เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 31

ตอนที่ 31

Sign in Buddha’s palm 31 ชีวิตและความตาย

“พระตัวน้อย”

“ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้หรือไม่?”

จากนั้นไม่นานองค์หญิงตัวน้อยก็สงบเสงี่ยมลงและถามออกอย่างระมัดระวัง

“ถามมาสิ” ซูฉินตอบกลับเรียบๆ

เขาไม่ได้มีความสนใจองค์หญิงราชวงศ์ถังคนนี้

ท้ายที่สุดองค์หญิงน้อยพระองค์นี้ก็อายุเพียงสิบกว่าขวบ ซูฉินหาได้เป็นนักเล่นแร่แปรทองแดง[1]ไม่ เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจนัก

“เจ้าคิดว่าอาณาจักรถังจะปลอดภัยดีหรือเปล่า?”

องค์หญิงมองไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่จากนั้นจึงลดเสียงลง

“อาณาจักรถังจะอยู่รอดปลอดภัยไหมงั้นหรือ?”

ซูฉินไม่คาดคิดว่าองค์หญิงพระองค์น้อยจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา

ถ้าองค์หญิงถามว่าองค์จักรพรรดิถังจะปลอดภัยหรือไม่ ซูฉินยังพอเข้าใจได้ แต่นี่องค์หญิงถามถึงอาณาจักรถังจริงๆ รึ?

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับการเสด็จสวรรคตขององค์จักรพรรดิ”

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากจักรพรรดิถังสถาปนารัชทายาทแล้วเนรเทศองค์ชายพระองค์อื่นๆ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคต วังหลวงก็ย่อมมีเสถียรภาพและดำรงอยู่ได้ต่อไปอีกเป็นร้อยปี”

น้ำเสียงของซูฉินราบเรียบราวกับเรื่องราวการเนรเทศและการตายของเหล่าองค์ชาย เป็นเรื่องง่ายๆ ราวกับการกินข้าวสองสามชามยามเที่ยง

ถ้าคนอื่นได้ยินคำพูดของซูฉิน แม้แต่เจ้าอาวาสก็ต้องตกใจ

แม้ว่าจะเป็นขุนนางชั้นสูงก็มิกล้าจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหล่าองค์ชายในลักษณะนี้

แต่องค์หญิงน้อยคิดเป็นจริงเป็นจังกับสิ่งนี้ ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ข้าเองยังรู้เลยว่าเบื้องหลังพี่น้องขององค์จักรพรรดิ[2]นั้นมีขุนนางน้อยใหญ่และเหล่าองค์ชายที่สนับสนุน”

“เมื่อน้องชายของจักรพรรดิต้องโทษประหารชีวิตจะต้องนำไปสู่การลุกฮือของราชวงศ์และขุนนาง ความวุ่นวายจะมาสู่ราชสำนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“งั้นก็กวาดล้างศักดินาและชำระศาลขุนนางเสียใหม่!” ซูฉินกล่าวถ้อยคำเชื่องช้า

ใบหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

เหล่าข้าราชบริพารต่างยืนหยัดในฝักในฝ่ายของตัวเอง สนับสนุน เสริมแกร่งพวกพ้องของตนเอง หากโค่นล้มตระกูลศักดินาลงได้จริงก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปกครองราชวงศ์ถังต่อไปในอนาคต

“พระตัวน้อย วิสัยทัศน์ของเจ้าแจ่มชัดยิ่ง”

องค์หญิงตัวเล็กมองไปที่ซูฉินอย่างลึกซึ้ง

หนึ่งเดือนต่อมา

กลุ่มของพระชายาลี่เฟยเข้าอำลาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

พอเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้ข่าวจึงไปส่งพระนางลี่เฟยออกจากวัดพร้อมกับพวกหัวหน้าตำหนัก

“พระนางลี่เฟยกลับไปในเวลานี้ ในวังหลวงมีเรื่องราวผิดปกติใดหรือไม่นะ?” หัวหน้าลานอรหันต์ขมวดคิ้วและพูดขึ้นขณะมองไปยังเสลี่ยงหยกที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา

“อาตมาได้ยินข่าวมาว่า จ้าวกงกงขันทีข้างพระวรกายเหมือนจะใช้วิธีบางอย่างเพื่อยืดอายุขัยของจักรพรรดิถังออกไปอีกสองสามปี”

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์พูดกระซิบ

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น หัวหน้าลานอรหันต์ก็อุทานออกมา “จ้าวกงกงผู้นี้เป็นมีผู้มีความรู้ความสามารถมากมายยิ่งนัก ยังไม่นับว่าชายผู้นี้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งอีกนะ กับการเป็นชายไม่สมบูรณ์แต่ความสำเร็จของเขานั้นสมบูรณ์แบบยิ่ง น่าเลื่อมใสๆ!”

“เอาหละ ไม่ต้องไปยุ่งถกเถียงข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกมากนักหรอก” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองหัวหน้าตำหนักทั้งสองก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

ด้วยการจากไปของลี่เฟยและคณะ วัดเส้าหลินก็หวนคืนสู่สภาพเดิมดั่งอดีตอีกครั้ง

ทว่าไม่กี่เดือนถัดมา

วันและคืนผ่านพ้น

ซูฉินจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง ร่างของเขาวูบไหวกะพริบ แล้วมาปรากฏตัวอีกทีที่ด้านหน้าห้องของหัวหน้าลานจิปาถะ

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซึมผ่านเข้าไป

แม้จะถูกกั้นด้วยประตู แต่ซูฉินก็รู้ทุกอย่างในห้องนั้นดี

ภายใต้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ซูฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังชีวิตของหัวหน้าลานจิปาถะกำลังค่อยๆ อ่อนกำลังลง อ่อนกำลังลง

ซูฉินเงียบงัน

จากสภาพของหัวหน้าลานจิปาถะในปัจจุบัน ควรจะมรณภาพภายในวันนี้ อีกไม่นานคงจะจากไป

หัวหน้าลานจิปาถะเป็นคนพาซูฉินมาลานจิปาถะเป็นการส่วนตัว หากไม่ได้ท่านละก็ ซูฉินคงมิอาจจะนมัสการเข้าร่วมกับวัดเส้าหลินได้

“ท่านหัวหน้าตำหนัก…”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ผลักประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

“เจินกวนนี่เอง……” หัวหน้าลานจิปาถะลืมตาขึ้น ยิ้มเย็นมองไปที่เจินกวนและพูดว่า “สุดท้ายแล้วก็เป็นเจ้าที่มาอยู่ข้างกายข้าในยามนี้”

“หัวหน้าตำหนักท่านมีความปรารถนาใดหรือไม่?” ซูฉินเหลือบมองสภาพร่างกายของหัวหน้าตำหนักแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ความปรารถนา?”

หัวหน้าลานจิปาถะส่ายหัว “ข้าอยู่มาเกือบร้อยปีแล้ว เมื่อสมัยหนุ่มๆ ข้าใช้ดาบเพื่อปรนเปรอดื่มด่ำในความรักความฝัน แล้วหลังจากนั้นจึงได้ละทางโลกเข้าร่วมกับวัดเส้าหลิน ข้ามีความสุขดี ได้เพลิดเพลินกับทุกสิ่งที่ตนควรจะมีแล้ว จะไปขอพรอะไรได้อีก”

หัวหน้าลานจิปาถะเปิดเผยทุกอย่าง

ในฐานะผู้ฝึกยุทธแม้จะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ก็ยังสามารถพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ออกมาได้

หัวหน้าลานจิปาถะมองไปที่ซูฉินแล้วกล่าวคำ “ตอนที่เจ้ามานมัสการวัดเส้าหลินเมื่อสิบกว่าปีก่อน ข้ารู้ได้เลยว่าเจ้าแตกต่างจากเด็กกำพร้าคนอื่นๆ”

“ต่อมาตระกูลซูเคยขอให้ข้าสึกเจ้าออกไป และข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ใช่เด็กกำพร้า เจ้าเข้านมัสการวัดเส้าหลินเพราะหลีกหนีหายนะมา”

ซูฉินเงียบ

เกี่ยวกับความจริงที่ว่าเขาเป็นสมาชิกของตระกูลซู เขาไม่เคยคิดจะปกปิดมัน

“ข้าเคยเรียนเรื่องนี้กับท่านเจ้าอาวาสไปแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะสึกออกไป ท่านจะไม่ห้ามปรามเจ้าหรอก”

เสียงของหัวหน้าตำหนักดูโรยแรงลงเรื่อยๆ “เอาหละ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก”

“ขอรับท่านหัวหน้าตำหนัก”

ซูฉินพยักหน้าแล้วปิดประตู แต่เขายังไม่ได้จากไป เพียงยืนรออยู่ตรงหน้าประตูเงียบๆ

ซูฉินไม่ได้หมุนตัวจากไปไหนจนกระทั่งลมหายใจของหัวหน้าตำหนักได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์

วันต่อมา

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างๆ พากันมาที่ลานจิปาถะ

และสองสามวันต่อมา

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาหาซูฉินเป็นการส่วนตัวและถามซูฉินเรื่องการสึกกลับไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาส

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่หัวหน้าลานจิปาถะพูดก่อนมรณภาพเป็นความจริง ท่านได้คุยกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเกี่ยวกับการสึกของซูฉินเอาไว้แล้ว

“ท่านเจ้าอาวาส”

“ตั้งแต่ที่ตัวข้าเข้านมัสการวัดเส้าหลินแล้ว ทางโลกก็มิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้าอีกต่อไป”

ซูฉินกล่าวคำปฏิเสธ

สำหรับซูฉินแล้ว วัดเส้าหลินก็คือบ่อเงินบ่อทองที่สามารถจัดหายาวิเศษ เคล็ดวิชา และวิชาลับให้เขาได้อย่างต่อเนื่อง

ซูฉินจะไม่จากวัดเส้าหลินไปจนกว่าเขาจะคงกระพันไร้พ่ายในใต้หล้า

หลังจากการจากไปของหัวหน้าลานจิปาถะ วันเวลาก็ดูจะเนิ่นนานและเดินช้าลงไปอีก

สำหรับซูฉิน การตายของหัวหน้าลานจิปาถะทำให้เขาเกิดความรู้สึกขึ้นเล็กน้อย และเพราะแบบนั้นเองยิ่งกระตุ้นแรงปรารถนาของเขาที่อยากจะแข็งแกร่งขึ้น

ถ้าเขายังหยุดนิ่งอยู่อย่างปัจจุบัน อีกสามร้อยเจ็ดสิบปี เขาก็จะถึงอายุขัยแบบที่หัวหน้าลานจิปาถะเป็นทำได้เพียงนอนรอความตาย

ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูฉินต้องการ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปอีกหนึ่งปี

ในช่วงปีนี้ซูฉินกำลังขัดเกลาความแข็งแกร่งของกำลังภายใน ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ขาดอยู่ได้เติมเต็มกลายเป็นความสมบูรณ์แบบเพื่อขึ้นไปสู่ระดับ‘อรหันต์‘

“กำลังภายในนั้นก็กำเนิดขึ้นมาจากภายในกาย แล้วทำอย่างไรจึงจะแปรสภาพมันให้มีศักยภาพเต็มพิกัด?”

ซูฉินเอาแต่ครุ่นคิดหาวิถีทางในประเด็นนี้

การขัดเกลาร่างกายนั้นซูฉินได้รับพลังหยางสุดแกร่งจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของกายาวัชระคงกระพัน และพลังหยินสุดขั้วจากเคล็ดวิชาขัดเกลากายาจันทรา

การกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ซูฉินใช้วิธีกลืน ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ จำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเสริมสร้าง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ให้มีปริมาณมากขึ้น และใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ควบแน่นพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นให้กลายมาเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

แต่การเปลี่ยนแปลงของกำลังภายในนั้น…

จนถึงตอนนี้ซูฉินยังไม่พบเงื่อนงำที่จะไปถึง

เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาไปลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์มากี่ครั้งแล้วในปีที่ผ่านมา และได้รับ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ มาหลายสิบเม็ดด้วยซ้ำ

แต่โอสถสำหรับเปลี่ยนสภาพของกำลังภายในนั้นไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“หรือบางทีข้าควรไปที่ภูเขาด้านหลัง?”

ซูฉินมองไปที่ภูเขาด้านหลังของวัดเส้าหลิน

ภูเขาด้านหลังเป็นเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลิน มีการสะกดมารพุทธะที่เกือบจะทำลายวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อนเอาไว้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ความแข็งแกร่งของซูฉินก้าวไปอีกขั้นนั้น เขาก็ได้ไปเยี่ยมชมสถานที่หวงห้ามอื่นๆ ในวัดเส้าหลินและลงชื่อเข้าใช้มาบ้างแล้ว

แต่มีเพียงแค่ภูเขาด้านหลังเท่านั้นที่ยังไม่เคยไปเหยียบย่าง

————————————————-

[1] 炼铜术士หรือนักเล่นแร่แปรทองแดง มีความเชื่อมโยงกับคำว่าถลุงทองแดงซึ่งสื่อความหมายถึงเฒ่าหัวงู

[2] พี่น้องขององค์จักรพรรดิก็เป็นองค์ชายเช่นกัน

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท