ตอนที่ 417 ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง
สวีอันหรานลูบไล้ไปตามเอวคอดโค้งเว้าได้รูปของสวีรั่วชี “อีกไม่กี่วันฉันก็จะไปแล้วนะ”
“ไปไกลๆ เลย” สวีรั่วชีดันหัวเขาออกไป
“เรามากระชับความสัมพันธ์กันดีกว่า” สวีอันหรานขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่ย่อท้อ
สวีรั่วชีครวญครางในใจ เมื่อก่อนตอนได้เจอกันครึ่งปีหนึ่งครั้งยังไม่น่าผะอืดผะอมขนาดนี้เลย นี่แค่เดือนเดียว ทำไมต้องให้ความสำคัญขนาดนี้ด้วย
สุดท้ายสวีรั่วชีก็ใจอ่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดนสวีอันหรานทรมานจนเริ่มสงสัยในชีวิตและการแต่งงานแล้ว
หลังจากซย่าเสี่ยวมั่วเลิกงานและกลับบ้านแล้วก็เริ่มใช้ชีวิตกลางคืนราวกับผู้สูงอายุ กินข้าวเสร็จ, วาดภาพต้นฉบับสองใบ, เล่นกับหมา, อ่านหนังสือจากนั้นก็เข้านอน ตอนนี้เวลาทำงานและเวลาพักผ่อนของเธอเป็นระบบระเบียบจนตัวเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
[เธอดูคลิปที่ฉันส่งให้วันนี้หรือยัง] สวีรั่วชีเหนื่อยจนแทบสลบแต่ยังไม่ลืมที่จะกระตุ้นซย่าเสี่ยวมั่ว
สัญชาตญาณของซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าน้ำเสียงแบบนี้ช่างฟังดูคุ้นเคย ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง นึกไปถึงเสียงของเซียวอู๋อี้ตอนเธอโทรศัพท์ไปหาในตอนนั้น ก่อนจะตอบกลับอย่างเอือมระอา “เธออย่าโทรมาหาฉันหลังจากที่ทำกิจกรรมกับแฟนเธอเสร็จได้ไหม คิดถึงหัวใจของสาวโสดแบบฉันบ้างสิ น่าอายชะมัด”
[เธอ!] สวีรั่วชีคาดไม่ถึงว่าเธอจะรู้ [ทำไมเธอ…]
“ทำไมฉันถึงรู้เหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วช่วยพูดต่อให้ ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยตัวเอง “ฉันก็ต้องรู้สิ ไม่เคยเห็นหมูวิ่งก็ใช่ว่าจะไม่เคยกินเนื้อหมูสักหน่อย”
[ซย่าเสี่ยวมั่ว!] สวีรั่วชีอยากจะสับเธอเป็นชิ้นๆ ตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมโปงด้วยความอับอาย
สวีอันหรานที่เห็นเข้าจึงดึงผ้าห่มออกให้ ก่อนจะดุเสียงเบา “อย่าคลุมสิ เดี๋ยวหายใจไม่ออกนะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเสียงของสวีอันหรานก็หัวเราะกรุ้มกริ่ม เสียงหัวเราะเบาๆ นั้นเมื่อลอดจากโทรศัพท์เข้าสู่หูของสวีรั่วชีแล้วกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เธอตีเข้าที่แขนของสวีอันหรานหนึ่งทีอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน “ห้ามพูด!”
เสียงตีเปี๊ยะดังลั่นทำเอาซย่าเสี่ยวมั่วชะงักงัน ซย่าเสี่ยวมั่วถามขึ้นอย่างลังเล “เวลาแบบนี้ฉันควรวางสายหรือเปล่านะ”
[เธอ หุบปากเลยนะ] สวีรั่วชีทนไม่ไหวแล้ว ยายผู้หญิงที่มีแต่ความคิดแผลงๆ ในสมอง สิ่งที่นักวาดการ์ตูนคิดนั้นเกินจะบรรยายจริงๆ
สวีอันหรานยังไม่ได้สวมเสื้อ สวีรั่วชีจึงฟาดเข้าที่แขนของเขาเต็มๆ เสียงนั่นดังชัดเจนจนทำให้เขารู้สึกขัดเขินขึ้นมา “ช่างเถอะๆ ตอนนี้ควรไปนอนได้แล้ว”
[นอนกับผีน่ะสิ] สวีรั่วชีอดสบถไม่ได้ ก่อนจะตวัดผ้าห่มคลุมตัวแล้วพลิกไปอีกด้านเพื่อคุยกับ
ซย่าเสี่ยวมั่วต่อ
สวีอันหรานที่ถูกแย่งผ้าห่มไปหมดมองดูชายผ้าห่มที่คลุมส่วนเอวของเขาไว้เพียงเล็กน้อยแล้วก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แค้นฝังลึกเหมือนกันนะเนี่ย
“ฉันรับไม่ได้อะ เธออย่าโทรหาฉันตอนที่อยู่กับสวีอันหรานได้ไหม ฉันทำใจรับไม่ได้จริงๆ”
ซย่าเสี่ยวมั่วเอาโทรศัพท์ไปจ่อเข้ากับเจ้าโกลเด้น ก่อนจะหลอกล่อ “ไหน เห่าแสดงความไม่พอใจหน่อยซิ”
เจ้าหมาตัวใหญ่ที่ถูกซย่าเสี่ยวมั่วเกาคางให้อย่างสุขสบายจนร้องครางหงิงออกมาไม่หยุด สวีรั่วชีฟังแล้วอยากจะหัวเราะ [ให้มันน้อยๆ หน่อย ตั้งใจดูคลิปไปล่ะ ไว้วันไหนฉันจะพาเธอออกไปเดินเล่น]
ทั้งคู่หัวร่อต่อกระซิกกันอีกสักพักใหญ่จึงจะกดวางสาย สวีอันหรานแอบฟังเพียงนิดหนึ่ง ก่อนจะสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มของสวีรั่วชีที่เหลือไว้ครึ่งหนึ่งอย่างระมัดระวัง แล้วโอบกอดเธอจากด้านหลัง “นี่ ฉันก็มีคลิปขี่ม้านะ”
สวีรั่วชีตีมือเขาไปหนึ่งที “ไปไกลๆ เลย ในเน็ตก็มีตั้งเยอะ” สวีรั่วชียังเก็บเอกสารสมัยเริ่มเรียนขี่ม้าไว้อยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้นซย่าเสี่ยวมั่วก็แค่ขี่โดยไม่ทำให้ขายหน้าก็พอ ไม่ถึงกับต้องรู้ละเอียดนักหรอก
ตอนที่ 418 ไม่เกี่ยวกับคุณ
สวีอันหรานไม่ปล่อยมือ แต่รัดเอวของเธอแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าซุกเข้ากับซอกคอของสวีรั่วชีแล้วกระซิบเสียงเบา “ฉันมีคลิปตอนเหยียนเค่อไปแข่งที่อังกฤษด้วยนะ”
“…ว่าไงนะ?!” แม้แต่สวีรั่วชีก็ยังตกตะลึง
“หึๆ เธอต้องให้รางวัลฉันแล้วล่ะ” สวีอันหรานมีอะไรอีกเยอะเลยล่ะ โดยเฉพาะของที่ช่วงวัยรุ่นอันงดงาม เขาก็ยังเก็บไว้ทั้งหมด ตอนนั้นคิดแค่ว่าอาจจะเอาไปขายได้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้
“รีบชดใช้ความผิดเลย” สวีรั่วชีหันกลับมาบีบคอเขา “อย่าพูดมาก”
หลังจากหมั้นแล้ว นิสัยป่าเถื่อนของสวีรั่วชีก็ยิ่งแสดงออกมาอย่างเต็มที่ สวีอันหรานประคองหัวใจแตกสลายของตัวเองไปพลิกตู้รื้อกล่องหาของเก่าในห้องเก็บของ ถ้าตอนย้ายเข้ามาเขาไม่ได้ขนของพวกนี้เข้ามาด้วยกันล่ะก็ สวีรั่วชีต้องให้เขากลับบ้านไปหาข้ามวันข้ามคืนแน่นอน
“หาเจอแล้วเหรอ” สวีรั่วชีใกล้จะเคลิ้มหลับจึงจะได้ยินเสียงคนขยับตัวดังมาจากทางด้านหลัง เธอไม่ได้รับคำตอบ ขณะกำลังจะบอกว่า ‘ถ้าหาไม่เจอก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยหาก็ได้’ นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของสวีอันหราน “หาเจอแล้ว แถมหาอย่างอื่นเจอด้วย” ยังไม่ทันที่สวีรั่วชีจะถามเขาก็สลบไสลไปก่อนด้วยความง่วงงุน
“จริงๆ เลย” สวีรั่วชีกุมมือเย็นที่พาดไว้อยู่บนเอวของเธอ ออกไปหาของก็ไม่รู้จักหาเสื้อมาใส่คลุมสักตัว
เหยียนเค่อยังทำงานล่วงเวลามาอยู่ที่บริษัท ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าโดนสวีอันหรานเอาเรื่องของตัวเองไปขายแล้ว เมื่อก่อนเจ้าหมอนี่เป็นทาสน้องสาว ส่วนตอนนี้ก็กลัวเมีย ในโลกนี้จะมีสักกี่คนกันนะ
การที่เหยียนเค่อทำงานล่วงเวลาก็จะขาดลูกน้องไปไม่ได้เลย ครั้งนี้เป็นเวรของแผนกประชาสัมพันธ์ที่ต้องอยู่กะดึก ด้านล่างตึกจึงยังเปิดไฟสว่างโร่อยู่
“ท่านประธานคะ กาแฟค่ะ” ชวีไหน่ยกกาแฟเข้ามาด้วยตัวเอง เหยียนเค่อที่โดนขัดจังหวะเงยหน้ามองนาฬิกาปราดหนึ่ง เกือบตีสองแล้ว
“ดึกแล้วนะ” เขาพึมพำเสียงเบาโดยไม่รู้ตัว เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ชวีไหน่ชะงักไป เธอสามารถเดาจากรูปปากได้ว่าเขาพูดอะไร ก่อนจะตอบกลับ “ใช่ค่ะ ดึกมากแล้ว ไม่ง่วงแล้วล่ะค่ะ”
เหยียนเค่อรับกาแฟในมือของเธอมาโดยไม่พูดอะไรต่อ บนโต๊ะยังมีแผนการร่วมงานหลากหลายรูปแบบวางเรียงรายอยู่ อีเมลในอินบ็อกซ์เพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน เขามีงานต้องสะสางอีกมากมาย
ครั้งนี้ชวีไหน่เหมือนกับคนไม่รู้ภาษา ไม่ได้ตระหนักเลยว่าเหยียนเค่อยุ่งมากขนาดไหน เธอยังคงยืนพูดคนเดียวอยู่ข้างๆ
“คืนนี้อากาศข้างนอกหนาวมากเลยค่ะ นานแล้วที่ฤดูใบไม้ร่วงของเมือง N ไม่ได้หนาวขนาดนี้”
“แผนกประชาสัมพันธ์กำลังทำวิดีโอประชาสัมพันธ์ให้บริษัทอยู่ ฉันว่าภาพลักษณ์การตลาดของบริษัทเราทำออกมาได้ดีมาโดยตลอด ท่านว่าอย่างไรคะ”
เธอเบนศีรษะไปมองเหยียนเค่อปราดหนึ่ง กลับพบว่าเหยียนเค่อนั่งก้มหน้ายกแก้วกาแฟแล้วเหม่อลอย ท่าทางเหมือนกำลังขบคิดอะไรสักอย่าง
“เหยียนเค่อ” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆ ก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างขัดเขิน “ท่านคิดอะไรอยู่คะ” ชวีไหน่ไม่แน่ใจว่าเหยียนเค่อได้ยินที่ธอเรียกชื่อของเขาหรือไม่ ภายในหัวใจทั้งกังวลและคาดหวัง
เหยียนเค่อจะไม่นั่งเหม่อลอยต่อหน้าคนอื่น ถ้าคนอื่นเห็นว่าเขานั่งเหม่อลอย นั่นก็แสดงว่า
เหยียนเค่อจงใจทำให้เขาคนนั้นเห็นเอง
“ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้วครับ” เหยียนเค่อเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้ว รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลงไปเล็กน้อย
“ท่านประธานคะ ฉัน…” ชวีไหน่อยากจะพูดอะไรต่อ แต่เหยียนเค่อกลับยกแก้วกาแฟขึ้น แล้วพูดตัดหน้าเธอด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับ กาแฟของคุณทำให้ผมคิดถึงใครบางคน”
ชวีไหน่มองมุมปากที่ระบายยิ้มบางๆ และรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นในดวงตาอย่างยากที่จะปิดบัง ก็พอจะเดาได้ว่าเขากำลังคิดถึงใคร แต่ถามขึ้นด้วยหัวใจที่ไม่ยอมรับ “ใครเหรอคะ”
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับหัวใจของเธอกันแน่ มันสลักซับซ้อนเกินไปจนทำให้ความชื่นชอบอันบริสุทธิ์ในตอนแรกเปลี่ยนไปจากเดิม
เหยียนเค่อได้ยินเธอถามเช่นนี้ก็หันไปมองเธอปราดหนึ่ง รอยยิ้มในดวงตาจางหายไป “ไม่เกี่ยวกับคุณ”
ผมกำลังคิดถึงคนๆ หนึ่ง และใครคนนั้นก็ไม่เกี่ยวกับคุณ
ชวีไหน่รู้สึกว่านี่คงเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนได้มากที่สุดในโลกแล้วล่ะ ผู้ชายที่คุณรักนั้นคิดถึงผู้หญิงอีกคนหมดทั้งใจ ความรู้สึกนี้ช่างยากที่จะยอมรับได้จริงๆ