ตอนที่ 459 ตอบรับคำเชิญ
“ไปขี่ม้ากันสักสองรอบไหม” เฉิงซินขึ้นหลังม้าไปก่อน ก่อนจะเหลือบมองพวกเธอสองคนจากด้านบน
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าเฉิงซินคนนี้ไม่ถูกชะตากับสวีรั่วชีมากทีเดียว
ถึงแม้ว่าผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาทักทายกับสวีรั่วชีจะไม่ได้ดูเป็นมิตรมากนัก แต่ก็ไม่ได้มีคิดกับสวีรั่วชีในแง่อื่น เพียงแต่ไม่เข้ามายุ่งกับเธอเท่านั้น แต่เฉิงซินกลับเอาแต่หลอกล่อให้สวีรั่วชีเข้าไปติดกับโดยไม่หยุดหย่อน
ก่อนหน้านี้สวีรั่วชีเคยฝึกขี่ม้าอยู่หลายปี ถึงแม้จะไม่ชำนาญนัก แต่ก็ยังแกร่งกว่าคนอื่น ขณะที่เธอกำลังจะตอบตกลงก็โดนซย่าเสี่ยวมั่วดึงข้อมือเอาไว้เสียก่อน
ซย่าเสี่ยวมั่วอาศัยจังหวะที่สวีรั่วชีหันกลับมามองเธอตอบรับคำเชิญของเฉิงซิน “ฉันไปขี่กับเธอดีกว่า เสี่ยชีไม่รู้ว่าท้องหรือเปล่า ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า”
สวีรั่วชีบีบมือซย่าเสี่ยวมั่ว ใช้สายตาแสดงออกถึงความไม่พอใจ ยายนี่พูดบ้าอะไรกันเนี่ย แถมยังกล้าตอบรับแทนตัวเองอีก! ถ้าเกิดอะไรขึ้นเธอคงต้องโดนเหยียนเค่อสับเนื้อไปให้หมากินแน่นอนเลย
ซย่าเสี่ยวมั่วจับความร้ายกาจที่ปรากฏออกมาในสายตาของเฉิงซินได้ ไม่มีเวลามาสนใจท่าทีดื้อดึงเอาแต่ใจของสวีรั่วชี
“เธอรออยู่นี่เนี่ยแหละ ระวังตัวด้วยนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ล้อเล่น เธอก็เพิ่งระลึกถึงปัญหานี้ตอนที่พูดค่อนแขะเซียวอู๋อี้เมื่อกี้เช่นกัน รู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ตัวเองคิดไว้ ไม่ว่าอย่างไร ให้สวีรั่วชีรออยู่ที่นี่ก็ไม่เสียหาย
เหยียนเค่อตื่นนอนแล้วรู้สึกว่าตาขวาเอาแต่กระตุกไม่หยุด ทั้งๆ ที่ช่วงนี้พักผ่อนเต็มที่แท้ๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีอาการแบบนี้
เสิ่นมั่วหลีเดินลงมาจากด้านบนแล้วก็เห็นเหยียนเค่อนวดระหว่างคิ้วพลางรินน้ำดื่ม
“เป็นอะไรไป” เขาเพิ่งตื่นนอนก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร
เหยียนเค่อส่ายหัว ไม่อยากจะปริปากพูดสักเท่าไร หลังจากดื่มน้ำแล้วก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากบ้านทันที
สวีอันหรานนั่งรออยู่ที่โรงแรม ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเขาก็ยังไม่เจอเหยียนเค่อเลย วันนี้เป็นครั้งแรก
“มาแล้วเหรอ” สวีอันหรานกอดเขาอย่างอบอุ่น
ส่วนเหยียนเค่อกลับผลักเขาออกอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของโซฟา
สวีอันหรานไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร จึงคิดมโนไปต่างๆ นานา หรือว่าเขาจะเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างกับเสิ่นมั่วหลีเข้าเสียแล้ว? ขนาดออกมาเจรจาธุรกิจยังดูอิดออด
“เมื่อไรจะเริ่ม” เหยียนเค่อดูกำหนดการคร่าวๆ ในใจรู้สึกว้าวุ่นไม่สงบ ไม่อยากจะรอต่อไปแล้ว
“ใครทำนายโมโห?”
ถ้าประชุมด้วยสภาพของเหยียนเค่อในตอนนี้คงต้องไปพาลโมโหอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
เหยียนเค่อขี้เกียจจะสนใจเขา ยิ่งนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร หัวใจก็ยิ่งว้าวุ่นมากขึ้นเท่านั้น
“ใกล้จะเริ่มแล้ว เราจะเข้าไปกันก่อนไหม”
สวีอันหรานยังไม่ทันพูดจบ เหยียนเค่อก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องประชุมแล้ว “สองรอบแรกฉันเป็นตัวหลัก รอบสุดท้ายนายรับไปแล้วกัน”
“หา?” กว่าสวีอันหรานจะดึงสติได้เขาก็เดินเข้าไปด้านในก่อนแล้ว
เหยียนเค่อนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ แต่ไม่มีทีท่าอ่อนให้อีกฝ่ายเลยสักนิด ตอนเจรจาก็กระทำอย่างมีเหตุผลและเหมาะสม ไม่มีเรื่องให้ต้องอกสั่นขวัญแขวนอย่างที่สวีอันหรานคิดไว้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
การประชุมรอบแรกสิ้นสุดลงแล้ว การเจรจาของเหยียนเค่อเสร็จรวดเร็วกว่าที่คิดไว้ ระหว่างที่เจรจากันอยู่เขาก็ดูจิตใจร้อนรน หลังจากพักสักครู่หนึ่งกลับมาแล้วก็ทนไม่ไหวในที่สุด จึงพูดกับ
สวีอันหราน “โทรหาสวีรั่วชีเดี๋ยวนี้เลย”
“หืม?” สวีอันหรานรู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกๆ ดูตื่นตระหนกพิกล
เหยียนเค่อมองเขาตาขวาง “เร็วๆ”
สวีอันหรานหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาสวีรั่วชี เหยียนเค่อพูดเสริม “ช่วยถามให้ฉันหน่อยว่าตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วทำอะไรอยู่”
สวีอันหรานที่เพิ่งโทรติดมองเขาอย่างตกตะลึง ไอ้หมอนี่เป็นบ้าหรือไง เพิ่งจะไม่กี่วันก็คิดถึง
ซย่าเสี่ยวมั่วเสียแล้ว
“ฮัลโหล อันหราน” สวีรั่วชีจ้องซย่าเสี่ยวมั่วที่อยู่บนสนามม้าเขม็ง กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ จึงไม่ได้ใส่ใจสวีอันหรานมากนัก
“ทำอะไรอยู่เหรอ” สวีอันหรานรู้สึกว่าจิตใจของเธอไม่ได้จดจ้องอยู่กับเขา จึงถามขึ้นอย่างสงสัย
สวีรั่วชีร้อนใจ กลัวว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะเกิดอุบัติเหตุ จึงไม่ค่อยตั้งใจคุยกับสวีอันหรานนัก
ตอนที่ 460 อุบัติเหตุที่ผิดพลาด
“ตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วทำอะไรอยู่” สวีอันหรานอยากจะคุยกับภรรยาของตนสักหน่อยก็สังเกตได้ถึงสายตาเย็นเยือกของเหยียนเค่อ จึงรีบมุ่งเข้าประเด็น
“นี่ เดี๋ยวฉันโทรกลับได้หรือเปล่า” สวีรั่วชีไม่อยากคุยกับเขาต่อ สักพักหนึ่งจึงจะเพิ่งรู้ว่าแฟนของตนถามถึงซย่าเสี่ยวมั่วจึงค่อยได้สติขึ้นมาหน่อย ก่อนจะเอ่ยอย่างหงุดหงิด “บอกเหยียนเค่อว่า ให้เขากลับมาจัดการยายลูกสาวบ้านเฉิงให้หน่อย! พี่ก็ด้วย! ถ้ายังกล้าไปหว่านเสน่ห์ใส่สาวอื่นอีกฉันจะฆ่าพี่!”
สวีอันหรานที่พลอยโดนด่าไปด้วยทำหน้างุนงง ยังไม่ทันพูดอะไรสวีรั่วชีก็ตัดสายทิ้งไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
“เมียฉันบอกว่าให้นายกลับไปจัดการลูกสาว? ของบ้านตระกูลเฉิง” สวีอันหรานไม่แน่ใจว่าคือลูกสาวคนไหน
“พวกเขาขี่ม้ากันอยู่เหรอ”
“ใช่ วันนี้แหละ” สวีอันหรานรู้ว่าการพบปะในครั้งนี้ มองผิวเผินแล้วก็เหมือนกับการกระชัดมิตร แต่ความจริงนั้นมีไว้ก็ทำร้ายกัน แต้สวีรั่วชีก็เคยชินกับการพบปะแบบนี้ตั้งนานแล้ว และสามารถรับมือได้เป็นอย่างดีด้วย ดังนั้นเขาจึงวางใจได้
เหยียนเค่อตาขวากระตุกไม่หยุด เขาลูบใบหน้าของตนอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกำชับ “ถ้าเจรจารอบที่สองจบแล้วค่อยโทรไปอีกรอบ”
“นายวางใจเถอะน่า เสี่ยวชีไม่ปล่อยให้ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นอะไรไปหรอก” สวีอันหรานเชื่อมั่นในตัวของเสี่ยวชี
เหยียนเค่อหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี”
