที่อบอุ่นบางเบาทะลุผ่านรอยแยกระหว่างกระดุมเสื้อเชิ้ตของเหยียนเค่อ ก่อนจะปะทะเข้ากับผิวของเขา จักจี้หัวใจเขาราวกับขนนกอันเบาหวิว
“เอาแต่**ฉัน” เหยียนเค่อพึมพำเสียงเบา ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินไม่ชัดจึงเงยหน้าขึ้นมองรูปปากของเหยียนเค่อ “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
เหยียนเค่อกดศีรษะเธอกลับไปตามเดิม “อยู่เฉยๆ” เดิมทีเขาก็ไม่อยากให้เธอได้ยินอยู่แล้ว จะพูดอีกครั้งได้อย่างไรเล่า
ซย่าเสี่ยวมั่วเก็บความสงสัยไว้ในใจ “นายคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ตอนฉินซื่อหลานกอดไม่เห็นเธอจะถามมากแบบนี้เลย” ตอนแรกเหยียนเค่อก็อยากจะอธิบายให้เธอฟังดีๆ ให้เธอช่วยอยู่หรอก แต่สุดท้ายพอคุยกับซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็ทำมันพังเสียหมด คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาไว้ก่อนเลย
ซย่าเสี่ยวมั่วฟังจบก็อารมณ์ขึ้น “นายเทียบกับฉินซื่อหลานได้ด้วยเหรอ นายจะบอกว่าถ้ามีใครมากอดฉันแล้วฉันจะยอมหมดทุกคนงั้นเหรอ”
“แต่เธอก็ยอมหมดทุกคนไม่ใช่หรือไง”
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนเขาพูดใส่ราวกับหัวใจโดนเข็มทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น ความโมโหปะทุขึ้น “ต่อให้ฉันจะยอมหมดทุกคนก็เถอะ แต่หนึ่งในนั้นไม่รวมนายเอาไว้ด้วย”
ตอนที่ 278 เสมอกัน
ซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะหลุดออกจากการกักขังของเหยียนเค่อ แต่ใบหน้า ลำคอและบ่าไหล่ต่างถูกเขากดไว้ทั้งหมด และเนื่องด้วยท่าทางที่นั่งอยู่นั้น ทำให้มือไม่มีที่ยึดเกาะไว้ แต่ก็ดันหน้าท้องและขาของ
เหยียนเค่อออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งตัวเกร็งด้วยท่าทางแปลกๆ อยู่อย่างนั้น
เหยียนเค่อฟังคำพูดของเธอแล้วก็ออกแรงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว กดจนซย่าเสี่ยวมั่วเจ็บปวดที่บ่า
“ปล่อยฉันเถอะ อ้อมกอดของประธานเหยียนนี่มันโหดเ**้ยมเหมือนตัวนายเลยจริงๆ”
“แต่อ้อมกอดของฉันมีค่ากว่าของคนอื่นนะ เธอควรจะรู้สึกเป็นเกียรติ”
“งั้นนายก็ไปกอดคนอื่นเถอะ ฉันรับมันไม่ไหวหรอก” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม และก็ไม่สนใจภาพลักษณ์อีกต่อไป จะพลิกมือกลับมาแกะมือของเขาออก
แรงมือของซย่าเสี่ยวมั่วแค่นั้นทำอะไรเหยียนเค่อไม่ได้แม้แต่น้อย แต่กลับทำให้มือเหยียนเค่อรัดแน่นมากขึ้นไปอีก
“นายทำฉันเจ็บนะ!” ซย่าเสี่ยวมั่วร้องด้วยความเจ็บจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
เหยียนเค่อได้ยินเสียงเหมือนจะร้องไห้ของเธอ จึงรู้ตัวว่าตนออกแรงมากเกินไป มือขวาที่ออกแรงบีบหัวไหล่ของซย่าเสี่ยวมั่วไว้นั้น ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ฝ่ามือแม้แต่น้อย เงยหน้าขึ้นมองทางขึ้นลงบันไดที่ปราศจากคนแล้วจึงค่อยๆ คลายมือออก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เราเสมอกันแล้วนะ” ก่อนจะหันตัวกลับอย่างไร้เยื่อใย โบกมือให้กับกลุ่มคนที่ยืนดูเรื่องสนุกอีกฝั่งหนึ่ง “ฉันกลับก่อนล่ะ”
เมื่ออ้อมกอดอุ่นๆ เย็นๆ นั่นผละออกไป ซย่าเสี่ยวมั่วก็ลุกขึ้นยืน บีบนวดบ่าและไหล่ที่ปวดเมื่อย และไม่ได้หันกลับไปมองเงาของเหยียนเค่ออีก ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วเอ่ยขึ้น “เสมอบ้านนายสิ!”
