ออกจากบ้านของจูเป่ากั๋ว หมี่หลานก็ส่งโล่เฉินไปที่บริษัท
ในรถ
โล่เฉินถามด้วยความสงสัย “เจิ้งข่ายโกรธมาก ทำไมเธอถึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าจะมาส่งฉัน?”
หมี่หลานมีสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน หลังจากเงียบไปนาน เธอก็ค่อยพูดออกมาเสียงเบาว่า “โล่เฉิน ฉัน ฉันขอตามนายได้ไหม”
“ติดตามฉัน?”
“อืม ฉันสามารถเป็นสตรีมเมอร์ของบริษัทนายได้”
หมี่หลานหยุดรถ สีหน้าดูหนักแน่น “ฉันไม่อยากเป็นของเล่นของพวกลูกเศรษฐีหรือพวกคนรวยแล้ว ฉันอยากเป็นตัวเอง ด้วยรูปร่างหน้าตาของฉัน เป็นสตรีมเมอร์คงไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“เธอไม่ได้บอกเองหรือว่าพอเป็นเมียน้อย คู่นอนวงการพวกนี้แล้ว คิดอยากจะถอนตัวก็ยากมากไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป”
ดวงตาของหมี่หลานเป็นประกาย เธอเอ่ยยิ้มเบาๆ “นายมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหมอเทพป๋อ ทุกคนล้วนมองออก หมอเทพป๋อชื่นชมนาย มีความสัมพันธ์แบบนี้อยู่ ฉันตามนาย เจิ้งข่ายก็จะไม่มีทางและไม่กล้ามาหาเรื่องฉัน”
“ใช้ประโยชน์จากฉันอีกแล้ว?”
“ไม่ไม่ไม่ ฉันไม่ต้องการที่จะขายวิญญาณของฉันอีกแล้ว หรือบางทีฉันอาจจะไร้วิญญาณไปแล้ว หลายปีมานี้ ฉันถูกเล่นเสียจนกลายเป็นเย็นชาไปแล้ว ตอนนี้ ฉันอยากกลับไปเป็นตัวของตัวเอง อาศัยช่วงที่ฉันยังสาว ฉันอยากเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเอง”
หมี่หลานสีหน้าเต็มไปด้วยความอ้อนวอน น้ำเสียงของเธอปนสะอื้น “โล่เฉินขอร้องนายล่ะ เห็นแก่ชะตาชีวิตที่ยากลำบากของเราทั้งคู่ นายตกลงเถอะนะ ขอแค่นายยอมตกลง ฉันสามารถขายร่างกายของฉันครั้งสุดท้ายก็ได้”
พูดจบ ในอ้อมแขนของโล่เฉินก็มีร่างงามสะโอดสะองเพิ่มเข้ามา
หมี่หลานเป็นสามงามคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เซ็กซี่ร้อนแรง นั่นเพราะเธอทำงานเป็นเมียน้อย ทักษะการเกลี้ยกล่อมผู้ชายของเธอนั้นเป็นช่ำชองอย่างยิ่ง เสน่ห์เต็มเปี่ยม
เมื่อเขาพบว่ามือของหมี่หลานแตะลงที่เป้ากางเกงของตน โล่เฉินก็รีบดันเธอออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ถ้ายังเข้ามามั่วซั่วแบบนี้ อย่าโทษฉันที่หยาบคาย”
“ชิ ขี้ขลาดขนาดนี้เชียว กลัวอะไรกัน ภรรยาของนายไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย”
โล่เฉินจัดเสื้อผ้าของตนและพูดว่า “เห็นแก่ชีวิตที่ยากลำบากของเธอ เธอสามารถเข้าไปเป็นสตรีมเมอร์ในบริษัทของฉันได้”
“จริงหรือ?”
“อย่างไรก็ตาม ฉันยังไม่สามารถเชื่อใจเธอได้ ใครจะไปรู้ว่าเจิ้งข่ายจงใจส่งเธอมาเพื่อก่อเรื่องโดยเฉพาะรึเปล่า”
หัวของหมี่หลานสั่นรัวๆ โล่เฉินโบกมือแล้วพูดขึ้น “เอาเป็นว่ามีระยะทดสอบงานหนึ่งเดือน ถ้าไม่ได้ทำให้ฉันพอใจ อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องขอโทษแล้ว”
“ไม่ต้องห่วง ฉันสามารถทำตามมาตรฐานของนายได้แน่”
โล่เฉินพยักหน้า ในใจพอใจอยู่ไม่น้อย
นี่คืออะไร?
การช่วยชีวิตผู้หญิงที่ล้มลง ถือเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
“เฮ้ พี่เฉิน ทักษะทางการแพทย์ของนายเก่งกาจขนาดนั้น แค่เปิดสถานพยาบาลสักที่นายก็หาเงินได้มากมายแล้ว ทำไมยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ในตระกูลหานเป็นเวลาตั้งสามปี”
ในที่สุดหมี่หลานก็ถามข้อสงสัยในใจขึ้นมา
โล่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันขี้เกียจมาก ไม่อยากทำเรื่องไร้สาระพวกนี้”
“เอ่อ-”
ใบหน้าของหมี่หลานกระตุกเล็กน้อย เธอรู้ว่าโล่เฉินแต่ตอบแบบขอไปที ดังนั้นจึงไม่ถามต่ออย่างรู้ความ
กลับไปที่บริษัท โล่เฉินก็พูดอะไรบางอย่าง
หลังจากรู้ว่าบริษัทรอดแล้ว ผู้หญิงทุกคนก็ดีใจอย่างมาก การเข้าร่วมของหมี่หลาน ยิ่งทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวามากขึ้น
เมื่อมองไปที่เหล่าสาวสวยในห้อง สีหน้าของโล่เฉินก็มีสีสันอย่างมาก
“จื่อเยว่ล่ะ?”
ในห้องถ่ายทอดสด เซี่ยซือหานพึมพำ “เอาแต่ฝึกฝนมาโดยตลอด ยัยหนูคนนั้นคล้ายจะถูกครอบงำไปแล้ว ลืมกินลืมนอน แต่เรื่องพรสวรรค์ของเธอนั้นไม่ต้องพูดถึง สัปดาห์กว่าๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว”
“เธอฝึกฝนการบำเพ็ญเหรอ” เซี่ยซือหานเอ่ยเพิ่มอีกประโยค
โล่เฉินพยักหน้า จากนั้นจึงเหลือบมองดูเด็กสาวหน้ามัธยมนมมหาลัยอย่างฮาตา คังมิงปูที่ตอนนี้กำลังกินขนมและเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ เขาเอ่ยถามอย่างเงียบ ๆ “ช่วงที่ฉันไม่อยู่ ไม่ได้เจออันตรายอะไรใช่ไหม?”
“คุณหมายถึงนินจาเหรอ? ไม่มีนะ”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
เซี่ยซือหานเอ่ยขึ้นอีก “อุบัติเหตุของตระกูลหานสำหรับคุณแล้วนี่เป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก ก็แค่เรื่องเงินไม่ใช่หรือไง คนที่รวยที่สุดในเจียงโจวเป็นถึงคนของนาย”
“ไม่ ค่าชดเชยความเสียหายและบาดเจ็บตระกูลเจิ้งเป็นคนออก เจิ้งข่ายแพ้เดิมพันกับฉัน”
ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เป็นหานหยู่เยนที่โทรมา
โล่เฉินรีบรับสาย มีน้ำเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นมาจากปลายอีกด้าน “โล่เฉิน ไม่ได้การแล้ว คุณย่าล้มป่วยแล้ว”
“คุณอย่าเพิ่งร้องไห้”
“ฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว กำลังจะถึงบ้านเก่าแก่ของตระกูลหาน คุณอยู่ในบริษัทใช่ไหม รีบมาที่นี่เถอะ” น้ำเสียงของหานหยู่เยนผสมไปด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว
“ไม่มีปัญหา ผมจะไปที่นั่นทันที”
คุณย่าหายล้มป่วย ในใจของโล่เฉินไม่ได้รู้สึกปั่นป่วนใดๆเลยสักนิด
ถึงขนาดที่ว่า
เขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่อยากจะยื่นมือช่วยรักษา
หญิงชราคนนี้ลำเอียงอย่างมาก ไม่เคยมองเห็นครอบครัวของหานหยู่เยนอยู่ในสายตา โล่เฉินไม่ใช่พ่อพระ เขาไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยไปเสียทุกคน
หลังจากฝากให้เซี่ยซือหานดูแลบริษัทให้ดีๆ โล่เฉินก็รีบไปที่บ้านเก่าแก่ของตระกูลหาน
เมื่อฉันไปถึง ก็พบกระดาษถูกเผาจำนวนมากหน้าบ้านตระกูลหาน
“น่าจะเป็นครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ไซต์ก่อสร้างปินหูมาเผากระดาษร้องไห้ส่งคนตาย ไม่น่าแปลกใจที่หญิงชราจะล้มป่วย ใครจะไปทนได้!”
โล่เฉินเดินเข้าไปในบ้านเก่าแก่ของตระกูลหานและมาที่สวนหลังบ้าน
ที่ลานบ้านของหญิงชราแออัดไปด้วยผู้คน ญาติพี่น้องพูดคุยกัน บางคนถึงกับเถียงกัน หูตาแดงก่ำ
มีหญิงวัยกลางคนส่วนใหญ่ตะโกนขึ้นมา เรียกร้องต้องการเงิน
“โล่เฉินมาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอ่ยร้องขึ้นมา
ทันใดนั้น ความสนใจของทุกคนก็รวมตัวกันอยู่ที่โล่เฉิน ผู้หญิงวัยกลางคนหลายคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นโล่เฉินก็ถูกล้อมไว้ทันที
“เอาเงินมา!”
“ไอ้ขยะ เอาเงินออกมาเดี๋ยวนี้”
“บริษัทของนายมีเงินลงทุนของตระกูลเจิ้งอยู่ 15 ล้าน เอามันออกมาให้หมดและแบ่งให้ทุกคน”
“ถ้าวันนี้นายไม่เอาเงินออกมาก็อย่าหวังว่าจะได้ออกจากบ้านเก่าแก่ของตระกูลหาน!”
……
เสียงชายและหญิงเอะอะดังขึ้น น้ำลายสาดกระเซ็น
โล่เฉินหัวโตขึ้นมาทันที
“พอได้แล้ว!”
ทันใดนั้น ที่ประตูบ้านก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา
“คุณย่าล้มป่วย แต่พวกคุณกลับต้องการเงินเพื่อหลบหนี ไม่รู้สึกผิดต่อคุณย่าและตระกูลหานเลยหรือไง!”
บรรยากาศเงียบสงบลง
วินาทีถัดมา คุณนายร่างท้วมคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น “เธอนังคนชั้นต่ำยังมีหน้ามาพูดจาอยู่อีก ตระกูลหานล่มสลายลงไม่ใช่เพราะเธอหรือไง”
“ใช่ เธอเป็นผู้รับผิดชอบโครงการปินหูประสาอะไรกัน”
“ฉันสงสัยว่านังคนชั้นต่ำนี่ตั้งใจแก้แค้น จงใจทำลายตระกูลหาน ใจดำอำมหิตจริงๆ”
“วันนี้ฉันจะยืนยันคำพูดของฉันที่นี่ ถ้าโล่เฉินไม่นำเงินออกมา ก็จงแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาเอาเอง ฉันทำได้ทุกอย่าง”
……
เมื่อมีคนเป็นผู้นำ ฝูงชนก็ตื่นตัวขึ้นมา
มีชายชราหลายคนที่เป็นชนชั้นช่างสุดของตระกูลหายและไม่ได้ถูกควบคุมโดยตำรวจ ถึงกับถือแท่งเหล็ก กระบองและอุปกรณ์อื่นอยู่ในมืออีกด้วย
หานหยู่เยนตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว เธอร้องอุทานขึ้น “พวกคุณ พวกคุณกำลังจะกบฏเหรอ?”
“หุบปาก!”
“ยังต้องกบฏอีกหรือไง ตระกูลขยะอย่างตระกูลหาน เป็นแค่ตระกูลชั้นสามแล้วคิดว่าตัวเองเป็นโลกทั้งใบแล้วหรือไง หากไม่ใช่เพราะยังมีให้กินให้ดื่มอยู่หน่อย ใครกันจะอยากอยู่ในตระกูลหาน”
“ใช่ ในที่สุดยายแก่นั่นก็ล้มป่วยลง ทางที่ดีที่สุดจงรีบตายอีกสักหน่อย”
“ยายแก่หนังเหนียวตายยาก รีบนำเงินฝากของตระกูลหานออกมาให้หมด ไม่อย่างนั้น วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของคุณ”
คนหนุ่มสาวทั้งหลายคนตะโกนสุดเสียง
หานหยู่เยนโกรธมาก สีหน้าขาวซีดของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง “พวกคนไม่รู้สึกบุญคุณคน พวกคุณไม่คู่ควรกับตระกูลหาน”
“ใครอยากเป็นคนตระกูลหาน มีก็แค่คนโง่อย่างเธอเท่านั้นที่เห็นตระกูลหานเป็นสมบัติ”
“บ้าเอ๊ย ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ”
“เอาเป็นว่า แค่คำเดียว เอาเงินมา”
……
โล่เฉินโกรธขึ้นมาแล้ว เขาไม่เคยเห็นญาติที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้
เขาตะโกนขึ้น “หุบปากให้หมด!”
ทันใดนั้นทุกอย่างก็เงียบลง
“ผมจะเข้าไปดูก่อน พวกคุณล้อมผมเอาไว้ที่นี่แล้วได้เงินหรือไง? หากบีบคั้นกันมากไป อย่าโทษผมโทรหาตำรวจ พวกคุณอยากถูกจับใช่ไหม”
ท่าทางของโล่เฉินนั้นทรงพลังอย่างมากจนทำให้เขาควบคุมบางคนได้จริงๆ
บวกกับตอนนี้ที่ตระกูลหานกำลังตกอยู่ในอันตราย
ทุกคนล้วนกลัวที่จะต้องเจอตำรวจ..
“ทุกคนหลีกทางหน่อย ให้เขาเข้าไปหายายแก่หนังเหนียวนั่น”
“ใช่ ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก”
“รีบไป อย่ามาโอ้เอ้ ดูเสร็จแล้วก็เอาเงินมาซะ”
โล่เฉินมาที่หน้าประตูและโอบหานหยู่เยนเข้าไปข้างในห้อง
มีคนอยู่ในห้องไม่น้อย
หานเจี้ยนเย่สองสามีภรรยา หานเจี้ยนกั๋วที่ถูกไล่ออกจากตระกูลไปแล้วก็มาด้วยเช่นกัน หานหยุนเทา หานหยุนซี หานหยางพวกคนหนุ่มสาวก็มา
บนเตียง หญิงชราใบหน้าซีดเซียว
ไม่ได้เจอหลายวัน น้ำหนักลดลงไปมาก ไร้ลักษณะของหญิงชราผู้ทรงพลังในก่อนหน้าอีกต่อไป มองดูแล้วราวกับได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งลงในหลุมฝังศพไปแล้ว
โล่เฉินปรากฏตัว ดวงตาของหานหยุนเทาเปล่งประกายขึ้นมาทันที
“ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่?”
“มาไม่ได้หรือไง?” โล่เฉินถามกลับ
เขายืนอยู่ด้านหนึ่ง มองดูอย่างเย็นชา ไม่คิดที่จะยื่นมือรักษา
หานเจี้ยนเย่เหลือบมองที่โล่เฉิน สีหน้าของเขาซับซ้อน
เหตุการณ์กระโดดตึกเมื่อครั้งก่อน ทักษะทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ของโล่เฉินสร้างความประทับใจให้เขามาก ด้วยทักษะที่สูงส่งขนาดนี้ จะสามารถช่วยแม่ของเขาได้หรือไม่?
เมื่อมองดูท่าทีของโล่เฉิน เขาคล้ายไม่มีเจตนาที่จะช่วยเลยสักนิด
ก็ใช่
ถ้าแม่ยังอยู่ ก็จะกดขี่หยู่เยนอีกครั้ง แต่ถ้าแม่ไม่อยู่ ตระกูลหานจะยังคงอยู่ต่อไปได้หรือไม่?
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ตระกูลหานใกล้จะล่มสลายแล้ว
หานเจี้ยนเย่คิดอย่างลับๆ
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะลองดูและก้าวไปหาโล่เฉิน
ในเวลานั้นเอง เสียงอันอ่อนแรงของหญิงชราที่อยู่ในห้องก็ดังก้องขึ้น
“โล่เฉิน นายมานี่ ฉันมีอะไรจะพูดกับนาย”