เหยียนเค่อก็กลัวว่าตอนนี้สวีรั่วชีจะควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่เหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าทำไม
สวีอันหรานถึงใจเย็นได้ถึงขนาดนี้ ในสถานที่ที่คนไม่สามารถควบคุมได้นั้น คนที่จะสามารถเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายที่สุดก็มีแค่พวกเธอสองคนเท่านั้นแหละ
ซย่าเสี่ยวมั่วขี่ม้ากับเฉิงซินรอบแล้วรอบเล่า เธอตามอยู่ด้านหลังเฉิงซินอยู่ตลอด แต่เธอก็ยอมพ่ายแพ้ดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นล่ะนะ
ยิ่งขี่ม้านานเท่าไร กำลังวังชาของซย่าเสี่ยวมั่วก็เริ่มอ่อนแรงลง การระแวดระวังตัวก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ และเรื่องราวก็เกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่ขี่ม้ามาจนถึงรอบที่หก
เฉิงซินจงใจชะลอฝีเท้าม้าเพื่อให้ขนาบข้างกับซย่าเสี่ยวมั่ว ก่อนจะเสนอแนะด้วยน้ำเสียงปนหอบ “เราไปขี่ในลู่วิ่งด้านในอีกสักรอบก็พอแล้วกัน” ก่อนจะเร่งฝีม้าเพื่อนำไปด้านหน้า
ตอนที่เฉิงซินวิ่งเบี่ยงข้างออกไปในลู่วิ่งด้านใน ซย่าเสี่ยวมั่วยังตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าใครที่ปิดประตูรั้วที่กั้นระหว่างลู่ด้านในกับด้านนอกเอาไว้ กว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะรู้ตัวก็วิ่งผ่านประตูกั้นนั่นมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น แต่ผู้ชายที่ตามอยู่ข้างหลังนึกว่าพวกเธอจะเข้าไปด้านใน จึงหันหัวม้าจะตามเข้าไปด้วย สุดท้ายขาม้าก็กระแทกเข้ากับรั้วไม้ที่สูงร้อยห้าสิบเซนฯเข้าอย่างจัง คนด้านบนตกลงมาจากม้าทันที เกือบจะถูกม้าในลู่วิ่งด้านในเหยียบเข้าให้เสียแล้ว
ซย่าเสี่ยวมั่ววิ่งไปได้ครึ่งสนามจึงจะเห็นว่าตรงนั้นเกิดเรื่องขึ้น จึงรีบบังคับม้าให้หยุดวิ่ง แล้ววิ่งไปทางสวีรั่วชีที่ยืนโบกมือให้อยู่
สวีรั่วชีที่เห็นสถานการณ์ตรงนี้ตกใจจนแทบทรุด เมื่อเห็นซย่าเสี่ยวมั่วไม่เป็นอะไรจึงรีบเรียกให้พนักงานนอกสนามเข้ามาจัดการ
ซย่าเสี่ยวมั่วทำตัวไม่สนใจความเป็นความตายของคนอื่นไม่ได้ จึงรีบลงจากม้าเพื่อเข้ามาช่วยขนย้ายชายคนนี้ออกไปอีกแรง
เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าคือใคร ขณะกำลังจะส่งเปลหามให้เจ้าหน้าที่พยาบาลนั้น คนที่ตอนแรกใกล้จะสลบไสลไปแล้วกลับค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใช้สายตาไม่ชัดเจนมองไปทาง
ซย่าเสี่ยวมั่วปราดหนึ่ง ก่อนจะหลับตาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา “คุณไม่ได้อายุห้าสิบแปดสักหน่อย”
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า ที่แท้นี่ก็คือชายหนุ่มที่เจอในวันที่เธอมาสเก็ตช์ภาพนั่นเอง เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงตามหลังเธอมาตลอดตั้งแต่ที่เธอเริ่มขี่ม้า หรือว่าเขาจะโดนเธอทำร้ายโดยทางอ้อมกันละเนี่ย
สวีรั่วชียืนมองอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเมื่อชายคนนั้นพูดจบแล้วสีหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วก็สลักซับซ้อนยิ่งขึ้น เธอเดินแหวกผ่านผู้คนตรงนั้นแล้วดึงตัวซย่าเสี่ยวมั่วเข้ามาด้านใน
“เธอไม่เป็นไรนะ?”
ซย่าเสี่ยวมั่วปล่อยให้เธอจับนู่นจับนี่ ก่อนจะพยักหน้า “สบายใจได้ ฉันไม่เป็นไร”
“ผู้ชายคนนั้น…” สวีรั่วชีไม่รู้ว่าเธอควรจะถามหรือเปล่า
ซย่าเสี่ยวมั่วถือว่าตัวเองก็ช่วยเต็มที่แล้ว เธอไม่ได้ติดค้างอะไรผู้ชายคนนั้น และก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว จึงอธิบายให้สวีรั่วชีฟัง “มีวันหนึ่งฉันมาสเก็ตช์ภาพที่นี่ เขามาสารภาพรักกับฉัน ฉันเลยบอกว่าฉันอายุหห้าสิบแปดแล้ว”
สวีรั่วชีมุมปากกระตุก ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอควรจะร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี