ตอนที่ 341 ซักจนผ้าพัง
ห้องพักผู้ป่วยถึงจะแพงแค่ไหนก็ไม่สบายเท่านอนที่บ้าน นี่เป็นคำแรกที่ผุดเข้ามาในหัวของ
ซย่าเสี่ยวมั่วหลังจากตื่นนอน
ฉินซื่อหลานมาเฝ้าเธอในห้องพักตั้งแต่เช้าตรู่ที่เข้ามาทำงาน เมื่อเงยหน้ามองนาฬิกาก็เห็นดวงตาที่ค้างนิ่งเหม่อลอยของซย่าเสี่ยวมั่ว จึงถามอย่างสงสัย “คิดอะไรอยู่เหรอ”
“ฉันคิดว่านอนที่นี่วันหนึ่ง สู้ไปซื้อเตียงแล้วนอนข้างถนนดีกว่า”
ฉินซื่อหลานรู้สึกว่าเตียงนี้ก็คุณภาพไม่เลวนี่นา “ถ้าเตียงมันนิ่มเกินไป จะไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วยกระดูกและปวดหลัง ทางที่ดีนอนเตียงแข็งๆ จะดีกว่า”
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าตนนอนจนไหล่เจ็บก้นระบมไปหมดแล้ว “ฉันนอนแล้วปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไม่เห็นรู้สึกถึงผลลัพธ์ที่นายพูดถึงเลย”
“น่าจะเพราะว่าเธอเนื้อเยอะเกินไปมั้ง”
ความจริงทุกครั้งที่เหยียนเค่อเข้าโรงพยาบาลก็จะเอาอุปกรณ์ของตัวเองมาด้วย ปกติแล้วเตียงนี้จะถูกปูซ้อนด้วยเบาะสี่ห้าชั้น และก็ไม่เคยพูดว่าเตียงนี้ไม่ดีเหมือนกัน ดังนั้นฉินซื่อหลานจึงละเลยสภาพที่แท้จริงของที่นอนของซย่าเสี่ยวมั่วไป
“ฉันต้องมีกระดูกเยอะสินะถึงเจ็บไปทั้งตัวแบบนี้น่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนใจความจริงที่ว่าตนอ้วนขึ้นมาห้ากิโลกรัม
“เดี๋ยววันนี้จะเอาเบาะมาเพิ่มให้อีกสองสามชั้นแล้วกัน” ฉินซื่อหลานยังนับว่ามีจิตสำนึกอยู่ ถึงยื่นมือเข้ามาช่วย
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าถึงแม้ขาของตนจะบวมปูดเป็นลูกหมั่นโถวแถมยังทั้งแข็งทั้งหนัก แต่ไม่ได้เจ็บปวดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“หากะละมังมาให้ฉันสองใบได้ไหม ฉันจะซักผ้า”
ฉินซื่อหลานหยิบเสื้อผ้าสองชุดที่วางกองไว้อยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงขึ้นมา สัญลักษณ์ด้านบนเป็นแบรนด์ชื่อดังแบรนด์หนึ่งของอิตาลี “เธอจะซักมือเหรอ มันจะยับไหม”
“อันนี้มันผ้าไหมจริงหรือเปล่า” ซย่าเสี่ยวมั่วแยกไม่ออก “คงไม่ยับหรอก อะไรจะอ่อนแอขนาดนั้น!”
“ครับๆๆ เอาที่เธอสบายใจ” ฉินซื่อหลานให้คนไปยกกะละมังมาให้ และยังเอาวีลแชร์มาให้ตามคำขอของซย่าเสี่ยวมั่วด้วย “เธออย่าไปเพ่นพ่านข้างนอกนะ ระวังไปโดนผู้ป่วยคนอื่น มีผู้สูงอายุเยอะ…”
ฉินซื่อหลานพูดอ้อมแอ้ม แต่ซย่าเสี่ยวมั่วก็รับรู้ได้ จึงพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ไม่ออกไปนอกห้องหรอก”
“อืม ไม่ก่อความวุ่นวายให้ฉันก็พอ” ฉินซื่อหลานไม่ได้คาดหวังอะไรกับเธอมาก เพียงแต่ไม่หาเรื่องให้เขาก็พอแล้ว
จากที่เขียนไว้ เสื้อผ้าสองตัวนี้สามารถซักมือได้ แต่เพราะความเบื่อของซย่าเสี่ยวมั่ว จึงนั่งซักผ้าสองตัวนี้ทั้งวัน แช่เสื้อเชิ้ตของเหยียนเค่อจนผ้าแทบจะพังอยู่แล้ว กางเกงก็ขยี้ซ้ำๆ จนมีด้ายหลุดออกมา กระทั่งเธอเอาผ้ามาตากด้านนอกจึงเห็นปัญหานี้ ก่อนจะร้องห่มร้องไห้ปรี่ไปขอความช่วยเหลือจากฉินซื่อหลาน
ฉินซื่อหลานมองเสื้อผ้าสองตัวที่แห้งหมาดๆ เสื้อเชิ้ตถูกซักจนดูเก่า ส่วนกางเกงไม่ต้องพูดถึง เห็นแล้วรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก “ทำไมเธอถึงอยู่ไม่สุขซะเลยนะ” ถ้าเหยียนเค่อเห็นละก็…คงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลยล่ะมั้ง
“เดี๋ยวฉันหาโทรศัพท์ร้านนั้นให้ เธอซื้อใช้เหยียนเค่อสักตัวแล้วกัน”
“ทำไมเหยียนเค่อถึงงกขนาดนี้!” ซย่าเสี่ยวมั่วดึงขากางเกงสองข้างแล้วโอดครวญ “เมื่อก่อนไม่เห็นงกเลย บริษัทเขาล้มละลายหรือเปล่า”
“เอิ่ม” เธอไม่ต้องแช่งเขาแบบนี้ก็ได้ม้าง ฉินซื่อหลานส่งข้อมูลร้านไปให้เขา ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก “เสื้อผ้าตัวนี้…เหมือนว่า…เหมือนจะ…หยุดผลิตไปแล้ว”
“หยุดผลิตไปแล้ว?” ซย่าเสี่ยวมั่วรับไม่ได้ ตอนนี้เธอยอมจ่ายเงินซื้อดีกว่าให้เหยียนเค่อมายืนหน้านิ่งเย็นชาตรงหน้าเธอ “เขาจะเอาเสื้อผ้าที่หยุดผลิตไปแล้วมาไว้ในรถแล้วเอาให้ฉันใส่ทำไม!”
เหยียนเค่อคงอยากจะเก็บชุดที่ซย่าเสี่ยวมั่วเคยใส่ไว้ให้คิดถึงกระมัง ใครจะไปรู้ว่าเธอจะซักจนผ้าพังไปหมด ฉินซื่อหลานเองก็รู้สึกจนปัญญาที่เหยียนเค่อต้องมาเจอผู้หญิงแบบนี้ แต่เหยียนเค่อใส่เสื้อผ้าดูแค่ความสบายเท่านั้น ไม่สนใจกับปัจจัยอื่น
“งั้นเธอไปซื้อของก็อปไหมล่ะ อย่างน้อยไม่ให้เหยียนเค่อใส่แล้วระคายผิวก็ใช้ได้แล้ว”
ตอนที่ 342 เก็บความลับ
“สิ่งที่นายเสนอมาง่ายกว่าให้ฉันไปหาเสื้อผ้าที่เลิกผลิตไปแล้วก็จริงนะ แต่ให้เหยียนเค่อใส่แล้วผิวไม่ระคายเคืองนี่ยากนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วอยากเอาขากางเกงมาพันคอตาย “ฉันไปสั่งทำให้เขาตัวหนึ่งที่เหมือนกันได้ไหมอะ”
“ไม่มีที่เหมือนกันหรอก แต่เธอสั่งทำตัวที่คล้ายๆ กันได้” ฉินซื่อหลานก็ไม่รู้ว่าเขาจะเสนอไอเดียอะไรให้เธอดี
เสื้อเชิ้ตสีดำมีมากมาย แต่ตัวที่เหมือนกันกลับหามาไม่ได้
“พวกนายก็สนิทกันนี่ ไม่มีใครสักคนซื้อเสื้อผ้าเหมือนเหยียนเค่อเลยเหรอ”
พวกเขาไม่ใช่พวกสาวน้อยเสียหน่อยที่ต้องใส่ชุดคู่กับเพื่อนสนิท ทำไมต้องซื้อเหมือนกันด้วย ฉินซื่อหลานไม่เข้าใจความคิดในหัวของเธอ “ไม่มีหรอก เหยียนเค่อซื้อเสื้อผ้าเลือกมากเกิน”
“เพื่อนกันจริงหรือเปล่าเนี่ย!” ซย่าเสี่ยวมั่วดึงกางเกงที่เพิ่งเอาขึ้นไปตากลงมา
ฉินซื่อหลานปลอบโยน “เธอเอาเสื้อผ้าสองตัวนี้คืนให้เขาก็พอแล้วล่ะ พอมันแห้งก็ยังใส่ได้” แต่ในใจกลับคิดว่า ‘ขนาดตอนเหยียนเค่อไม่มีเงินก็ยังไม่เคยใส่เสื้อผ้าที่ซักจนเป็นสภาพแบบนี้เลย’
ซย่าเสี่ยวมั่วทำได้เพียงยอมรับความจริงข้อนี้ “ฉันตั้งใจซักให้เขาจริงๆ นะ นายต้องมาเป็นพยานให้ฉัน!”
“อืม” ตั้งใจจนซักเสื้อผ้าคนอื่นเขาพังไปหมดเลยนะ
“ดูเธอซิ ฉันเห็นค่าเธอขนาดนี้แต่เธอแช่น้ำแล้วสภาพกลับยิ่งแย่ลงกว่าเดิมอีก เธอทำกับความกระตือรือร้นของฉันได้ยังไง” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดกับเสื้อผ้าสองตัวทั้งน้ำตา
ฉินซื่อหลานเริ่มสงสัยแล้วว่าควรจะย้ายซย่าเสี่ยวมั่วไปแผนกจิตเวชดีหรือเปล่า
ซย่าเสี่ยวมั่วดึงกางเกงอย่างโศกเศร้าและโมโหอยู่สักพักหนึ่ง จู่ๆ ก็หันไปถามฉินซื่อหลาน
“เหยียนเค่อไม่ได้โทรหานายเหรอ”
“ไม่นะ” ฉินซื่อหลานยกนิตยสารทางการแพทย์ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
“นายต้องเก็บเป็นความลับนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วกำหมัด “ฉันว่าตอนนี้เหยียนเค่อแค่เห็นหน้าฉันก็อยากจะบีบคอฉันตายแล้วอะ”
“ถ้าเธอรู้ตัวก็อย่าทำให้เหยียนเค่อคิดแบบนั้นกับเธอสิ”
ถึงแม้ว่าเหล่าก๊วนเพื่อนจะกลัวแผนการแผลงๆ ที่เหยียนเค่อคิดออกมา แต่ความจริงแล้ว ถ้าคุณไม่ไปหาเรื่องยั่วโมโหเหยียนเค่อก่อน ส่วนใหญ่แล้วเหยียนเค่อก็คุยง่าย และให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอ
ซย่าเสี่ยวมั่วทอดถอนใจแล้วเอ่ยตะกุกตะกัก “ฉันว่าเหยียนเค่อสะสมความแค้นที่มีต่อฉันนานแล้ว”
สะสมความรักมานานสิไม่ว่า ฉินซื่อหลานแอบค่อนแคะในใจ
กว่าสวีอันหรานกับสวีรั่วชีจะตื่นก็เกือบเที่ยงแล้ว สวีรั่วชีลืมเรื่องของซย่าเสี่ยวมั่วกับเหยียนเค่อที่คุยกับสวีอันหรานเมื่อคืนแล้ว ตอนนี้สนใจแต่จะจู๋จี๋กับสวีอันหรานเท่านั้น
“เราอยู่ต่ออีกสักสองวันดีไหม” สวีรั่วชีเสนอ
สวีอันหรานปอกส้มโอให้อย่างขยันขันแข็ง เมื่อฟังจบก็แสดงความไม่พอใจออกมาทางสายตา
สวีอันหรานที่เมื่อคืนได้กินไปเพียงเล็กๆ น้อยๆ นั้นก็ตั้งหน้าตั้งตารออาหารจานหลักแล้ว ในตอนนี้ให้เขาอยู่ต่ออีกสองวันนั้นช่างน่าน้อยใจเสียยิ่งกว่าให้เขาไปเป็นผู้ช่วยรองมือรองเท้าเหยียนเค่อเสียอีก
สวีรั่วชีจะไม่รู้ถึงความคิดในใจของเขาได้อย่างไรเล่า จึงแก้แค้นด้วยการขยี้ผมของสวีอันหรานจนไม่เป็นทรง มองใบหน้าอันอ่อนโยนของสวีอันหรานแล้วก็เริ่มโมโห “หมาป่าในคราบกระต่าย”
“ส่วนเธอก็สลับกับฉันเลย” สวีอันหรานยิ้มรับ
ตอนที่สวีอันหรานยังไม่รับตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลสวี ในโลกภายนอกก็มีข่าวลือกันว่าจะยกบ้านตระกูลสวีให้กับสวีรั่วชี ความสามารถของสวีรั่วชีอยู่ในระดับสูงกว่าเด็กสาวในวัยเดียวกัน ฉายแววมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตแล้วก็ทั้งทำคุณประโยชน์ให้กับสายงานทางการแพทย์และตั้งใจเรียนวิชาการเงินไปด้วย ดังนั้นตอนที่ประกาศมอบอำนาจออกมาก็ทำให้ทุกคนตั้งตารอดูอย่างคาดหวัง และสวีอันหรานก็ทำให้เหล่าท่านประธานทั้งหลายคาดไม่ถึง
“เหอะๆ ถ้าฉันไม่ได้ชอบพี่ ตอนนี้เราสองคนคงแหกกันตายไปข้างแล้ว” สวีรั่วชีบิดหูเขา
สวีอันหรานพยักหน้า
ตอนที่สวีรั่วชีแย่งเอาหุ้นส่วนทั้งหมดมาให้เขาก็ควรจะสังเกตได้แล้วว่าสวีรั่วชีชอบตน แต่เขากลับเชื่อคำพูดพล่อยๆ ของสวีรั่วชีบอกว่าคือ ‘ครอบครัว’ ทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ตั้งหลายปี