ตอนที่ 495 พบโดยบังเอิญ
เบลล์ต้องคอยหลบหน้าพนักงานส่วนใหญ่ และด้วยความเคยชินที่ติดมาจากบริษัทตระกูลเหยียนทำให้เธอมาบริษัทค่อนข้างเช้า แต่ก็ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะบังเอิญเจอกับซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินผลักประตูเข้าไปอ้างไร้อารมณ์ พอจะหมุนตัวกลับไปปิดประตู สายตาก็ประสานกับ เบลล์ผ่านกระจก
ตอนแรก เบลล์ไม่คิดว่าคนตรงหน้าคือซย่าเสี่ยวมั่ว เธอจึงเดินตามหลังหญิงสาวเข้าไปในบริษัทอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พอซย่าเสี่ยวมั่วหมุนตัวกลับมาเท่านั้น ถึงเธออยากจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว
แวบแรกที่ซย่าเสี่ยวมั่วมองมาที่เธอดูเหมือนจะตะลึงไปชั่วครู่แต่ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อหลบไมได้จึงทำได้แค่เผชิญหน้า เบลล์ยิ้มให้หญิงสาวพร้อมโบกมือทักทาย “สวัสดี”
“สวัสดีค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วเพียงแค่ยิ้มบางๆให้ เธอพอเดาได้ถึงสาเหตุที่เจอหล่อนที่นี่
เบลล์เดินไปทางลิฟต์พร้อมกับซย่าเสี่ยวมั่ว ทั้งคู่เพียงแค่บังเอิญเจอกันเท่านั้น แม้ เบลล์จะรู้สึกถูกชะตากับซย่าเสี่ยวมั่วแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรให้มากความ
“ทำไมวันนี้มาเช้าจังคะ” คำถามนี้คงไม่ถือเป็นการละลาบละล้วงเท่าไหร่ เบลล์ถามออกไปในใจก็พิจารณาความเหมาะสมไปด้วย
“ยังมีหลายเรื่องที่ยังเคลียร์ไม่เสร็จ ใกล้จะสิ้นปีแล้ว กะว่าจะหยุดยาวน่ะค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วเดาได้ถึงตำแหน่งของหล่อน จึงเอ่ยบอกอย่างไม่ปิดบัง ถือเป็นการขอลาหยุดไว้ล่วงหน้าเสียเลย
เบลล์ตอบไม่ได้ เธอไม่กล้าอนุญาตหญิงสาว แค่ถามถึงเหตุผลยังไม่กล้าเลย จึงทำได้แค่เบี่ยงประเด็น
“ทำงานเหนื่อยไหมคะ”
“ไม่เท่าไหร่ค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดมากไปกว่านี้ไม่ได้ เลยต้องหยุดไว้แค่นี้
ต่างฝ่ายต่างเงียบลง ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ จึงถามกลับไปบ้าง “คุณล่ะคะ มาทำงานที่ฮุยเถิงเป็นอย่างไรบ้าง”
เบลล์เริ่มตระหนักได้แล้วว่าทำไมบรรยากาศมันน่าอึดอัด เป็นเพราะเธอเอาแต่ถามอยู่ฝ่ายเดียว มันถึงกลายเป็นแบบนี้ หญิงสาวยิ้มเยาะตัวเอง เธอเอาแต่กังวลเรื่องสถานะตัวเองจนลืมแม้แต่มารยาทพื้นฐานการสนทนา
“ก็ดีค่ะ ฉันเพิ่งมาทำงานที่ฮุยเถิงไม่นาน หลังจากวันที่ไปเยี่ยมคุณได้สองวันก็เริ่มมาทำงาน” เบลล์แค่อยากจะระบุวันเวลาให้ละเอียดหน่อยเท่านั้น แต่พอพูดออกไปกลับรู้สึกว่าเหมือนเป็นการโอ้อวดบารมีอย่างไรไม่รู้
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้จะพูดอะไร แม้ในใจจะเกิดความรู้สึกบางอย่างแต่ก็รีบขจัดมันออกไป
“ฉันกับเหยียนเค่อ” เบลล์กลัวว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะเข้าใจผิด อยากจะอธิบายความสัมพันธ์ของตนกับเหยียนเค่อเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น แต่เธอก็ฉุกคิดขึ้นได้จึงรีบเปลี่ยนคำพูด “เป็นแค่เพื่อนกัน”
พอพูดออกไปในใจก็อยากร้องไห้ เธอพูดพล่ามอะไรออกไปเนี่ย แบบนี้จะไม่ยิ่งทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วข้าใจผิดหรอ
“เอ่อ คือฉันไม่ได้สนิทกับเหยียนเค่อขนาดนั้น” ซย่าเสี่ยวมั่วกลัวว่า เบลล์จะเข้าใจผิด และก็กลัวว่าหญิงสาวจะกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด จึงรีบบอกความจริงออกไป
เบลล์อยากจะร้องไห้ ฟังซย่าเสี่ยวมั่วพูดประโยคนี้จบเธอรู้สึกว่ามันมีความไม่พอใจปนมาด้วย ความจริงเธอไม่ได้ต้องการให้มันกลายเป็นแบบนี้ แต่สถานการณ์มันพาไปอย่างช่วยไม่ได้
ติ้ง! เสียงลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้นของซย่าเสี่ยวมั่ว หญิงสาวโบกมือลา กล่าวลาตามมารยาท “ฉันขอตัวนะคะ ไว้พบกัน”
“ค่ะ ไว้พบกัน” ใบหน้าของ เบลล์คงไว้ด้วยรอยยิ้ม จนเมื่อลิฟต์ปิดลงเธอจึงหุบยิ้ม หญิงสาวจ้องไปที่ประตูลิฟต์ที่ดูสะอาดและสะท้อนเงาได้ดีกว่ากระจก ใบหน้าสวยงามดูบูดบึ้ง เธอได้ก่นด่าตัวเอง ทำไมถึงได้ทำตัวโง่ขนาดนี้นะ ทำงานจนสมองกลับหรืออย่างไร แม้แต่เบื้องบนก็คงช่วยเธอไม่ได้ แค่นึกถึงคำพูดที่ตนพูดกับซย่าเสี่ยวมั่วเมื่อครู่ ก็รู้สึกอยากเอาหัวโขกกำแพงจริงๆ
ตอนที่ 496 จนปัญญาจะช่วย
ซย่าเสี่ยวมั่วคลำหากุญแจเปิดประตู เธอไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับเบลล์ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคู่หมั้นของเหยียนเค่อมาพูดแบบนี้ต่อหน้าเธอคงจะโดนเธอจับโยนออกไปแล้ว คงเป็นเพราะคนเรามักจะใจอ่อนให้กับคนหน้าตาดีกระมัง
ต้องเป็นผู้หญิงแบบเบลล์สิถึงจะเหมาะสมกับเหยียนเค่อ หล่อนมีพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญญาและความสามารถ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดีกว่าคู่หมั้นของชายหนุ่มเป็นกอง จึงไม่แปลกหากชายหนุ่มจะเก็บหล่อนไว้ที่ฮุยเถิง
สิ่งที่เบลล์ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดก็คือการที่ซย่าเสี่ยวมั่วเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหยียนเค่อผิด และซย่าเสี่ยวมั่วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ กังวลอะไรก็ดันเป็นอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย
ขณะที่สวีรั่วชีนั่งเบื่อๆอยู่ที่บ้านซย่าเสี่ยวมั่ว สวีอันหรานก็โทรมาหาหญิงสาวพอดี ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขของสวีอันหรานเธอเริ่มรู้สึกอยากจะอัดชายหนุ่ม
“มีอะไร” น่าจะเป็นเพราะซย่าเสี่ยวมั่วอารมณ์ไม่ดีเลยทำให้เธอพลอยอารมณ์เสียไปด้วย
“โมโหอะไร อารมณ์ไม่ดีหรอ” น้ำเสียงนุ่มนวลของสวีอันหรานกลับทำให้เธอยิ่งหงุดหงิด
สวีรั่วชีคิดว่าชายหนุ่มทำดีกับเธอมากกว่าเมื่อก่อนเป็นเพราะลูกในท้อง เธอรู้สึกไม่ดี แอบพาลไม่อยากมีลูก
“ไม่มีอะไร พี่มีอะไรหรือเปล่า”
สวีอันหรานไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงของหล่อนดูเยือกเย็นกว่าเดิม จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยน ปลอบหญิงสาว
“ตอนนี้พี่ถึงเมือง N แล้ว กำลังจะกลับบ้าน ดีใจไหม”
“ไม่ดีใจ” พอรู้ว่าเธอท้องก็รีบบินกลับมา มันก็ไม่ใช่เพราะลูกในท้องหรือไง ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักนิด สวีรั่วชีรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มแทงใจ
สวีอันหรานขมวดคิ้ว ปฏิกิริยาของสวีรั่วชีมันค่อนข้างรุนแรง ยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยแต่กลัวว่าถ้าถามมากเกินไปจะทำให้หล่อนยิ่งหงุดหงิด จึงเลือกวางสายไปก่อน
ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมงเหยียนเค่อก็ได้รับโทรศัพท์จากสวีอันหราน
“นายกลับเมือง N ไปแล้วจะโทรมาอีกทำไม อยากตายเหรอ”
สวีอันหรานแค่พูดทักทายก็ถูกเหยียนเค่อด่ากลับมา
“ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าฉันกลับเมือง N”
สวีอันหรานนวดขมับตนเอง คุยกับใครก็มีแต่คนโมโหใส่ ชายหนุ่มเล่าปฏิกิริยาเมื่อครู่ของสวีรั่วชีให้เหยียนเค่อฟัง จากนั้นก็อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
“เมียนาย นายถามเองสิ” ไร้สาระจริงๆ เหยียนเค่อไม่มีเวลามานั่งสนใจสวีอันหราน จึงชี้ทางสว่างให้
“ลองไปถามซย่าเสี่ยวมั่วสิ”
เมื่อวางสายเสร็จสวีอันหรานก็โทรหาซย่าเสี่ยวมั่ว ชายหนุ่มไม่เคยคุยเป็นการส่วนตัวกับหญิงสาว หากไม่เข้าตาจนจริงๆเขาคงไม่มีทางโทรหาหล่อน
“สวัสดีค่ะ”
“ผมสวีอันหราน”
น้ำเสียงอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มดังมาตามสาย ซย่าเสี่ยวมั่วรับคำ นี่ถ้าโทรมาเรื่อง เหยียนเค่อเธอวางสายแน่
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เสี่ยวชีช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีหรอ” สวีอันหรานถามอย่างกังวล
ซย่าเสี่ยวมั่วกลอกตามองบน เธอต่างหากที่อารมณ์ไม่ดี ตอบกลับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “ภรรยาของนาย ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไร”
“เอ่อ…” สวีอันหรานไปต่อไม่เป็น ลอกเลียนแบบมาจากเหยียนเค่อแน่ๆ น้ำเสียงยังเหมือนกันเลย
พอเอ่ยออกไปซย่าเสี่ยวมั่วก็ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่น้ำเสียงตนไม่ค่อยดีนัก จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง รายงานอารมณ์ของสวีรั่วชีให้ชายหนุ่มฟัง
“เมื่อวานเธอก็ยังดีๆอยู่นะ เมื่อเช้าฉันออกจากบ้านแต่เช้า ตอนนั้นเธอเพิ่งตื่นนอนแต่ก็ไม่ได้ดูอารมณ์เสียนะ”
สวีอันหรานรู้สึกว่าเขากำลังเจอกับปัญหาใหญ่ซึ่งพุ่งตรงมาที่เขาคนเดียว โดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ไม่ต้องกังวล ลองเปลี่ยนวิธีดู ไม่ต้องไปปลอบเธอ อย่าไปอ่อนข้อให้ มันอาจจะเป็นความผิดเธอ” ซย่าเสี่ยวมั่วแค่แนะนำตามประสบการณที่คบกับหญิงสาวมานาน แต่ก็ไม่ได้หวังว่าสวีอันหรานจะทำได้สำเร็จ