ตอนที่ 335 แต่งหน้าแต่งตัวประหลาด
เหยียนเค่อเมินเฉยต่อคำพูดที่เธอเอ่ยพึมพำกับตนเอง แล้วถามจุดหมายของเธออย่างสั่นกระชับได้ใจความ “โรงพยาบาลหรือว่าบ้าน”
“โรงพยาบาล” นิ้วมือของซย่าเสี่ยวมั่ววาดบริเวณหัวเข่าเป็นวงกลม จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเรียกรถแท็กซี่ไว้คันหนึ่ง แต่เธอกลับกับเหยียนเค่อไปแล้ว…
เธอรีบกลับไปยกเลิกการจองนั้น ด้วยความรู้สึกละอายใจต่อคนขับรถคนนั้นจึงแอบให้อั่งเปาไปสิบหยวน
เหยียนเค่อเห็นเธอควานหาโทรศัพท์ไปทั่วก็รู้ทันทีโดยไม่ต้องเดาว่า เธอต้องทำเรื่องโง่เง่าลงไปอีกแล้วแน่นอน
หัวเข่าของซย่าเสี่ยวมั่วเจ็บปวดจนจะตายอยู่แล้ว เหยียนเค่อไม่พูดกับเธอ ส่วนเธอเองก็พูดคนเดียวไม่ได้ ทำได้เพียงลูบหัวเข่าตัวเองเบาๆ
เหยียนเค่อเห็นเธอจิ้มโทรศัพท์แล้วสูดหายใจเข้าปากด้วยความเจ็บก็อดเอ่ยปากห้ามไม่ได้ “อย่าขยับสิ เดี๋ยวก็เจ็บซ้ำหรอก”
ซย่าเสี่ยวมั่วกัดริมฝีปาก มือแกะเกาเบาะนั่งหนังแท้ข้างๆ ตัว
เหยียนเค่อตัดสินใจทำตัวเองให้ใจเย็นลงสักครู่ จะใส่ใจและสนใจซย่าเสี่ยวมั่วเกินกว่าคำว่าเพื่อนต่างเพศไปไม่ได้แล้ว
เพราะไม่มีใครพูดกับซย่าเสี่ยวมั่ว เหยียนเค่อก็ไม่อนุญาตให้เธอขยับขาอีก ดังนั้นซย่าเสี่ยวมั่วที่ดิ้นไปดิ้นมาอยู่พักใหญ่ก็หลับไประหว่างทาง
เมื่อขับไปถึงโรงพยาบาลเอกชนของบ้านตระกูลฉิน ซย่าเสี่ยวมั่วยังคงหลับใหลไม่รู้เรื่องอยู่เช่นเดิม
เหยียนเค่อมองใบหน้างดงามยามหลับของเธอ หลังจากลังเลอยู่สักพัก ก็ยื่นมือออกไปเขย่าปลุกเธอ “ตื่นได้แล้ว”
“งืม” ซย่าเสี่ยวมั่วเอี้ยวตัวมา ลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าขาตัวเองเจ็บอยู่ แต่ความเจ็บแสบที่ทิ่มแทงเข้าไปในเส้นประสาททำให้เธอตื่นขึ้นในฉับพลัน ยืดเอวจะจับหัวเข่าของตนด้วยท่าทางแปลกประหลาด และสีหน้าที่เหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง
เหยียนเค่อดึงมือเธอไว้ “ถึงแล้ว”
ซย่าเสี่ยวมั่วนอนหมดสภาพอยู่บนเบาะรถ รู้สึกเหมือนเธอจะพิการแล้ว “เจ็บอะ!”
“ให้ฉันไปเรียกเปลให้มายกเธอเข้าไปไหม” เหยียนเค่อแค่พูดเล่น ใครจะไปรู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะพยักหน้ารัวๆ “อือๆๆ”
เหยียนเค่อพยักหน้าอย่างเอือมระอาแล้วโทรศัพท์หาฉินซื่อหลาน “เรียกเปลหามออกมาหน่อย”
ฉินซื่อหลานได้ยินคำขอนี้ก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก “นายเป็นอัมพาตไปทั้งตัวแล้วหรือไง ทำไมถึงต้องใช้เปลหาม”
“ซย่าเสี่ยวมั่วขาเจ็บ ตอนนี้อยู่บนรถฉัน”
ฉินซื่อหลานส่งคนสองคนไปยกซย่าเสี่ยวมั่วขึ้นมาตามคำขอ
“ฉันไม่ขึ้นไปแล้วกันนะ” เหยียนเค่อเห็นคนสองคนในชุดกาวน์สีขาวเดินออกมาจากประตูใหญ่ผ่านทางกระจกรถแล้วจับเสื้อเชิ้ตบนตัวของซย่าเสี่ยวมั่ว “อย่าลืมซักเสื้อเชิ้ตแล้วส่งมาคืนฉันด้วยนะ”
“…” คนป่วยที่โดนทำร้ายจิตใจไม่หยุดทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ
หลังจากที่ซย่าเสี่ยวมั่วถูกยกขึ้นเปลหามแล้วยังคงนั่งอยู่ด้านบนอยู่ เป็นครั้งแรกที่คนของโรงพยาบาลเห็นคนที่ไม่นอนบนเปลหามแต่กลับนั่งเหมือนนั่งเกี้ยว
ฉินซื่อหลานมองซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกยกเข้ามาด้านในอย่างหมดคำพูด “เธอเจ็บตรงไหน เหยียนเค่อล่ะ?”
“เขากลับไปแล้ว ฉันหกล้มเข่ากระแทกพื้นน่ะ”
ฉินซื่อหลานหยิบมีดผ่าตัดกับกรรไกรขึ้นมาจะตัดขากางเกงให้เธอ แต่ทำเอาซย่าเสี่ยวมั่วสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไป “อย่ามาจับกางเกงฉันนะ!”
“กางเกงตัวนี้ของเธอเหรอ ทำไมวันนี้เธอแต่งตัวเท่จังล่ะหืม” ฉินซื่อหลานหยุดมือ แล้วพับขากางเกงขึ้นไปให้เธอ
ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจออกมาเงียบๆ “ไม่ใช่ของฉันหรอก ฉันกับเหยียนเค่อตกน้ำน่ะ แล้วเขาเอามาให้”
“เหยียนเค่อตกน้ำเหรอ?” ฉินซื่อหลานสวมถุงมือ แล้วค่อยๆ กดกระดูกเข่าของซย่าเสี่ยวมั่ว ไม่มีส่วนไหนที่หักหรือว่าแตกละเอียด เพียงแต่เลือดออกในเนื้อเยื่อและหลอดเลือดฝอยโดนทำร้ายก็เท่านั้น “เขาไข้ขึ้นแล้วยังมาเที่ยวกับเธอแบบไม่ห่วงชีวิตเลยเหรอ”
“หืม?” ในตอนแรกซย่าเสี่ยวมั่วมัวแต่สนใจขาของตัวเอง ได้ยินฉินซื่อหลานบอกว่าเหยียนเค่อเป็นไข้จึงจะรู้สึกตัว แล้วรู้สึกผิดขึ้นมา เหยียนเค่อเป็นไข้จริง แถมเมื่อกี้ยังโดนน้ำเย็นๆ สาดใส่อีก ไม่รู้ว่าไข้จะขึ้นอีกไหมนะ
ตอนที่ 336 ชีวิตปลอดภัย
“เธอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ทายาก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปเรียกเสี่ยวฝูเอ๋อร์มา” ฉินซื่อหลานยื่นยาขวดหนึ่งให้ซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วมองขวดกระเบื้องลายครามอย่างสงสัย สมัยนี้ยังมีใครใช้ยาขวดแบบนี้อยู่อีกเหรอ
ฉินซื่อหลานนึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วไม่ไว้วางใจในผลลัพธ์ของยานี้ จึงตบอกรับประกัน “ยานี้
เหยียนเค่อลองใช้มาแล้ว รับประกันเรื่องผลลัพธ์ได้”
ที่แท้เหยียนเค่อเป็นหนูทดลองเหรอเนี่ย ซย่าเสี่ยวมั่วเปิดออกแล้วลองดมดู มีเพียงกลิ่นจางๆ เท่านั้น เป็นกลิ่นหอมสดชื่นของพืชสมุนไพร
ในขณะที่รอเสี่ยวฝูเอ๋อร์ ซย่าเสี่ยวมั่วเพิ่งนึกขึ้นได้จึงถามฉินซื่อหลาน “เสี่ยวฝูเอ๋อร์คือใครเหรอ”
“น้องสาวน่ะ”
“อ๋อ ฉินฝูเหรอ?” ซย่าเสี่ยวมั่วทึกทักเอาเอง
ฉินซื่อหลานก็ไม่ได้แก้ให้ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลี่หมิงฉวีบาดเจ็บที่ขา เธอก็ด้วยเหมือนกัน พวกเธอสองคนทำไมถึงมีวาสนาต่อกันอย่างนี้นะ”
“เขาเจ็บที่กระดูก แต่ฉันเจ็บที่เนื้อ!” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับหลี่หมิงฉวีสักหน่อย
“เหยียนเค่อเจ็บที่เนื้อ เธอก็เจ็บที่เนื้อ งั้นพวกเธอสองคนก็มีวาสนาต่อกันน่ะสิ” ฉินซื่อหลานรอให้เธอติดกับอยู่นี่แหละ
ซย่าเสี่ยวมั่วกุมหน้า “ฉันเจ็บที่ขา!”
“แล้วเธออยากเจ็บขาหรือเจ็บเนื้อล่ะ”
“ฉันเจ็บเนื้อที่ขา!” ซย่าเสี่ยวมั่วชี้ไปที่หัวเข่าที่บวมช้ำกลายเป็นสีเขียวม่วง “น้องสาวนายจะมาเมื่อไรเนี่ย”
“ใกล้แล้วล่ะ” ฉินซื่อหลานกลัวใครบางคนไล่ฆ่า ไม่กล้าทายาให้ซย่าเสี่ยวมั่วจึงต้องรอให้
เสี่ยวฝูเอ๋อร์มา “เขาอยู่มอหกน่ะ ลาหยุดมันจะยุ่งยากหน่อยๆ”
“ฝีมือนายไหวหรือเปล่าเนี่ย แค่ทายายังต้องให้เด็กน้อยมาทำแทน”
“ถึงแม้ว่าแพทย์ควรจะช่วยเหลือคนโดยไม่คำนึงถึงความสูงต่ำรวยจนและเพศสภาพ แม้กระทั่งต้องมีจริยธรรมในตอนช่วยเหลือคน แต่บางครั้งก็ต้องระวังตัวหน่อยถ้าอยากมีชีวิตที่ปลอดภัยน่ะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วฟังไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยสรุปอย่างมึนงง “นายกลัวตายว่างั้น”
ฉินซื่อหลานที่กำลังเขียนประกาศประชุมมือสั่นเล็กน้อย ความสามารถในการสรุปของซย่าเสี่ยวมั่วนี่ประหลาดเหนือมนุษย์ทั่วไปจริงๆ…
เมื่อเสี่ยวฝูเอ๋อร์มาถึง ซย่าเสี่ยวมั่วก็หลับไปแล้ว
“เขาเป็นใครคะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ถามฉินซื่อหลานเสียงเบา
ห้องทำงานของฉินซื่อหลานนั้นคนทั่วไปจะเข้ามาไม่ได้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับถูกคนใช้เปลหามเข้ามานั่งตรงโต๊ะตัวเล็ก
“อะแฮ่ม” ฉินซื่อหลานก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร “พี่สาวคนหนึ่งน่ะ เธอช่วยทายาให้เขาหน่อย”
“อ๋อ ฝีมือพี่สู้ฉันไม่ได้ว่างั้น?”
ฉินซื่อหลานปวดหัว ทำไมความคิดของผู้หญิงสมัยนี้มันน่าโมโหนักนะ เขาจำใจพยักหน้า ก็ดีกว่าบอกเขาว่าตนกลัวตายล่ะนะ
“ปลุกพี่สาวคนนี้ให้ตื่นดีไหม”
“ให้เขานอนดีกว่าไหม” อย่างไรเสียฉินซื่อหลานก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ดึงผ้าห่มผืนบางที่ร่นตกไปอยู่ที่ลำตัวของซย่าเสี่ยวมั่ว เมื่อกี้เหยียนเค่อโทรมาหาถามไถ่อาการ บอกว่าตอนซย่าเสี่ยวมั่วหลับอย่าไปปลุกเขาตื่นเด็ดขาด เพราะจะส่งเสียกโหวกเหวกหนวกหูได้…
เสี่ยวฝูเอ๋อร์สับสนในใจ นี่คงไม่ใช่แฟนของฉินซื่อหลานหรอกนะ ท่าทางเหมือนห่วงใยกันมากเลย
ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินซื่อหลานยื่นมือไปตบบ่าเสี่ยวฝูเอ๋อร์ “คิดอะไรอยู่”
“เปล่าค่ะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ออกจากภวังค์แล้ววางกระเป๋านักเรียนลง “ฉันว่าพี่คนนี้ก็ดีนะคะ”
ฉินซื่อหลานรับกระเป๋าเธอไว้แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ฉันก็ว่าไม่เลวเหมือนกัน” แต่น่าเสียดาย มีบางคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าเป็นได้แค่เพื่อน
“พี่ชอบเขาเหรอ” เธอโพล่งประโยคนั้นออกมาโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ทั้งคาดหวังและกลัวไปในขณะเดียวกัน
ฉินซื่อหลานกลับไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของเธอนั้นสื่อความหมายอะไรนอกเหนือไปจากนั้น จึงพยักหน้าอย่างสัตย์จริง “ฉันชอบเขามากเลยล่ะ” ความชอบนี้เป็นความชอบที่มีต่อนิสัยของซย่าเสี่ยวมั่วในฐานะเพื่อนที่เขาชื่นชมและมีความชอบที่เหมือนกัน แต่ในความเข้าใจของเสี่ยวฝูเอ๋อร์นั้น ความหมายกลับผิดเพี้ยนไป
“อ๋อ ฉันก็ชอบเหมือนกันค่ะ สวยมากเลย”
“ก็พอได้” ฉินซื่อหลานไม่รู้ว่าทำไมตนต้องมาคุยเรื่องซย่าเสี่ยวมั่วกับเสี่ยวฝูเอ๋อร์ที่นี่ด้วย รู้สึกว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ “เธอไปทำการบ้านเถอะ รอให้เขาตื่นค่อยทายาให้เขา”
“ค่ะ”