ตอนที่ 439 สเก็ตช์ภาพที่สนามม้า
ช่วงหลายวันมานี้ท้องฟ้าแจ่มใส ซย่าเสี่ยวมั่วยืนอยู่บนผืนหญ้า เงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม ปลอดโปร่งด้วยจิตใจแจ่มใส
เดินไปยังไม่ทันถึงสองก้าวก็โดนเรียกตัวไว้เสียก่อน “ต้องมีบัตรสมาชิกก่อนนะครับถึงจะเข้าได้”
ซย่าเสี่ยวมั่วโยนกระเป๋าลงบนพื้นแล้วเริ่มรื้อหาบัตรสมาชิก เธอมีบัตรสมาชิกจริงๆ เพียงแต่ลืมแล้วว่าทำไว้เมื่อปีไหน ทว่ามันยังอยู่ในกระเป๋าอยู่ตลอด
คนดูแลสนามขี่ม้ามองหญิงสาวที่รื้อหาของไปทั่วก็รู้สึกรังเกียจในใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ไม่มีแล้วยังจะมาสนามม้าอีก ไม่กลัวตกลงมาตายหรือไง”
ซย่าเสี่ยวมั่วตวัดตามองเขาปราดหนึ่ง แต่ไม่ได้โต้เถียง วิธีการตอกหน้าที่ดีที่สุดก็คือโยนบัตรสมาชิกใส่หน้าเขา ถ้าจะมาเถียงกันตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์
เธอหาอยู่ค่อนวันแต่ก็ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเอากระเป๋าเงินของตัวเองไปไว้ที่ไหน สุดท้ายจึงหาเจอในตอนที่กำลังล้วงโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาสวีรั่วชี
ถึงแม้ว่าการบริการจะน่าโมโหไปหน่อย แต่ซย่าเสี่ยวมั่วหากระเป๋าเงินอยู่นานก็ขายหน้าเกินกว่าจะแสดงตัวตนของตัวเอง
“หาเจอหรือยังครับ ถ้ายังก็เชิญคุณออกไปด้วย”
ซย่าเสี่ยวมั่วดึงกระเป๋าเงินออกมาจากช่องกระเป๋าอย่างทุลักทุเล เมื่อเห็นกระเป๋าเงินแล้วนายคนนั้นก็หุบปากฉับ ก่อนจะมองหญิงสาวคนนั้นหยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากบัตรกองใหญ่แล้วยื่นให้เขาอย่างไม่เต็มใจนัก
นายคนนั้นรับบัตรมาแล้วมองรูปใบบัตร ก่อนจะสลับขึ้นมามองหน้าซย่าเสี่ยวมั่ว ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“บัตรใบนี้ใช่ไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วถาม ผู้ชายคนนั้นนึกว่าเธอรำคาญแล้ว จึงรีบเอาบัตรคืนไป “เชิญครับๆ”
ซย่าเสี่ยวมั่วรับบัตรคืนมา มันดูเก่าจนเธอเริ่มไม่แน่ใจว่าใช่บัตรใบนี้หรือเปล่า แต่ดูท่าทางคงไม่ผิดแน่นอน
ส่วนพนักงานคนนั้นกลับรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ บัตรสมาชิกใบนั้นคือแบล็คการ์ดรุ่นเก่าที่สุดของที่นี่ ตอนนี้ไม่ได้จัดจำหน่ายออกไปแล้ว คนที่มีบัตรใบนี้ไม่ถึงกับน้อยจนนับนิ้วได้ แต่ไม่เกินยี่สิบคนแน่นอน
“ม้าของคุณ…” พนักงานคนนั้นไม่รู้จักเธอจริงๆ ไม่รู้ว่าเธอคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่
ตอนแรกยังนึกว่าเธอเอาบัตรของพ่อแม่มา แต่รูปที่พิมพ์บนบัตรสีดำใบนั้นก็คือรูปของหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ พนักงานดูไม่รู้จริงๆ ว่าคนตรงหน้านี้อายุเท่าไร
เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้ว บัตรใบนั้นน่าจะทำขึ้นตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วอายุสิบหกปี เป็นบัตรที่คุณลุงทำแล้วให้เธอไปฝึกม้าเป็นเพื่อนพี่ชาย เทียบกับตอนนี้แล้วไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ซย่าเสี่ยวมั่วลอบยิ้มในใจ ตัวเธอยังหน้าเด็กเหมือนเมื่อก่อน นึกไม่ถึงว่าคนอื่นจะเห็นเธอเป็นปีศาจ
“ฉันไม่มีม้าค่ะ ทิฟฟานี่ยังอยู่ไหม” ถูกต้อง ทิฟฟานี่คือชื่อม้าของพี่ชายเธอ เป็นชื่อที่ดูเพ้อฝันและดูเป็นสาวน้อยเช่นนี้ล่ะ
พนักงานมองเธออย่างตกตะลึง นิ่งอึ้งไปอยู่ครู่หนึ่งจึงจะตอบ “ตอนนี้มีตัวหนึ่ง เมื่อก่อนก็มีตัวหนึ่งครับ”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่เข้าใจ
“หลังจากการุณยฆาตตัวเก่าไปแล้ว ลูกชายของมันก็ใช้ชื่อนี้เหมือนกัน” คนดูแลม้าอธิบาย ก่อนจะมองซย่าเสี่ยวมั่วอย่างกระอักกระอ่วน “ม้าตัวนั้นไม่ใช่ม้าของสนามม้านี้ ก็เลย…”
ซย่าเสี่ยวมั่วเข้าใจความหมายของเขา “งั้นฉันขอไปดูมันหน่อยได้ไหม”
“เจ้าของไม่อนุญาตในคนภายนอกเข้าชมครับ” ผู้ดูแลปฏิเสธคำขอของซย่าเสี่ยวมั่ว
ท่าทางบ้านนี้คงเคร่งครัดน่าดู ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “งั้นช่วยหาสถานที่ให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากวาดภาพ”
เป้าหมายหลักของเธอคือการมาสเก็ตช์ภาพ การขี่ม้าเป็นกิจกรรมที่ต้องมีความรับผิดชอบและการฝึกฝนที่ยาวนานอย่างหนึ่ง และตอนนี้เธอยังไม่อยากลองขี่
แค่บัตรใบนั้นของเธอแค่ใบเดียวก็สามารถเหมาสนามได้โดยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ชายคนนั้นรีบพา
ซย่าเสี่ยวมั่วเข้าไปด้านใน หลังจากเดินผ่านคอกม้าแล้วก็เจอสนามขี่ม้าอันกว้างขวาง
รั้วไม้สร้างขึ้นล้อมรอบลู่วิ่ง พื้นที่ว่างล้วนเป็นสนามหญ้าที่ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ยังมีหนุ่มสาววัยรุ่นสองสามคู่ที่ยังฝึกวิ่งข้ามสิ่งกีดขวางอยู่ตรงนั้น ท่าทางไม่เลวเลยทีเดียว
ตอนที่ 440 มีคนเข้ามาคุยด้วย
“ตรงนี้แหละ คงไม่ขวางทางพวกเขาใช่ไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วโยนกระบอกใส่รูปในมือลงบนพื้น
“ไม่หรอกครับ คุณต้องการเก้าอี้ไหม”
ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหน้า “คุณไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องสนใจฉัน”
เธอกางขาตั้งวาดรูปออก เนื่องจากแขนข้างขวาของเธอยังปวดอยู่ ถ้านั่งบนเก้าอี้แล้วกแขนขึ้นไม่ไหว จึงต้องยืนวาดภาพ
นายคนนั้นรีบถอยออกไปทันที ดูกริยาวาจาของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วไม่เหมือนกับพวกลูกคุณหนู แต่รังสีที่แผ่ออกมานั้นราวกับคนที่เกิดในครอบครัวบัณฑิต
ซย่าเสี่ยวมั่วเหมือนเหยียนเค่อในบางมุม ทุกครั้งที่เธอรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของเธอไม่ได้น่าเกลียด ก็จะไม่สนใจสายตาของคนอื่นเลย ไม่นานนักหนุ่มสาวที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ตรงนั้นก็สังเกตได้ว่ามีสาวสวยกำลังวาดรูปอยู่ แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
“เฮ้ สวัสดีค่ะ” มีสาวชาวต่างชาติที่นั่งอยู่บนหลังม้าคนหนึ่งตะโกนเรียกซย่าเสี่ยวมั่ว เธอขี่ม้าค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนคนขัดจังหวะเข้าก็ขมวดคิ้วบางๆ แต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมาทักทายกับเธออย่างอารมณ์ดี “สวัสดีค่ะ”
