ตอนที่ 505 ยังไม่ได้เริ่มต้น
สวีอันหรานตระหนักได้ว่าการที่เขากลับมาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด และเห็นด้วยกับความคิดของซย่าเสี่ยมั่ว
“ผมกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเหยียนเค่อดีกว่า” ชายหนุ่มรู้สึกท้อแท้ ยังไงซะตอนนี้สวีรั่วชีก็ไม่อยากเห็นหน้าเขา
เดิมทีซย่าเสี่ยวมั่วยังคงยิ้มอยู่แต่พอได้ยินชื่อเหยียนเค่อจึงค่อยๆหุบยิ้มลง
สวีอันหรานรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของซย่าเสี่ยมั่วเริ่มเปลี่ยนไป กระแอมเล็กน้อย “เมื่อคืนดูเหมือนว่าเหยียนเค่อจะโมโหนะ” แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขาจะไม่ได้ดีไปกว่ากัน แต่เขาก็ยังอยากดูเรื่องสนุกๆของคนอื่น
“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน” ซย่าเสี่ยมั่วเห็นว่าชายหนุ่มรอให้เธอเอ่ยปากพูด จึงจำต้องพูดออกไปคำหนึ่ง
สวีอันหรานพอพูดเรื่องนี้ก็ดูเหมือนอารมณ์จะดีขึ้น “เมื่อคืนหลังจากโทรหาเธอเสร็จ เหยียนเค่อก็อารมณ์ไม่ดี เมื่อเช้ายังทำท่ารังเกียจผมอยู่เลย”
“อย่างนั้นนายก็กลับไปอยู่กับเหยียนเค่อเถอะ ไม่ต้องห่วงเสี่ยวชี” ซย่าเสี่ยมั่วไม่อยากพูดเรื่องที่มีเหยียนเค่อเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอบอกไปแล้วว่าเราไม่ได้สนิทกัน ฉะนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกับสวีอันหรานเรื่องนี้อีก
“อย่าเอาเสี่ยวชีของผมไปขายนะ” สวีอันหรานเห็นว่าซย่าเสี่ยมั่วไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้วจริงๆ เขาก็ไม่ได้บังคับฝืนใจหล่อน พูดเปลี่ยนเรื่องยิ้มๆ “เธอรีบกลับเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวชีเถอม ผมไปล่ะ”
“โอเค” ซย่าเสี่ยมั่วโบกมือลา รอจนชายหนุ่มเข้าลิฟต์ไป จึงเดินกลับเข้าห้อง
เธอออกไปตั้งนานสวีรั่วชียังคงนั่งอยู่ที่โซฟา เธอคิดว่าทั้งเธอและสวีอันหรานก็คงไม่มีปัญญาเดาได้ว่าสรุปแล้วสวีรั่วชีโมโหเรื่องอะไร และก็ไม่กล้าถามด้วย
“สวีอันหรานไปแล้ว เธอจะนั่งอยู่ทำไมอีก” ซย่าเสี่ยวมั่วโยนกระเป๋าสตางค์ไปที่โซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งที่พื้น
“ลุกขึ้นมานั่งดีๆสิ” สวีรั่วชีเหยียดเท้าไปสะกิดที่หัวเข่าซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วเขยิบถอยหลังไปอีกเพื่อไม่ให้สวีรั่วชีเตะถึง หญิงสาวล้วงหยิบสมุดวาดภาพและสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋า
“ฉันชอบนั่งแบบนี้ ทำไมพวกเธอต้องมายุ่งอะไรกับท่านั่งของฉันนักหนานะ” เธอเอ่ยอย่างรำคาญใจ
สวีรั่วชีพูดบ่นเบาๆ “ก็เพราะห่วงเธอไงเลยต้องยุ่ง เหยียนเค่อก็เตือนเธออยู่ทุกครั้งไม่ใช่หรือไง”
“นายนั่นไม่เป็นห่วงฉันหรอก แทบไม่สนใจฉันด้วยซ้ำ” ซย่าเสี่ยวมั่วเอาของไปวางบนโต๊ะ จัดที่จัดทางเตรียมลงมือทำงาน
“ไม่สนใจเธอ?” สวีรั่วชีเริ่มมองเห็นอะไรสนุกๆ
ซย่าเสี่ยวมั่วได้ฟังน้ำเสียงที่ดูจะสนอกสนใจก็เริ่มทนไม่ไหว สามีภรรยาคู่นี้กำลังทรมานกันเองอยู่แท้ๆยังจะมีเวลามาสนใจเรื่องของเธออีก
“ใช่แล้ว ไม่สนใจ เธอจะทำไม” ซย่าเสี่ยวมั่วทำเป็นขึงขัง
สวีรั่วชีเด็ดองุ่นใส่เข้าปากกิน เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ทำไมไม่สนใจเธอล่ะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากต่อปากต่อคำกับสวีรั่วชี ประคองสมุดโน้ตเตรียมย้ายสถานที่ทำงาน “ฉันกลับไปวาดต่อในห้องนะ”
“อย่าเพิ่งไปสิ ฉันอารมณ์ไม่ดีอยู่นะ เธอไม่อยู่ปลอบฉันก่อนหรอ” สวีรั่วชีเอื้อมมือไปดึงชายเสื่อของซย่าเสี่ยวมั่ว ทำหน้าตาน่าสงสารมองไปที่หล่อน “ฉันยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย”
“ฉันไม่กินข้าวเที่ยง” ซย่าเสี่ยวมั่วพยายามจะแกะมือสวีรั่วชีที่อยู่ตรงเอวออก “ถ้าเธออยากกินข้าวก็โทรไปให้สวีอันหรานสั่งมาให้นู่น ส่วนถ้าอารมณ์ยังไม่ดีก็ไปเรียกสวีอันหรานมาปลอบซะ”
“ฮึ ฉันไม่อยากเจอหน้าพี่นี่”
“จู่ๆไปโมโหเขาแบบนี้มันไม่มีเหตุผลนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วหมุนตัวกลับมามองสวีรั่วชี “สวีอันหรานเป็นห่วงเธอมากนะ อย่าเอาแต่ใจตัวเองจนทำให้คนอื่นเขาไปห่วงสิ”
“ฉันไม่ได้บอกให้มาเป็นห่วงซะหน่อย ฉันก็อยู่ของฉันดีๆ ไม่มีอะไรทำหรืออย่างไรถึงมาห่วงอยู่นั่น” ตอนนี้สวีรั่วชียังดื้อรั้นอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ฟังที่ซย่าเสี่ยวมั่วพูด
ตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ค่อยดีนัก เธอกลัวว่าหากพูดอะไรออกไปอีกจะยิ่งเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ยิ่งทำให้สวีรั่วชีโมโหสวีอันหรานหนักขึ้นไปอีก จึงตัดจบการสนทนาเรื่องนี้ชั่วคราว “เอาเถอะ อย่างนั้นฉันไปทำงานก่อน อีกสักพักจะออกมาอยู่เป็นเพื่อน”
“ได้” สวีรั่วชีก็ไม่ได้คาดหวังว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะมาพูดคุยเป็นเพื่อนตน หญิงสาวหยิบหนังสือที่วางอยู่ที่โต๊ะขึ้นมาอ่านต่อ
ตอนที่ 506 พูดคุยอย่างลึกซึ้ง
อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็จะถึงวันงานแต่งงานแล้ว สวีอันหรานเตรียมทุกอย่างไว้เกือบเสร็จเรียบร้อย แต่สวีรั่วชียังไม่ได้มาตรวจสอบความเรียบร้อย และยังไม่รู้รายละเอียดพิธีการต่างๆเลย ทั้งคู่ยังไม่เคยได้มาซ้อมเลยด้วยซ้ำ แค่คิดสวีอันหรานก็รู้สึกปวดหัว
เดิมทีคนที่ต้องยุ่งกว่าสวีอันหรานอย่างเหยียนเค่อนั้น หลังจากกินข้าวกับเสิ่นมั่วหลีเสร็จตอนนี้ก็ย้ายไปนั่งที่ห้องทำงานกับเสิ่นมั่วหลีต่อ ชายหนุ่มว่างจนต้องเอากระดาษมาพับเล่น
“ความจริงตอนนี้ฉันควรจะกำลังซ่อมแซมวัตถุโบราณ ไม่ก็คัดลอกอักษรโบราณอยู่นะ” เสิ่นมั่วหลีพูดให้ฟังถึงเรื่องที่เขาควรกำลังทำอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ว่างมากขนาดเหยียนเค่อ แค่มีสมุดให้เล่มหนึ่งเขาก็หาอะไรทำได้แล้ว
เหยียนเค่อเงยหน้ามองชายหนุ่มแวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้มลงพับกระดาษต่อ “ดังนั้นพี่เลยจะขอบคุณผมใช่ไหม”
“ขอบคุณนาย?” เสิ่นมั่วหลีหยักยิ้มมุมปาก ช่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสินะ
เหยียนเค่อยิ้มเห็นเหงือก “ตอนนี้ฉันคิดแค่อยากกลับเมือง N”
“แล้วอย่างไร”
“ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าจะกลับเมือง N คืนนี้เลย” จู่ๆความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา เขาหันไปมองเสิ่นมั่วหลีอย่างจริงจัง ยิ่งคิดยิ่งต้องทำให้ได้
เสิ่นมั่วหลีตะลึงงัน คนมีเงินนี่เอาแต่ใจแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า
“นายไม่ได้ยุ่งอยู่เหรอ”
“ผมอยู่ที่ไหนก็มีให้ยุ่งเหมือนกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” เหยียนเค่อสวนกลับ “เดิมทีผมมาที่นี่ก็เพื่อมาเที่ยว ทำไมยังต้องอยู่ต่อล่ะ”
“นายไปแล้วฉันจะกินอะไรล่ะ” เสิ่นมั่วหลียังคิดอยู่ว่าเขาคงไม่ต้องเดือนร้อนเรื่องอาหารการกินไปอีกอาทิตย์หนึ่ง แต่ถ้าเหยียนเค่อกลับไปแล้วเขาก็ต้องกลับมาปวดหัวเรื่องอาหารอีกน่ะสิ
เหยียนเค่อขว้างเครื่องบินกระดาษให้ลอยไป ‘ฟิ้วว’ บนพื้นเต็มไปด้วยกระดาษราวกับทุ่งหญ้า เสิ่นมั่วหลีแทบไม่ได้สนใจว่าพื้นห้องจะรกสักขนาดไหน ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือปัญหาเรื่องอาหารของเขา
“ผมก็ยังแปลกใจอยู่ว่าทำไมพี่ผอมขนาดนี้” เหยียนเค่อพบว่าปริมาณอาหารที่ตนกับเสิ่นมั่วหลีกินก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แถมเสิ่นมั่วหลีก็ออกกำลังกายน้อยกว่าเขาอีก แต่กลับผอมกว่าเขา นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย
เสิ่นมั่วหลีตอบคำถามโดยการใช้สายตามองไปที่กระดาษรายงานที่กองสุมแทบจะถึงคางบนโต๊ะบนทำงาน “นายคิดว่าอย่างไรล่ะ”
“แบบนี้ก็ได้ด้วยหรอ” เหยียยนเค่อรู้สึกว่าทุกวันเขาก็ต้องจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมายแต่ทำไมไม่เห็นผอมลงบ้างเลย
เสิ่นมั่วหลีหมุนปากกาในมือยิ้มๆ “นายหุ่นดีกว่าเสิ่นจิ้งเฉิน”
“พูดได้ดี”
“เสิ่นจิ้งเฉินบอกว่านายผอมลงกว่าแต่ก่อนมาก” เสิ่นมั่วหลีไม่เคยเจอเหยียนเค่อมาก่อน แต่เขาคิดว่าต่อให้ชายหนุ่มผอมลงหุ่นก็คงไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไหร่
เหยียนเค่อเอื้อมตัวมาหยิบปากกาบนโต๊ะ แล้วนำไปขีดเขียนเล่นบนกระดาษที่กองอยู่ที่พื้นอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี “ช่วงก่อนหน้านี้เหนื่อยไปหน่อย เลยผอมลงนิดหนึ่ง แต่ดูไม่ค่อยออกหรอก”
“ทำไมนายไม่จัดพวกกิจกรรมการกุศลอะไรพวกนี้ล่ะ” เดิมทีเสิ่นมั่วหลีคิดว่าชายหนุ่มเป็นพวกไม่ชอบให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ แต่ว่าในบรรดาพวกเขา ชายหนุ่มดูโดดเด่นที่สุดแล้ว เสน่ห์ดึงดูดผู้คนก็มีมากกว่าพวกเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทำไมถึงเอาแต่ใจตัวเองไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรมอะไรแบบนี้นะ
เหยียนเค่อรู้สึกว่าวันนี้เสิ่นมั่วหลีดูสนใจเรื่องเขาแปลกๆ แกล้งเอ่ยแซว “นักข่าวสำนักไหนจ้างพี่มาใช่ไหม”
“หึหึ ก็แค่อยากรู้” เสิ่นมั่วหลีรู้สึกรำคาญที่ต้องพบปะผู้คนมากมายและก็ไม่ชอบเป็นที่สนใจของผู้อื่นดังนั้นเขาเลยไม่เคยไปร่วมงานพวกงานอภิปรายการวิจัยหรือพวกงานเลี้ยงต่างๆเลย จึงอยากจะรู้เหยียนเค่อจะเป็นเหมือนตนหรือไม่
เหยียนเค่อมองมือตัวเองจากนั้นมืออย่างหลงตัวเอง “ฉันดูดีขนาดนี้ถ้าถูกพวกนักข่าวจับกินจะทำอย่างไร”
“นายนี่มั่นใจในตัวเองจังเลยนะ” เสิ่นมั่วหลีคิดว่าชายหนุ่มไม่ได้พูดเล่น นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผล แต่ว่าก็คงไม่ใช่เหตุผลหลัก
“ต้องมั่นใจสิ อีกอย่างแต่ก่อนเป็นเพราะผมต้องปกป้องตัวเอง แต่ตอนนี้ผมมีคนที่ต้องปกป้อง” เหยียนเค่อเขียนคำว่า ‘มั่ว’ ลงในกระดาษ แถมวาดวงกลมล้อมรอบ ใช้พู่กันแต้มทับลงไป
“นี่เมือกนอก ถ้าเป็นบุคคลสาธารณะ แล้วถ้าพี่เปิดเผยตัวตน คนในครอบครัวของของพี่ก็จะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปด้วย ดังนั้นเพื่อสะดวกเวลาผมจะไปทำอะไรคบหากับใคร ผมเลยอยู่เงียบๆจะดีกว่า”
เสิ่นมั่วหลีไม่คิดว่าชายหนุ่มจะคิดรอบคอบถึงขั้นนี้
เหยียนเค่อไม่ชอบตกเป็นเป้าสาธารณะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนแรกเขาทำปกป้องชื้อเสียงของตนเองเวลาเขาออกไปเที่ยวเสเพลข้างนอก แต่หลังจากนั้นเขาก็ทำเพื่อปกป้องชีวิตส่วนตัวของคนรอบข้างไม่ให้พวกนักข่าวเอาไปเขียนข่าวเล่นได้