ตอนที่ 453 เกี่ยวกับการขี่ม้า
“ฉันมีเรื่องจะถามนิดหน่อย” ทุกครั้งที่ซย่าเสี่ยวมั่วคุยกับเสิ่นมั่วหลี ถ้าไม่อยากจะบีบคอให้เขาเอ่ยถามตนสักคำสองคำ ก็อยากให้เขาหุบปากไปตลอดเลย และตอนนี้เธอก็อยากให้เขาพูดสักคำสองคำ
“อืม”
ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจแล้วจินตนาการไปเองว่าเสิ่นมั่วหลีน่าจะอยากรู้เรื่องอะไรบ้าง จากนั้นจึงพูดออกมาทีละคำ
“ฉันอยากไปขี่ม้า”
ซย่าเสี่ยวมั่วพูดจบแล้วก็ได้ยินเสียงขยับเดินมาจากฝั่งของเสิ่นมั่วหลี เธอสงสัยว่าพี่ชายของตนกำลังเดินหาหนังสือที่ชื่อว่า ‘จะช่วยเหลือน้องสาวปัญญาอ่อนอย่างไร’ อยู่หรือเปล่า
ความจริงเมื่อกี้เหยียนเค่อก็แค่เดินมานั่งที่โซฟา เสิ่นมั่วหลีเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ยังคงรอให้
ซย่าเสี่ยวมั่วพูดต่อ
เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ซย่าเสี่ยวมั่วจำต้องพูดต่อ “ฉันอยากถามพี่ว่า ควรจะขี่ยังไง”
“ฉันพูดไปเธอก็ทำไม่ได้อยู่ดี” แต่ไหนแต่ไรเสิ่นมั่วหลีก็ไม่เคยออมแรงในการพูดจาโจมตี
ซย่าเสี่ยวมั่วอยู่แล้ว
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนทำร้ายเต็มๆ ต่อให้พูดแบบขอไปทีแต่ก็ยังดีกว่าปฏิเสธเด็ดขาดแบบนี้นี่นา
“ฉันก็แค่ขี่ม้าเป็น ถ้าอยากขึ้นมานิดหน่อยก็เป็นการขี่ม้ายิงธนู ไม่เหมือนสมัยนี้ที่พวกเธอขี่ม้ากันสักหน่อย”
ท่าทางวันนี้เสิ่นมั่วหลีจะอารมณ์ดี มีการอธิบายให้ฟังด้วย
โอกาสมาถึงต้องรีบคว้าไว้ หากไม่คว้าไว้ก็ยากจะมีมาอีก ซย่าเสี่ยวมั่วรีบร้อนเอ่ยขึ้น “ฉันก็แค่อยากขี่ให้ได้ ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นสมัยก่อนหรือสมัยนี้”
“อุปกรณ์สมัยนี้ครบครันจะตาย ต่อให้เธอแบกคนขึ้นหลังไปด้วยเธอก็ขี่ได้ แค่นี้ก็ต้องถามฉันด้วยเหรอ”
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนพูดกระแทกใจอีกครั้ง ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเสิ่นมั่วหลีจะฟังดูราบเรียบเย็นชา แต่ทำไมฟังแล้วถึงทำให้เธอรู้สึกหน้าชาได้ขนาดนี้นะ
“ฉันกลัวม้า” ซย่าเสี่ยวมั่วกุมหน้า ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายจริงๆ
เหยียนเค่อได้ยินเสิ่นมั่วหลีพูดเยอะขนาดนั้นก็เริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารของตนต่อไป
เสิ่นมั่วหลีก็ไปขี่ม้าแทนเธอไม่ได้ จึงพลิกดูเอกสารในมือต่อไป เขาไม่เข้าใจความคิดมากและลังเลของซย่าเสี่ยวมั่วเอาเสียเลย ก็เหมือนที่ซย่าเสี่ยวมั่วไม่เข้าใจความสันโดษของเขาเช่นกัน เขาพูดไปตามความคิดของตัวเอง “เธอเลือกที่จะไม่ขี่ก็ได้นี่ ถ้ามีใครบังคับเธอก็ไปแจ้งความได้เลย”
“เข้าใจแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกหมดแรง กำลังจะบอกลาก็ได้ยินเสิ่นมั่วหลีบอกตนว่าให้รอสักครู่
เสิ่นมั่วหลีหันหน้าไปหาเหยียนเค่อ “นายขี่ม้าเป็นไหม”
เหยียนเค่อเห็นว่าเขาถามตนก็พยักหน้า พอจะรู้คร่าวๆ ว่าเขาอยากให้ตนทำอะไร
“นายช่วยบอกน้องสาวฉันหน่อยได้ไหมว่าขี่ม้ายังไง”
“ได้ครับ” เหยียนเค่อไม่รู้ว่าเขาก็มีน้องสาวด้วย
จากนั้นเสิ่นมั่วหลีก็พูดกับซย่าเสี่ยวมั่วเสียงเบา “ห้ามพูดนะ ตั้งใจฟังไปเงียบๆ ก็พอ”
ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเสียงพูดคุยจากอีกฝั่งก็รู้สึกสงสัย “ไม่ต้องให้ฉันทักทายหน่อยเหรอ”
“ไม่ต้อง ฟังไปก็พอ” เสิ่นมั่วหลียืนยันอีกครั้ง
เหยียนเค่อคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เขาแก่กว่าเสิ่นมั่วหลี แต่ไม่เป็นไร การไม่ให้น้องสาวพูดมากก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
เขารับโทรศัพท์มาจากเสิ่นมั่วหลี ก่อนจะพูดกับความเงียบของปลายสาย “การขี่ม้าขั้นแรกก็คือเธอต้องเข้าใจม้าก่อน ถ้าฝึกสร้างความสนิทสนมไม่ทัน ก็ให้ม้าชอบเธอให้ได้เป็นเวลาชั่วคราวก่อน”
เหยียนเค่อพูดโดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัวเจือปน แต่ซย่าเสี่ยวมั่วก็ฟังออกทันทีว่าเป็นเสียงของเขา ผ้าห่มที่กดทับอยู่บนหน้าขาไถลร่วงลง ทำให้เธอและผ้าห่มกลิ้งตลบลงจากเตียงไปทั้งคู่
“เธอต้องใช้ขาออกแรงหนีบตัวม้าเอาไว้ ครั้งแรกที่ขี่ม้าแล้วโดนเสียดสีจนถลอกเป็นเรื่องปกติ…”
เหยียนเค่อยังคงพูดแนะนำอย่างมีเหตุผลต่อไป ไม่รู้ว่าถ้าเขารู้ว่านี่เป็นซย่าเสี่ยวมั่วล่ะก็ เขาจะยังพูดอย่างใจเย็นได้อีกไหมว่ามันเป็นเรื่องปกติ
ซย่าเสี่ยวมั่วลูบหัวเข่าที่เป็นแผลของตนอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในใจเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมเหยียนเค่อถึงไปอยู่กับพี่ชายของเธอได้
ตอนที่ 454 แบกรับภาระ
เหยียนเค่อพูดไปตั้งมากมาย ซย่าเสี่ยวมั่วก็จดจำได้ไม่น้อย จนเสียงของเสิ่นมั่วหลีดังขึ้นอีกครั้ง เธอจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “เขาไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง”
หลังจากที่เสิ่นมั่วหลีเอ่ยขอบคุณเหยียนเค่อแล้วก็ไม่ได้ตอบออกไปตามตรง เพียงแต่พูดอ้อมๆ เท่านั้น “เป็นเพื่อนคนหนึ่งของพี่รองเธอน่ะ”
เหยียนเค่อนึกว่าน้องสาวของเขาแค่สงสัยว่าตนเป็นใครเท่านั้น จึงไม่ได้เอะใจอะไร หันกลับไปอ่านเอกสารของตนอีกครั้ง
ซย่าเสี่ยวมั่วหน้านิ่ง แอบบ่นเสิ่นมั่วหลีในใจก่อนจะเอ่ย “ฝันดีค่ะ”
“อืม” เสิ่นมั่วหลีตอบรับเสียงเรียบ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งราวกับจะล้อเลียน “อย่านอนไม่หลับซะล่ะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วร้องครวญครางก่อนจะวางสาย ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับเธอก็เถอะ แต่แบบนี้จะไปหลับลงได้อย่างไรเล่า
ต่อไปพี่ชายของเธอก็คงต้องไปมาหาสู่กับเหยียนเค่ออยู่ แต่เธอกลับไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ
เหยียนเค่อเลย คิดๆ แล้วเธอก็อยากจะไปแปลงเพศให้รู้แล้วรู้รอด
“น้องสาวนายจะไปแข่งเหรอ”
“ไม่รู้สิ” เสิ่นมั่วหลีตอบตามความจริง
เหยียนเค่อยิ้ม พี่ชายคนนี้ช่างแตกต่างกับคนอื่นเสียจริง เย็นชากับน้องสาวตัวเองขนาดนี้
“ช่วงนี้ฉัน…” เหยียนเค่อหยุดชะงัก ก่อนจะเรียบเรียงคำพูด “มีเพื่อนคนหนึ่งก็จะขี่ม้าเหมือนกัน เป็นผู้หญิง เหมือนน้องสาวนายเลย”
เสิ่นมั่วหลีรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ได้ยินอะไรเลยแท้ๆ ทำไมถึงบอกว่าทั้งสองคนมีความคล้ายคลึงกันนะ “ทำไมถึงบอกว่าเหมือนล่ะ”
เหยียนเค่อก็ไม่รู้เช่นกัน แค่อาศัยสัญชาตญาณของตัวเองเท่านั้น “ผู้หญิงก็กลัวม้ากันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ฉันว่าน้องสาวนายคงจะกลัวมันล่ะมั้ง”
“ใช่” เสิ่นมั่วหลียิ้มบางๆ “เขาบอกว่าเขากลัวมาก”
“ผู้หญิงคนนั้นก็กลัวเหมือนกัน” ก่อนหน้านี้เหยียนเค่อได้ยินข้อมูลมาจากอันหร่านนิดหน่อย
ความจริงเสิ่นมั่วหลีไม่สนใจใคร่รู้เรื่องส่วนตัวของเหยียนเค่อเท่าไรนัก แต่คนที่ชอบจุ้นเรื่องชาวบ้านอย่างเสิ่นจิ้งเฉินกลับให้เขาถามให้มาก พูดให้เยอะเสียอย่างนั้น แถมยังเอาเรื่องที่กุขึ้นมาขู่เขาอีก
ถึงแม้ว่าผู้ดีคิดจะทำอะไรต้องอยู่ในความถูกต้อง ไม่กลัวคำขู่ของคนถ่อย แต่ที่ทำไปก็เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็น เสิ่นมั่วหลีรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
“ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นคนที่นายชอบสินะ”
“อืม” เหยียนเค่อตอบอย่างรวดเร็ว
บางทีต่อหน้าพวกสวีอันหราน เหยียนเค่อก็ชอบเสแสร้งปิดบัง (ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์ก็เถอะ) แต่ต่อหน้าคนที่ไม่รู้เรื่องราวในชีวิตของตนแล้ว กลับแสดงความารู้สึกในใจของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน
“คิดจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตหรือเปล่า” เสิ่นมั่วหลีเอ่ยคำถามออกมาตามคำสั่งเป๊ะ นี่เป็นคำถามที่เสิ่นจิ้งเฉินให้เขาหาช่องว่างแล้วคอยถาม เขาจะถามมันให้หมดภายในคืนเดียวเลยแล้วกัน
“คิดสิ ใครไม่คิดอยากจะอยู่กับคนที่ชอบไปตลอดชีวิตบ้างล่ะ” เหยียนเค่อยกโน้ตบุ๊กบนหน้าตักออกไปไว้บนโต๊ะ ท่าทางอยากจะคุยกับเสิ่นมั่วหลีต่อ
เสิ่นมั่วหลีฟังไปทำงานไปได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มือยังขยับต่อไป ส่วนสมองก็ยังคิดถึงคำถามยิบย่อยพวกนั้นอยู่
“แล้วถ้าต่อไปอยู่กันไม่รอดล่ะ นายรู้ได้ยังไงว่าพวกนายสองคนเหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกัน”
“ถ้าฉันหลอมรวมเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาแล้ว จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ได้อย่างไรล่ะ”
เหยียนเค่อไม่เข้าใจคำถามของเสิ่นมั่วหลี ตอนนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าพวกเขาสองคนจะเข้ากันได้หรือไม่ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเข้ากันได้ แต่คบกันไม่ได้ต่างหาก
เขาพูดต่อ “ตอนเราอยู่ด้วยกันก็เข้ากันได้ดีมากเลยล่ะ”
ฟังมาถึงตรงนี้เสิ่นมั่วหลีก็เริ่มสนใจขึ้นมา ซย่าเสี่ยวมั่วกล้าอยู่ร่วมชายคากับผู้ชายด้วยหรือเนี่ย ความกล้ามันมีมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นหรืออย่างไรนะ
“อืม” เสิ่นมั่วหลีหมดคำถามแล้ว ในเมื่อเหยียนเค่อมั่นใจขนาดนี้ เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
เหยียนเค่ออยากจะพูดคุยกระชับมิตรกับเสิ่นมั่วหลีต่อ แต่พบว่าเสิ่นมั่วหลีพูดได้ไม่ถึงสิบประโยคก็กลับไปอยู่ในสภาวะที่ไม่สนโลกภายนอกเหมือนเดิมแล้ว
เขามองเคอร์เซอร์บนหน้าจอคอมพ์ที่กะพริบ กอดโน้ตบุ๊กไว้ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจแล้วเดินขึ้นห้องนอนไป