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างก็ไม่ได้ยินว่าเหยียนเค่อพูดกับซย่าเสี่ยวมั่วว่าอย่างไร มีเพียงเสิ่นจิ้งเฉินที่รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี คนที่เหลือต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“สารภาพรักแต่โดนปฏิเสธ?”
“ก็เหมือนอยู่นะ แผ่นหลังที่เปล่าเปลี่ยวแบบนั้นน่ะ”
“ทำไมซย่าเสี่ยวมั่วปฏิเสธเขาล่ะ”
“…” เสิ่นจิ้งเฉินเอ่ย “พวกนายคิดมากไปแล้ว เขาน่าจะพูดไปหลายอย่าง แต่ต้องไม่ได้สารภาพรักแน่นอน”
พวกสวีอันหรานมองมาที่เขาอย่างสับสน ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงพูดเช่นนี้
เสิ่นจิ้งเฉินดูนาฬิกาข้อมือ “ดึกขนาดนี้แล้ว ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน กลับกันเถอะ”
“เดี๋ยวไปส่ง ยังไงซะพวกเราก็ว่างอยู่แล้ว”
ผู้ช่วยเอาสัมภาระของเสิ่นจิ้งเฉินไปโหลดไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากมาถึงสนามบินแล้วก็ยังกำชับ
ซย่าเสี่ยวมั่วอีกครั้งอย่างไม่วางใจ “เธอต้องระวังตัวนะ ไม่ต้องไปสนใจพวกผู้หญิงประหลาดพวกนั้น”
ถึงเหยียนเค่อไม่เผยให้ใครได้เห็นใบหน้าของซย่าเสี่ยวมั่ว แต่ก็กลัวว่าสวีอิ๋งอิ๋งจะสืบค้นจนเจอ
ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกำชับตนเช่นนี้ แต่ก็ยังรับคำอย่างเชื่อฟัง
เสิ่นจิ้งเฉินเปิดเผยให้สวีอันหรานรู้เพียงนิดเท่านั้น การที่สวีอิ๋งอิ๋งไม่ได้เข้าไปฉีกหน้าทันทีแสดงว่ายังมีแผนสำรองไว้ แต่คนของตระกูลสวีให้สวีอันหรานเป็นคนจัดการเองจะดีกว่า
เหยียนเค่อกลับไปที่คอนโดของตนเอง ไม่ได้กลับมานานแล้วแต่ก็จะเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน ทำให้ห้องพักยังสะอาดหมดจด…หมดจดจนไร้ซึ่งชีวิตชีวา
เขาคิดถึงกลิ่นอายในบ้านของซย่าเสี่ยวมั่ว พูดไม่ออกบอกไม่ถูกนัก แต่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่บ้าน
เขารับไม่ได้ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วจะตกเป็นของผู้ชายคนอื่น แค่คิดว่าต่อไปเธออาจจะแต่งงานกับผู้ชายสักคนที่เธอไม่รู้จัก ล้างมือแล้วทำอาหารและมีลูกให้กับผู้ชายคนอื่นแล้ว ตัวเขาก็ถูกโอบล้อมด้วยความหวาดกลัวจากความว่างเปล่านี้ ปวดหัวอย่างรุนแรงราวกับฝันร้าย
แต่ไหนแต่ไรเหยียนเค่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อน เขาพูดไม่ถูกและก็ไม่อยากทำความเข้าใจ เขากลัวว่าหลังจากที่สืบเสาะจนเข้าใจถ่องแท้แล้วจะควบคุมอารมณ์ของตนไม่ได้ไปมากกว่าเดิม บางทีเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีแล้ว
เหยียนเค่อบังคับให้ตัวเองเบี่ยงเบนจุดสนใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ให้ใครเห็นหน้าซย่าเสี่ยวมั่วแต่ก็ยังตามสืบได้ง่ายอยู่ดี แถมก่อนหน้านี้สวีอิ๋งอิ๋งก็เคยเจอซย่าเสี่ยวมั่วแล้วด้วย เขาต้องเตรียมการป้องกัน
สวีอิ๋งอิ๋ง จะมานั่งรอความหายนะเช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว