ตอนที่ 357 แกล้งหลับจนหิวโซ
วันรุ่งขึ้น เหยียนเค่อพาเสี่ยวฝูเอ๋อร์ไปกินข้าวที่โรงพยาบาล ฉินซื่อหลานเห็นเสี่ยวฝูเอ๋อร์กลับมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดีก็รีบดึงตัวเขามาไว้ทางด้านนี้
เหยียนเค่อเมินเฉยต่อท่าทางปกป้องลูกไก่ของฉินซื่อหลาน “เรายังไม่ได้กินข้าวกันมาเลย”
ซย่าเสี่ยวมั่วยังนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงของเหยียนเค่อ ก็แอบหรี่ตาขึ้นมองแล้วเบ้ปาก ก่อนจะปิดเปลือกตาแกล้งหลับต่อ
“ซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่ตื่น” ฉินซื่อหลานเอ่ยเตือน “พวกนายไปกินข้าวกันก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันจะไปส่งเสี่ยวฝูเอ๋อร์ไปโรงเรียน”
เหยียนเค่อไม่ออกความเห็นอะไร เขาเดินไปหยุดที่ข้างเตียงของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วตวัดผ้าห่มของเธอออก
ซย่าเสี่ยวมั่วคว้ามุมผ้าห่มที่เหลือเพียงน้อยนิดของตัวเองไว้ ไม่ยอมปล่อยมือ
เหยียนเค่อมองปราดหนึ่ง ก่อนจะห่มผ้าให้เธอกลับไปตามเดิมแล้วพูดกับฉินซื่อหลาน “เราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกทิ้งไว้ใจสลาย นี่มันไม่สอดคล้องกับเหตุผลโดยทั่วไปเลย พวกเขาจะทิ้งเธอเอาไว้แบบนี้จริงๆ เหรอ
“ถ้าเขาตื่นจะทำยังไง”
“ไม่เกี่ยวกับฉันนี่”
พูดได้มีเหตุผลมาก ฉินซื่อหลานหมดคำจะโต้กลับ จำต้องทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วจ้องแผ่นหลังของเหยียนเค่อ อยากจะใช้สายตายิงเขาให้ทะลุไปเลย
เหยียนเค่อไม่สนใจคนอื่น แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจ้องแผ่นหลังเขาเขม็ง เขายกยิ้มที่มุมปาก อย่างไรเสียคนที่นอนหิวโซก็ไม่ใช่เขา
ทั้งสามคนกินข้าวอย่างเชื่องช้า ฉินซื่อหลานอยากซื้อข้าวไปเผื่อซย่าเสี่ยวมั่วด้วย เหลือบมองสีหน้าของเหยียนเค่อ ไม่กล้าส่งเสียง
“ฉันจะไปเรียนสายไหมเนี่ย”
ฉินซื่อหลานดูนาฬิกาแล้วปลอบโยนเธอ “ไม่ต้องรีบ ถ้าสายก็ไม่ต้องไปแล้ว”
เหยียนเค่อพอจะเข้าใจแล้ว เมื่อคืนที่เสี่ยวฝูเอ๋อร์บอกว่าฉินซื่อหลานช่วยเธอทำการบ้านนั้นไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ เลย น่าจะเป็นแบบนี้ทุกวันเลยด้วยซ้ำ ไม่เลี้ยงเสี่ยวฝูเอ๋อร์จนเป็นง่อยก็นับว่ามหัศจรรย์มากแล้ว
“แบบนี้คงไม่ดีมั้งคะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์กระตุกยิ้มมุมปาก “อาทิตย์ที่แล้วหนูไปเรียนแค่สี่วันเอง”
“มอหกไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว ทบทวนด้วยตัวเองก็พอ วันนี้เธออยู่เล่นแก้เบื่อกับซย่าเสี่ยวมั่วก็ได้ ให้เขาสอนเธอวาดรูป” ฉินซื่อหลานก็เลี้ยงดูเธอมาแบบปล่อยอิสระจริงๆ แต่ประเด็นคือเขาก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ไม่มีประสบการณ์ จึงเลี้ยงเสี่ยวฝูเอ๋อร์แบบปล่อยกว้าง ไม่ว่าจะเรียกร้องอะไรเขาก็พร้อมรับปาก “ซย่าเสี่ยวมั่วคุ้นเคยกับสรีระมนุษย์อยู่ พวกเธอน่าจะคุยกันได้”
เหยียนเค่อมุมปากแสยะยิ้ม “เธอจะให้ซย่าเสี่ยวมั่ววาดรูปนู้ดให้เด็กน้อยหรือไง”
“เสี่ยวฝูเอ๋อร์โตแล้วน่า” ฉินซื่อหลานพูดย้ำ สิ่งที่ควรจะรู้ก็รู้จักหมดแล้ว
เหยียนเค่อนึกไปถึงโจทย์วิชาชีวเคมีข้อหนึ่งตอนสมัยมหาวิทยาลัย ก่อนจะพยักหน้ากรุ้มกริ่ม “รอจนถึงตอนที่เขามาขอยืมอะไรบางอย่างจากนายก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นหวังว่านายจะยังจำคำพูดนี้ได้แล้วตอบตกลง”
ฉินซื่อหลานรู้สึกหวาดกลัวแปลกๆ กับรอยยิ้มของเขา คิดจนหัวแทบแตกแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าเสี่ยวฝูเอ๋อร์จะมาขอยืมอะไรจากเขา จำต้องพูดเปลี่ยนเรื่อง “เรากลับกันเถอะ”
“ซื้อข้าวให้ซย่าเสี่ยวมั่วด้วย” เหยียนเค่อจะกลับออกไปก่อน “ฉันไปตรวจเรียบร้อยแล้ว มีอะไรก็เรียกได้” ก่อนจะคว้ากระบอกน้ำร้อนของตัวเองออกไป
แต่ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าหาเรื่อง…ฉินซื่อหลานเติมประโยคต่อท้ายให้ ก่อนจะเรียกพนักงานให้ตักข้าวให้หนึ่งกล่อง
“เมื่อกี้พี่เหยียนไม่สนใจพี่ซย่าแล้วไม่ใช่เหรอ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ทำหน้างง
“ปากอย่างใจอย่าง” ฉินซื่อหลานมองแผ่นหลังในเสื้อสีขาวที่ลับหายไปตรงประตูทางเข้า คนขี้เก๊กอย่างเขาจะพูดความจริงได้อย่างไรเล่า “เดี๋ยวเธอเอาข้าวกลับไปให้ซย่าเสี่ยวมั่วนะ ฉันไม่ขึ้นไปแล้ว จะกลับไปงีบสักหน่อย”
ฉินซื่อหลานนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน อยากกลับไปนอนมาก แต่ถ้ามีเวลาเขาว่าจะถาม
เหยียนเค่อสักหน่อย ว่าเสี่ยวฝูเอ๋อร์จะมายืมอะไรจากเขากันแน่
“ค่ะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ถูกตัดสินให้ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว
ตอนที่ 358 แยกรุก-รับ
“ทำไมมีแค่เธอล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วหิวจนไส้กิ่ว ในที่สุดก็มีคนเอาข้าวมาส่งให้เธอแล้ว
เสี่ยวฝูเอ๋อร์ยื่นกล่องข้าวให้เธอ “พี่เหยียนกลับไปทำงานแล้ว ฉินซื่อหลานกลับบ้านไปนอน ฉันก็เลยมาดูพี่น่ะค่ะ”
“แล้วเธอไม่ต้องไปเรียนเหรอ วันนี้วันจันทร์นี่นา” ทำไมเด็กคนนี้ถึงเอาแต่ใจตัวเองยิ่งกว่าตอนเธออยู่มอปลายอีกนะ
เสี่ยวฝูเอ๋อร์แก้ต่างให้ตัวเอง “ฉันก็อยากไปเหมือนกันค่ะ แต่ฉินซื่อหลานบอกว่าฉันไม่ต้องไปก็ได้”
“พ่อแม่พวกเธอไม่สนใจพี่ชายเธอเลยเหรอ ไม่กลัวเขาพาเธอเสียคนหรือไงนะ”
เสี่ยวฝูเอ๋อร์ฟังแล้วก็ทำหน้าเศร้า “ฉันกับฉินซื่อหลานไม่ได้เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ค่ะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วข้าวติดคอ จึงพยายามกลืนมันลงไป เมื่อกี้เธอคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม…ก่อนจะขอโทษอย่างกระอักกระอ่วน “ขอโทษนะ” ฉินซื่อหลานบอกว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ ไม่ใช่เหรอ
เสี่ยวฝูเอ๋อร์ยิ้มบางๆ “ฉินซื่อหลานบอกพี่แบบนั้นเหรอคะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพยักหน้าก็นึกไปถึงท่าทางของฉินซื่อหลานในตอนนั้น ก่อนจะส่ายหน้า “เขาไม่ได้บอกฉัน แต่ฉันทึกทักเอาเองน่ะ”
“อ๋อ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์พยักหน้า ดีแล้วที่ไม่ได้ยอมรับ “ความจริง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าฉันเป็นใคร”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ชอบซักไซ้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น ยิ่งเป็นเด็กสาวที่ยังอายุน้อยอยู่ด้วย การหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตนั้นช่างโหดร้ายเกินไป จึงอยากปลอบโยนเด็กสาวผู้น่าสงสารคนนี้ “คือ…”
ความเศร้าวาดผ่านดวงตากลมสวย ฉับพลันก็ถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจ้องซย่าเสี่ยวมั่วอย่างจริงจัง “พี่คะ พี่ชอบพี่เหยียนใช่ไหม”
โหดร้ายก็ช่างมันสิ เห็ดที่ยิ่งสีสันสดสวยเท่าไร พิษก็ยิ่งร้ายมากเท่านั้น นำคำนี้เปรียบเปรยกับเด็กสาวหน้าตาสวยนี่ก็ใช้ได้เหมือนกัน
ซย่าเสี่ยวมั่วเบือนหน้าหนี “ถ้าให้เหยียนเค่อมาได้ยินเข้าเขาต้อง…ฆ่าฉันแน่”
เสี่ยวฝูเอ๋อร์ก็แค่พูดลามเข้าเรื่องนี้เพราะอยากจะพาซย่าเสี่ยวมั่วออกไปจากสถานการณ์ที่ทำให้เธอลำบากใจนี้เท่านั้น ไม่ได้คิดจะหลอกถามอะไรเลย แต่ถ้าหลอกถามอะไรได้ละก็คงจะดีไม่น้อย “เมื่อคืนฉันถามพี่เหยียนแล้ว พี่เหยียนบอกว่าเขาชอบพี่ค่ะ”
อย่างไรเสียซย่าเสี่ยวมั่วก็อาบน้ำร้อนมาก่อนเธอเป็นสิบปี จึงจิ้มกะโหลกเธอ “เขาบอกว่าชอบ
ฉินซื่อหลานมากกว่ามั้ง”
เสี่ยวฝูเอ๋อร์เงียบไปอยู่นานกว่าจะโพล่งคำพูดออกมาได้ “ความจริงฉันว่าพี่เหยียนก็ดูเป็นฝ่ายรุกอยู่นะคะ”
“เธอโดนหลอกแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วเช็ดปาก “เขาทำอะไรถึงทำให้เธอมีความคิดผิดๆ แบบนั้น”
“พี่ ฉันเห็นพี่ก็ดูกลัวพี่เหยียนนี่นา แล้วพี่เหยียนก็ให้ฉันมาบอกพี่ว่า เขาเห็นเสื้อเชิ้ตที่พี่ซักแล้ว เขาให้ฉันมาบอกกับพี่สองคำว่า ‘เยี่ยมมาก’”
ซย่าเสี่ยวมั่วมองเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนระเบียงตาค้าง “เขาทำหน้าแบบไหนเหรอ”
เสี่ยวฝูเอ๋อร์แสร้งทำเป็นครุ่นคิด ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ “หน้านิ่งเลยค่ะ”
“น้ำเสียงล่ะ”
“พูดไม่ถูก…ไม่มีความรู้สึกมั้งคะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ลอบสังเกตสีหน้าของเธอ
ซย่าเสี่ยวมั่วกุมหน้า แกล้งหลับแล้วโดนจับได้ก็ขายหน้ามากพอแล้ว เธออยากจะนั่งจิ้มหัวเข่าเงียบๆ คนเดียวสักพัก
เสี่ยวฝูเอ๋อร์คิดแผนร้าย แต่ในใจกลับหัวเราะหน้าระรื่น ทั้งที่กลัวแทบตาย แต่ยังกล้าพูดว่าพี่
เหยียนเป็นฝ่ายรับอีก
เบลล์ถูกปลุกขึ้นด้วยแสงแดดแสบผิว ที่ทำให้ปวดแสบไปทั้งตัว ข้างกายไม่มีร่างของคนคนนั้นแล้ว ในกองผ้าห่มข้างๆ ก็ไร้ซึ่งความอุณหภูมิอันอบอุ่น มีเพียงความหนาวเหน็บที่ปะทะฝ่ามือ
เธอเดินลากเท้าออกไปด้านนอกเพื่อจะทำอาหารให้ตัวเอง
ข้อดีของการออกจากงานก็คือไม่ต้องรีบร้อนไปถึงบริษัทก่อนเหยียนเฟิงอีกต่อไป แถมยังได้กลับบ้านไปนอนอย่างสบายใจอีกสักงีบด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วอารมณ์ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ตื่นแล้วเหรอ”
เบลล์ได้ยินเสียงของเหยียนเฟิงก็ชะงัก อารมณ์ดีหลังจากตื่นนอนค่อยๆ จางหายไป “ค่ะ”
บนโซฟาที่ตั้งหันหลังให้เธอมีเสียงคนดังขึ้น “เห็นฉันแล้วตกใจหรือไง”
คนที่ทำงานไม่หยุดพักตลอดทั้งปีกลับยังอยู่บ้านในเช้าวันจันทร์ แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อย เบลล์ค่อยๆ เดินเข้าไปหา แต่ไม่ปริปากพูดอะไร