เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 43

ตอนที่ 43

Sign in Buddha’s palm 43 ลงชื่อเข้าใช้! กลมารฟ้า!

นอนตายแน่นิ่ง

ทุกอย่างเงียบสนิท

จอมยุทธพรรคมารทุกคนที่กำลังเตรียมตัวต้อนรับการออกมาของประมุขพรรค พลันจุกที่ลำคอ ใบหน้าของพวกมันดำคล้ำราวกับขี้เถ้า

พวกมันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีบุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่บนโลกด้วย เพียงการโจมตีเดียวประมุขพรรคมารที่แสนยิ่งใหญ่ถึงกับกลายเป็นก้อนเนื้อ

ต้องทราบก่อนว่า

หลังจากที่ประมุขพรรคมารออกจากการปิดด่านฝึกตน เขาก็ได้เข้าถึงขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว

ตบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจนแดดิ้น?

มันเป็นไปได้อย่างไร?!!

หากพวกมันไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง พวกมันก็คงไม่มีทางเชื่อข้อเท็จจริงนี้แม้ว่าจะถูกทรมานจนตายก็ตาม

บางทีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งคงสามารถทำได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นราชครูแห่งเหมิ่งหยวนหรือนักพรตจาง พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงมานานหลายทศวรรษมิใช่หรือ?

แล้วซูฉินเป็นใคร?

ในสายตาของจอมยุทธพรรคมาร ซูฉินเป็นเพียงพระหนุ่มรูปหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยได้ยินชื่อซูฉินมาก่อนด้วยซ้ำ

“เจ้า?!”

“เจ้าเป็นใครกัน?”

“ข้าไปมีความแค้นอะไรกับเจ้ากัน?”

เหยียนหั่วขยับริมฝีปาก เขาดูสิ้นหวัง

ตอนนี้เหยียนหั่วรู้แล้วว่าเขากำลังจะตาย

ขนาดยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยังถูกตบจนตาย เหยียนหั่วจะไปต่อต้านอะไรได้?

อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะตาย เหยียนหั่วก็ยังอยากรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงตาย?

แม้ว่าเหยียนหั่วจะเป็นสาวกของพรรคมาร เข่นฆ่าผู้คนมาก็นับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยยั่วยุบุคคลที่น่ากลัวเช่นซูฉินมาก่อน

“ที่ข้าฆ่า….”

ซูฉินส่ายศีรษะของตน “ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”

ในเวลาต่อมา

แสงแห่งชีวิตในดวงตาของเหยียนหั่วก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างร่วงลงสู่พื้นทั้งแบบนั้นพร้อมกับเสียงหายใจรวยริน

“บางทีคงต้องสังหารพวกนี้ให้หมด”

ซูฉินมองไปที่จอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ในห้องโถง

จอมยุทธฝ่ายอธรรมพวกนี้มือของพวกมันแดงฉานไปด้วยเลือด และการลงมือของซูฉินก็ถือได้ว่าเป็นการกำจัดอันตรายให้พ้นไปจากผู้บริสุทธิ์

ถ้าเป็นเหล่าพระผู้ใหญ่รูปอื่นของวัดเส้าหลินมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาคงพยายามจะสั่งสอนให้มารร้ายพวกนี้เกิดปัญญาเสียก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนที่เลวร้ายเกินจะสั่งสอนก็คงถูกจับไปคุมขังในหอคอยสะกดมาร

แต่ซูฉินขี้เกียจเกินไปที่จะทำเช่นนั้น

แม้ว่าเขาจะอยู่ในวัดเส้าหลินมากว่าสิบห้าปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เรียนรู้แนวความคิดในทุกๆ เรื่องของเส้าหลิน

แม้จะเป็นองค์ยูไล ก็ยังมีปางวัชระแห่งความโกรธามาแทนที่ความเมตตาอย่างหน้ามืดตามัว

หลังจากนั้นไม่นาน

ซูฉินก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่นั่น

สาวกพรรคมารคนอื่นที่อยู่ด้านนอกโถงใหญ่ ต่างก็ไม่ได้รู้เรื่องที่ประมุขพรรค รองประมุขพรรค และจอมยุทธในสามระดับบนมากกว่าหนึ่งโหลได้ตกตายลงไปหมดแล้ว

“ข้าคงไม่ต้องกังวลพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้”

ซูฉินไม่ได้สนใจจอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ

เหตุผลหลักก็คือพวกระดับสูงของพรรคมารต่างก็ถูกซูฉินกวาดล้างไปหมดแล้วเมื่อสักครู่ และจอมยุทธที่ยังเหลืออยู่ด้านนอกคงไม่สามารถสร้างคลื่นลมใดต่อยุทธภพได้อีก

หลังจากนี้ไม่กี่ชั่วยามหลังเรื่องในห้องโถงถูกแพร่กระจายออกไป เกรงว่าผู้อื่นจะมิต้องกระทำการใด เหล่าจอมยุทธพรรคมารคงกระจัดกระจายหนีกันออกไปเองเสียด้วยซ้ำ

เมื่อสูญเสียยอดยุทธชนชั้นปกครองในสามระดับบนไป พรรคมารก็เปรียบได้กับสูญเสียกระดูกสันหลัง ไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึงอีกต่อไป

และแน่นอน

จุดสำคัญที่สุดคือมีจอมยุทธพรรคมารหลายพันคนกระจายตัวอยู่ทั่วเขาหวู่หนาน

แม้ว่าซูฉินจะมีดวงตาแห่งสัจจะในการจับตำแหน่งจอมยุทธพรรคมาร แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามชั่วโมงในการจับพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว

เขาไม่สามารถมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้ ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้การกลับไปตระกูลซูล่าช้าลงกว่าเดิม

ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป

“ข้างนอกยังมีอันตรายมากกว่าที่วัดเส้าหลินอีกมาก…”

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา

ในวัดเส้าหลินแม้ว่าซูฉินจะได้พบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ยอดปรมาจารย์เหล่านั้นก็เป็นเหมือนกับจิ่วชื่อซานเหรินซึ่งทั้งพลังชีวิตและเลือดเนื้อได้เสื่อมสลายลงไปแล้ว และเพียงรอให้ความชราภาพมาพรากพวกเขาไป อย่างเหล่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้วิธีต้องห้ามในการต่อชีวิต

สำหรับยอดปรมาจารย์ที่มีพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งกลับไม่เคยพบเจอเลย

แต่ยามนี้เพียงไม่ถึงครึ่งวันหลังจากที่ซูฉินออกจากวัดเส้าหลิน เขาก็ได้พบกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งก้าวผ่านระดับขั้นมาได้ในทันที…

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนนั้นจะโดนซูฉินตบจนตาย แต่ซูฉินก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ

ด้านนอกนั้นฟ้าสูงแผ่นดินใหญ่

วันนี้มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโผล่มา บางทีสักวันก็คงมีระดับ‘อรหันต์‘โผล่มาเหมือนกันกระมัง?

“หลังกลับจากการไปเยี่ยมตระกูลซูครั้งนี้ ข้าจะต้องไปให้ถึงระดับอรหันต์ให้จงได้”

ซูฉินตัดสินใจอยู่ภายในความคิด

ด้วยพลังภายในบริสุทธิ์จากการเผาด้วยเพลิงมารผลาญสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วซูฉินจะเข้าสู่การแปรสภาพพลังภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

เมื่อองค์ประกอบทั้งสามนั่นคือ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ร่างกาย และกำลังภายในรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็พร้อมที่จะท้าทายระดับชั้นอรหันต์

“หนังสือโบราณในศาลาพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เพื่อที่จะบรรลุสถานภาพอรหันต์ ไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยการแปรสภาพของพลังภายใน ร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามอย่างเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงกระแสพลังแห่งฟ้าดินด้วย”

ซูฉินคิดเงียบๆ ในใจ

ทั่วยุทธภพแม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะหายากมาก แต่ก็มีจำนวนมากที่กำเนิดขึ้นมาในแต่ละยุคสมัย

แม้แต่ระดับจุดสูงสุดก็ยังมีอยู่ให้เห็น

ตัวอย่างในยุคนี้ก็เช่น ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้ง และจ้าวกงกงประจำราชวงศ์ถัง ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด

แต่ระดับ ‘อรหันต์‘ หรือตำนานยุทธ ยากที่จะหาพบ อาจจะมีอยู่สักหนึ่งคนหลังจากผ่านไปหลายยุค หรือมองหาไปทั่วในหลายพื้นที่

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

เพราะมันยากเย็นเกินไปน่ะสิ

สำหรับจอมยุทธทั่วๆ ไป ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถมากเพียงใด ในการฝึกฝนจนถึงขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่งและการแปรสภาพความแข็งแกร่งของร่างกาย กำลังภายใน และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยหรือเกือบสองร้อยปี

ช่วงชีวิตของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างมากสุดก็อยู่ได้ถึงสองร้อยปี

โดยทั่วไปแล้วการจะไปถึงระดับจุดสูงสุดของการแปรสภาพพลังทั้งสามครั้ง หากไม่ได้มีโอกาสอย่างซูฉินที่สามารถหลอมกายเนื้อด้วยพลังจากหยินและหยาง กว่าจะไปถึงจุดนั้นพวกเขาก็คงใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของช่วงชีวิตแล้ว

ในเวลานั้นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดยังคงต้องใช้ความอดทนในการเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพลังฉีในชั้นฟ้าดินเพื่อที่จะไปถึงขอบเขตระดับที่สูงขึ้น

หากเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้ คงเพียงทำได้แต่นอนรอความตายก็เท่านั้น

อย่างไรก็ตามสำหรับซูฉินแล้ว ทั้งหมดนี้หาใช่ปัญหาไม่

ตามการคาดการณ์ของซูฉิน เขาจะสามารถแปรสภาพกำลังภายในของเขาได้อย่างสมบูรณ์ก่อนอายุถึงสามสิบปี

ในเวลานั้นซูฉินยังมีเวลาอีกสามร้อยเจ็ดสิบปีในการทำความเข้าใจกระแสพลังฉีฟ้าดิน

ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากซูฉินยังไม่สามารถเข้าใจมันได้อีก ก็แสดงว่าขอบเขตของระดับ ‘อรหันต์‘ ก็ไม่น่ามีอยู่จริงบนโลกนี้แล้ว

ต้องบอกอีกครั้ง

ดวงตาแห่งสัจจะสามารถทำให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกลไกพลังฉีทั้งหมด และบางทีรูปแบบพลังฉีที่จำเป็นสำหรับการทะลวงผ่านขั้นไปเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ก็อาจจะอยู่ในขอบเขตความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะเช่นกัน

“โอ้ จริงสิ”

“ที่นี่เป็นฐานหลักของพรรคมารในยุทธภพนี่ มันควรจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เต๋าสะสม‘ อยู่สิ ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ได้หรือไม่นะ?”

ซูฉินนึกถึงเรื่องบางอย่างได้ในทันใดและพูดในใจเงียบๆ

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

ในเวลาถัดมา

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับวิชาต้องห้าม ‘กลมารฟ้า‘]

“กลมารฟ้า?”

ใบหน้าของซูฉินปรากฏความประหลาดใจ

กลมารฟ้าเป็นความลับสุดยอดของพรรคมาร ตามที่ได้ยินข่าวลือมามีเคล็ดวิชาหลายต่อหลายวิชาของพรรคมารที่มีต้นกำเนิดมาจากกลมารฟ้า

นัยหนึ่ง ถ้าไม่มีกลมารฟ้าก็อาจจะไม่มีพรรคมารอยู่ในยุทธภพอย่างปัจจุบันนี้

“มันคือกลมารฟ้า!”

ดวงตาของซูฉินสว่างไสวขึ้นมา

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท