Sign in Buddha’s palm 5 เขตหวงห้ามด้านหลังเขา
“ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน] อย่างงั้นหรอ?”
หัวหน้าตำหนักที่เหลือได้ยินสิ่งนี้เข้าไปดวงตากลมโตแทบจะถลน
[กายาวัชระคงกระพัน] เป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะของเส้าหลิน หัวหน้าตำหนักที่ยืนอยู่กันในที่นี่ต่างก็ได้ฝึกมันมาแล้วกันทั้งนั้น
กระไรก็ตาม [กายาวัชระคงกระพัน] มันง่ายที่จะเริ่มฝึก แต่เพื่อให้ฝึกจนสำเร็จวิชานั้นเรียกว่ายากราวกับปีนป่ายสวรรค์
ปกติแล้วมันยากกว่าสิบเท่าในการฝึกกายาวัชระคงกระพันให้ไปถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบกับการที่คนธรรมดาคนหนึ่งยกระดับจากระดับชั้นที่เก้าขึ้นไปสามระดับบน
แน่นอนว่ากายาวัชระคงกระพันเมื่อขึ้นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้วนั้นเพียงแค่ร่างกายเปล่าๆ ก็สามารถท้าทายผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนได้แล้ว มันเป็นอะไรที่น่าหวั่นเกรงมาก
เพียงแค่คุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แล้วใช้พรสวรรค์นั้นอย่างเต็มที่มุ่งไปในการบ่มเพาะวิชาการต่อสู้ แล้วก็เลื่อนขั้นไปเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนไม่ดีกว่าหรือ?
ดังนั้นที่วัดเส้าหลิน [กายาวัชระคงกระพัน] จึงเป็นวิชาบ่มเพาะที่ไม่ได้รับความนิยมนัก
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า [กายาวัชระคงกระพัน] เป็นวิชาที่มีศักยภาพสูงส่ง แต่ศิษย์ใดเล่าจะเต็มใจเสียเวลาไปกับมัน
เพราะเมื่อเทียบแล้วมันได้ไม่คุ้มเสียเอาเสียเลย
ถึงแม้ศิษย์ของวัดเส้าหลินจะค่อนข้างซื่อๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์หันหน้าไปมองหัวหน้าลานอรหันต์ “เอาล่ะ ลานอรหันต์ปกปิดมันได้อย่างแนบเนียนเสียจริง ไม่คาดคิดเลยนะเนี่ยว่าถึงกับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน]? ”
ในบรรดาตำหนักต่างๆ ในเส้าหลิน ตำหนักลานอรหันต์เป็นแหล่งที่ค้นคว้าทำความเข้าใจคัมภีร์กายาวัชระคงกระพันมากที่สุด
หากมีศิษย์คนใดที่จะฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] ได้จนถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็มีแต่จะอยู่ที่ลานอรหันต์นี้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลทองแดงก็ยังตั้งอยู่ที่ลานอรหันต์
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ถึงถามออกไปเช่นนี้
ทันทีที่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กล่าวออกไป เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็หันมาสบตากัน
“นะโม อมิตาพุทธ”
หัวหน้าลานอรหันต์รีบตอบกลับไปทันที “พระผู้น้อยทุกคนในลานอรหันต์ต่างก็รู้กันดีว่าไม่มีใครที่จะสามารถฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] ได้ไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”
คำพูดถูกกล่าวออกมา
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายถึงกับผงะ
ถ้าไม่ใช่ศิษย์ของตำหนักลานอรหันต์ แล้วจะเป็นศิษย์ไหนได้อีกเล่าที่จะสามารถฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] ได้ไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้?
ไม่นานนัก
หัวหน้าฝ่ายวินัยก็ถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “หรือมันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน?”
ห้าปีก่อน องค์ยูไลทองคำปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือโถงประชุมใหญ่ สาดแสงกระจายสว่างไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน
ในตอนนั้นเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักต่างก็คิดกันว่าคงมีศิษย์คนใดสักคนหนึ่งที่ได้รับความโปรดปรานจากองค์ยูไล ก็คิดไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ยังไงก็ตามในท้ายที่สุดแล้วเขาตรวจสอบศิษย์ที่อยู่ด้านในโถงประชุมใหญ่ทั้งหมดแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด
เหตุการณ์นั้นยังคงประทับอยู่ในใจของเจ้าอาวาสเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เขาก็ยังแอบตรวจสอบมันอยู่อย่างลับๆ
ทว่าน่าเสียดาย
ห้าปีที่ผ่านมา อัจฉริยะผุดขึ้นมากมายในวัดเส้าหลิน แต่มันก็ยังคงไม่มากพอที่พวกเขาจะดึงดูดความชื่นชมจากองค์ยูไลได้
“พอแล้วล่ะ พอแล้วล่ะ คนผู้นี้ฝึกฝนกายาวัชระคงกระพันมาจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้แล้วจริงๆ แล้วเขาก็ยังเป็นคนของสำนักเราอีก ในเมื่อเขาไม่ต้องการจะเปิดเผยตัว ไยจำต้องไปรบกวนเขาเล่า…”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจออกมาน้อยๆ
[กายาวัชระคงกระพัน] เป็นวิชาที่ทำให้เชี่ยวชาญในร่างกาย เมื่อไปถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ย่อมมีความสามารถในควบคุมร่างกายได้อย่างน่าหวาดกลัว ถ้าคนคนนั้นตั้งใจจะปิดบังลมปราณ นอกเสียจากจะเป็นพระระดับอรหันต์มาตรวจสอบเอง ยังไงการปิดบังนั้นก็ไม่มีวันถูกเปิดเผย
“อาตมาจะไม่กล่าวเรื่องนี้ให้มากความไปอีก”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ระยะเวลาหนึ่งร้อยปีคืบคลานเข้ามาแล้ว ตำหนักแต่ละแห่งจงเตรียมรับมือให้พร้อม”
เวลาหนึ่งร้อยปี…
เมื่อได้ยินคำสี่คำนี้หัวหน้าตำหนักต่างเปลี่ยนสีหน้าไปแล้วค่อยๆ หันมองไปยังทิศทางภูเขาต้องห้ามด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
…
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
“ถ้าอยู่นานกว่านี้อีกหน่อยข้ากลัวว่าจะต้องถูกจับได้”
ซูฉินถอนหายใจโล่งอกเมื่อเขากลับมาถึงลานจิปาถะ
ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน หลังจากที่บุกฝ่าด่านค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถวได้แล้ว เขามีความสามารถล้นเหลือที่จะหยุดยั้งระฆังไม่ให้ดังขึ้น
แต่ซูฉินหมกมุ่นกับความสำเร็จในการตัดผ่านมากจนลืมที่จะหยุดยั้ง
“อย่างไรก็เถอะ หลังจากถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของกายาวัชระคงกระพันแล้ว มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างกันน้า…”
ซูฉินพึมพำอยู่กับตัวเอง
ตอนนี้ลมปราณของซูฉินถูกปกปิดอย่างสมบูรณ์ ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาตรวจสอบด้วยตนเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบอะไร
มีแต่ซูฉินคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้เขามีพลังอันน่าหวาดกลัวถึงระดับไหน
ตอนฝ่าด่านค่ายกลร้อยแปดแถวเขาใช้พลังร่างกายล้วนๆ ไปเพียงนิดหน่อยเท่านั้น พวกหุ่นทองแดงเหล่านั้นก็แตกกระจาย
ถ้าเกิดว่าเขาได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของกายเนื้อนี้พลังมันจะรุนแรงสักแค่ไหนกัน…
ซูฉินเฝ้ารอที่จะเห็นสิ่งนั้น
“ต่อไป ถึงเวลาแล้วล่ะที่จะตัดผ่านเข้าสู่ขั้นถัดไป”
ซูฉินนั่งลงตัดสินบางอย่างในใจ
ตั้งแต่ที่เข้ามาสู่ระดับชั้นที่สี่เมื่อปีที่แล้ว ซูฉินก็ได้กดระงับฐานการบ่มเพาะชะลอการตัดผ่านสู่ขั้นใหม่ของเขาเอาไว้
ไม่ใช่ว่าซูฉินไม่อยากจะก้าวหน้า
เพียงแต่มันมีความเสี่ยงใหญ่หลวงในการเข้าสู่สามระดับบน
ความเสี่ยงครั้งนี้ไม่ได้มาจากสิ่งใดภายในตน แต่เป็นพลังจากภายนอก พลังแห่งฟ้าดิน
ผู้ฝึกยุทธที่ต้องการจะก้าวเข้าสู่สามระดับบน กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สาม อย่างแรกคือต้องปล่อยเส้นทางระหว่างตนและโลกเบื้องนอกให้เปิดออกจนสุด แล้วจึงชักนำพลังของโลกมาชำระล้างภายใน
มีเพียงวิธีนี้จึงจะเข้าสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน
กระนั้นความยิ่งใหญ่ผยองเดชของปราณโลกมันมากเพียงใดเล่า? หากปล่อยให้มันไหลบ่าไปทั่วร่าง ใครเล่าจะกล้าคาดเดาถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น?
ผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สี่หลายต่อหลายคนร่างระเบิดออกและตายลงเพราะต้องการจะตัดผ่านสู่ชั้นถัดไป
แม้ว่าเขาจะรอดตายมาได้ เส้นเลือดย่อมแตกซ่าน ไม่เหลือสิ่งใดเป็นได้เพียงขยะ
นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนถึงมีน้อยนัก
ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธระดับสี่สักห้าสิบคน คงจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถตัดผ่านไปได้สำเร็จ แม้ว่าจะคิดเรื่องของโชคเข้ามาช่วยด้วยก็ตาม
แม้แต่สุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน การตัดผ่านสู่ขั้นสามระดับบนถือว่าต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด และต้องมีหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสดูแลอย่างใกล้ชิด
ดังนั้นซูฉินจึงระมัดระวังอย่างมาก
“เมื่อใดก็ตามที่ตัดผ่านแล้วก้าวเข้าสู่สามระดับบน ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดก็คือพลังปราณในโลกหล้าจะไหลบ่าเข้าสู่กาย ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เตรียมถูกแผดเผาจนตายได้เลย”
“เหตุผลของเรื่องนี้มันง่ายเอามากๆ ก็เพราะกายเนื้อเขาพวกเรานั้นมันอ่อนแอ”
“ถ้ากายเนื้อแข็งแกร่งมากพอที่จะไม่สนพลังปราณของโลก กล่าวได้ว่าความเสี่ยงนั้นมันไร้ค่าเกินกว่าจะพูดถึง”
ความคิดของซูฉินพลิกไปมาหลายตลบ “แต่ตอนนี้ฉันได้ฝึก [กายาวัชระคงกระพัน] ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แค่กายเนื้ออย่างเดียวก็เอาไปชนกับพวกสามระดับบนได้แล้ว”
“ด้วยกายเนื้อนี้ มันควรจะไร้ซึ่งปัญหายามเผชิญกับปราณของโลก”
ซูฉินคาดเดาภายในใจ
ถึงแม้ตัวเขาจะเชื่อว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของกายาวัชระคงกระพันเพียงพอที่จะจัดการกับความเสี่ยงในการตัดผ่าน เขาก็ยังคิดว่าจะรอไปอีกสักสองสามเดือนเผื่อในกรณีที่เขาเข้าใจบางอย่างผิดพลาดไป
ใช้เวลาสองสามเดือนนั้นในการลงชื่อเพื่อรับโอสถชำระไขกระดูกและโอสถอื่นๆ ที่ช่วยเสริมสร้างกายเนื้อ
ไม่เป็นอะไรหรอก ก่อนหน้าก็รอมาเป็นปีแล้ว จะรอต่ออีกไม่กี่เดือนก็ไม่ได้แย่อะไรนัก
จากนั้นซูฉินก็ตัดใจเลิกลงชื่อเข้าใช้ที่ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์แล้วใช้โอกาสที่เหลือไปลงชื่อที่ลานโพธิ์แทน
ระหว่างระยะเวลานั้น ซูฉินรู้สึกชัดว่าวัดเส้าหลินดูเหมือนจะมีการเฝ้าระวังกันตลอด
บรรยากาศที่ช่างน่าหวาดระแวงก่อตัวรุนแรงขึ้น
แม้แต่เณรกวาดลานอย่างซูฉิน ตัวตนอันต้อยต่ำ ยังรู้สึกได้เลยว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
ขณะกำลังกวาดลานวัดอยู่นั้น ซูฉินก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบกันของเหล่าศิษย์คนอื่นๆ จับใจความได้แค่บางคำเช่น ‘เวลาหนึ่งร้อยปี‘ แล้วก็ ‘เขตหวงห้ามหลังเขา‘
“เขตหวงห้ามแถวภูเขางั้นหรอ?”
ใบหน้าซูฉินแสดงออกว่ากำลังครุ่นคิด
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ ซูฉินไปมาทั่วทุกมุมของวัดจะมีเพียงก็แต่เขตหวงห้ามบางที่ที่ไม่ได้เข้าไป
ในหมู่สถานที่ที่ว่ามาก็คือเขตหวงห้ามบริเวณภูเขาของวัดเส้าหลิน
ในช่วงสี่ปีแรก ซูฉินยังอ่อนแอและไม่กล้าเข้าไปในเขตหวงห้ามอย่างเช่นภูเขาด้านหลัง
แต่หลังจากซูฉินเข้าสู่ระดับชั้นที่สี่ เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือที่บริเวณภูเขามีกลิ่นไอทรงพลังจางๆ อยู่
เพราะว่าเรื่องนี้ซูฉินจึงไม่เคยเฉียดไปใกล้บริเวณภูเขาเลย
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่เณรกวาดลาน มันไม่มีเรื่องราวใดที่ข้าต้องกระทำหรอก”
ซูฉินคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้สนใจมันมาก
ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าที่ถล่มลงมา ย่อมจะมีร่างอันสูงใหญ่ไปต่อต้านมัน ด้วยฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพ วัดเส้าหลินน่ะมีรากฐานที่ลึกซึ้งไม่อาจประเมินได้ ซูฉินเพียงแค่ต้องปกป้องตัวเองแล้วก็กวาดลานวัดเท่านั้น