“พวกเขากำลังพูดถึงคุณแน่ะ ฉันก็เลยมาดูสักหน่อย” สาวน้อยคนนี้ท่าทางน่าจะกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร
“คุณกำลังวาดพวกเราเหรอคะ” สาวน้อยคนนั้นดึงเชือกบังคับให้ม้าหันหัวไปอีกทาง ก่อนจะก้มลงมองภาพวาดของซย่าเสี่ยวมั่ว
บนภาพวาดเป็นสนามม้าที่มีโครงสร้างแตกต่างกับที่นี่โดยสิ้นเชิง ดูแล้วน่าจะเป็นสนามสำหรับแข่งม้ามากกว่า คนที่อยู่บนหลังม้ายังวาดไม่เสร็จ เพียงแต่ร่างเค้าโครงที่เลือนรางเอาไว้เท่านั้น
สาวน้อยคนนั้นรู้สึกว่าฉากบนภาพนั้นดูคุ้นตา จึงใช้ภาษาอังกฤษเอ่ยหยอกล้อซย่าเสี่ยวมั่ว “มองพวกเราแต่วาดคนอื่น เพราะว่าพวกเราดูดีไม่พอหรือคะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะ ก่อนจะใช้ภาษาอังกฤษสนทนาโต้ตอบ “ไม่ใช่หรอกค่ะ” เธอคิดก่อนจะเอ่ย “ฉันแค่อยากวาดคนๆ นี้ก็เลยมาที่นี่น่ะค่ะ”
สาวน้อยเห็นสีหน้าของเธอแล้วก็ทำหน้าอ๋อ ก่อนจะถามขึ้นอย่างสงสัย “ที่นี่ที่ไหนหรือคะ ฉันรู้สึกว่าฉันเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
ปลายดินสอของซย่าเสี่ยวมั่วจรดลงบนพื้นกระดาษเบาๆ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคือที่ไหน แต่เธอจำได้ว่าตอนนั้นเหยียนเค่อไม่ได้อยู่ในประเทศ จึงตอบอ้อมแอ้ม “น่าจะเป็นประเทศไหนสักแห่งในทวีปยุโรปมั้งคะ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”
หญิงสาวคนนั้นนึกว่าอยู่ในประเทศจีน จึงงุนงงว่าเหตุใดตนถึงรู้จักอยู่นั้น แต่ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ก็นึกออกทันที จึงเอ่ยอย่างเริงร่า “นี่เป็นสนามม้าของประเทศฉันเองค่ะ เมื่อก่อนฉันก็ฝึกที่นั่นเหมือนกัน แล้วตอนหลังฉันก็มาเรียนต่อที่นี่”
ซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่ทันเข้าใจก็ได้ยินเธอพูดขึ้นมาก่อน “ฉันเป็นคนอังกฤษค่ะ คนที่คุณวาดมีทักษะการขี่ม้าที่ดีมากเลยใช่ไหมคะ”
“อืม” ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า ก่อนจะได้ยินสาวน้อยคนนั้นพึมพำกับตัวเอง “คนที่ได้แสดงที่นั่นล้วนเป็นคนที่เก่งกาจมาก ทำไมฉันถึงจำไม่ได้นะว่าเคยเห็นเขาด้วย เหมือนชาวจีนคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว”
“คือเมื่อสิบปีก่อน…”
ซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่ทันพูดจบก็ต้องสะดุ้งตกใจเพราะสาวน้อยคนนั้นที่จู่ๆ ก็กระโดดลงมาจากหลังม้า
“เขาคือบุคคลในตำนานที่เอาชนะนักขี่ม้าชาวยุโรปทุกคนนี่เอง!” สาวน้อยพูดภาษาจีนกลางสำเนียงแปร่งๆ ออกมา
‘คำชมนี่ดูโอเวอร์ไปหน่อยนะ’ ซย่าเสี่ยวมั่วแอบตำหนิในใจ
“คุณครูของฉันบอกว่า ในที่สุดประเทศของคุณก็มีคนที่เก่งกาจขนาดที่เอาชนะพวกเราได้ แต่เขาคนนั้นไม่ได้ปรากฏตัวที่การแข่งขันอื่นอีกเลย มีชื่อเสียงโด่งดังแล้วแต่กลับทำเหมือนไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น” หญิงสาวคนนั้นพูดอย่างเบิกบานใจด้วยภาษาอังกฤษ แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไม่มีอารมณ์ร่วม
โอเวอร์แบบนี้ล่ะ ตัวตนของเหยียนเค่อเลย