Sign in Buddha’s palm 47 ปิดม่านการแสดง
“บางทีอาจจะหนีไปตอนที่เกิดความวุ่นวายหรือเปล่านะ?”
ชายหยาบโลนคนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก เดินไปรวมตัวกับจอมยุทธคนอื่นๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อ ‘องค์ยูไล‘ ที่เพิ่งแผ่พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมาเมื่อครู่
เมื่อตอนที่มือสังหารปรากฏตัวในทีแรก จอมยุทธหลายคนต่างหลบหนีออกไประหว่างความวุ่นวาย ฉะนั้นในสายตาของชายหยาบโลน พระที่ค่อนข้างน่าสนใจรูปนั้นคงจะจากไปแล้วในช่วงเวลานั้น
“องค์ยูไล…”
ชายหยาบโลนเหม่อมองด้วยความประหลาดใจ
เขาไปมาทั่วเหนือจรดใต้ ย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าร่างคลุมเครือที่ปรากฏขึ้นนั้นแม้ว่าจะไม่ใช่‘องค์ยูไล‘ อย่างที่ใครพูดกัน แต่ก็ต้องเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเหนือจินตนาการ
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของจอมยุทธในระดับชั้นวิทยายุทธทั้งเก้าขั้น ก็เป็นตัวตนที่ควรแค่แก่การแสดงความเคารพบูชาจากจอมยุทธในห้องโถงนี้แล้ว
“หยุนเอ๋อ หยุนเอ๋อ เจ้าสบายดีใช่หรือไม่?”
ซูชื่อหมินรีบเข้ามาหาซูเยว่หยุนและถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ข้าสบายดี”
“ดียิ่ง ที่ทุกอย่างปกติดี”
ซูชื่อหมินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตอนที่เขาถูกสะกดไว้ด้วยจิตสังหารของมือสังหารในสามระดับบน ซูชื่อหมินแทบจะหมดสิ้นความหวังไปสิ้น
ความรู้สึกเมื่อครู่มันสิ้นหวังยิ่งกว่าตอนที่ ‘เหยียนหั่ว‘ ศัตรูของตระกูลซูได้บุกโจมตีเสียอีก
เขาไม่ได้คาดหวังว่าปัญหาเกี่ยวกับมือสังหารที่น่ากลัวเหล่านั้น จะถูกแก้ไขโดยผู้แข็งแกร่งที่ผ่านทางมา
“พวกเราตระกูลซูโชคดีแค่ไหนกันที่มีผู้แข็งแกร่งเช่นนั้นมาช่วยชีวิตเอาไว้!”
ซูชื่อหมินดูวิตกกังวลเล็กน้อยแล้วหมุนตัวโค้งคำนับไปทั่วทุกทิศ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ ตระกูลซูของข้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง หากในอนาคตผู้อาวุโสมีสิ่งใดที่ต้องการ ข้าจะเร่งรุดไปหาท่านอย่างแน่นอน”
ในฐานะจอมยุทธระดับชั้นที่ห้า สายตาของซูชื่อหมินย่อมเหนือกว่าจอมยุทธคนอื่นๆ ในโถงเป็นแน่แท้
เขาไม่ได้เชื่อหรอกว่าองค์ยูไลเป็นผู้ลงมือ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน
ไม่มีใครตอบรับกลับมา
ซูชื่อหมินค่อยๆ ยืดตัวตั้งตรง สีหน้าของเขาแสดงความผิดหวังอยู่เล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมผู้อาวุโสท่านนี้จึงช่วยเหลือตระกูลซู แต่ถ้าเขาใช้โอกาสนี้ในการติดต่อกับอาวุโสผู้นี้ละก็ มันจะเป็นเรื่องดีอย่างที่สุดต่อตระกูลซู
แต่ช่างน่าเสียดาย
ผู้อาวุโสไม่ได้แสดงตนหลังจากที่ลงมือ
“ท่านพ่อ”
ในตอนนี้ซูเยว่หยุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นพี่ชายสาม…”
“ฉินเอ๋อ?”
ซูชื่อหมินตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วตำหนิว่า “ไร้สาระ!”
“ถ้าผู้อาวุโสได้รู้ว่าเจ้ากำลังพูดไร้สาระอยู่เช่นนี้ มันคงทำให้ท่านโกรธเกรี้ยวอย่างมาก หากเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าหายนะจะมาตกที่ตระกูลซูเราหรอกหรือ?”
ซูชื่อหมินจ้องมองไปที่ซูเยว่หยุนอย่างดุเดือด
ซูชื่อหมินไม่คิดว่าลูกสาวของตนจะกล้าเพ้อเจ้อได้ถึงขนาดนี้?
ตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพ ฉะนั้นจะมาข้องเกี่ยวกับซูฉินที่ถูกส่งไปยังวัดเส้าหลินเมื่อสิบห้าปีที่แล้วได้อย่างไร?
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าซูฉินนั้นไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธเลย และจะไม่มีวันสามารถเป็นจอมยุทธได้ในชั่วชีวิต
แต่ถ้าสมมติว่าซูฉินมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใด?
ซูฉินอายุได้เพียงยี่สิบห้าในปีนี้
จะไปมีความแข็งแกร่งสักเท่าใดกันในช่วงอายุยี่สิบห้าปี? ระดับชั้นที่เก้า? ระดับชั้นที่แปด? ระดับชั้นที่เจ็ด?
เมื่อเห็นทีท่าที่จริงจังของซูชื่อหมิน ซูเยว่หยุนก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอีกต่อไป
ในช่วงเวลานั้น
ที่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลซู มีร่างบางคล้ายสตรีร่างหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ
“กลิ่นอายเช่นนี้…”
ร่างของคนผู้นี้มีดวงตาที่แสนเย็นชาประดับบนใบหน้า กวาดตามองไปยังศพของมือสังหารที่นอนอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว ด้วยสีหน้าเย็นชาน่ากลัว
“นี่เป็นการลงมือของฝ่าบาทหรือ?”
ร่างนี้ก็คือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งมาถึง
แซ่ของเขาคือหลิว ผู้คนต่างเรียกเขาว่าหลิวกงกง เป็นขันทีชุดแดงในวังหลวง
เมื่อยี่สิบปีก่อน หลิวกงกงได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังให้พาองค์ชายหลี่เชิงออกจากวังแล้วปล่อยไว้ท่ามกลางปุถุชน เพื่อให้รับรู้ความยากลำบากของผู้คน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลิวกงกงรับหน้าที่ปกป้ององค์ชายหลี่เชิงอย่างลับๆ มาตลอด
แต่เมื่อคืนจู่ๆ หลิวกงกงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในระดับขั้นการบ่มเพาะของเขา ดังนั้นจึงไปหาที่วิเวกสำหรับพักสักครู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้
สิ่งที่หลิวกงกงไม่คาดคิดคือในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ องค์ชายหลี่เชิงจะถูกลอบสังหาร
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการที่ใช้ลอบสังหารของมือสังหารเหล่านี้ยังมีความคล้ายคลึงกับองค์กรบางแห่งที่อยู่ใต้อาณัติขององค์ชายเชื้อพระวงศ์บางองค์
“บ้าเอ้ย…”
หลิวกงกงรู้สึกถึงความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ
เขาไม่กล้าจะจินตนาการเลยว่าหากการลอบสังหารประสบความสำเร็จ องค์ชายหลี่ถูกปลงพระชนม์ สิ่งใดที่จะรอเขาอยู่
ถึงแม้หลิวกงกงจะไม่สามารถเห็นโชคชะตาบ้านเมืองในตัวขององค์ชายหลี่ แต่องค์จักรพรรดิก็จ่ายออกไปจำนวนมหาศาล และถึงขนาดสั่งให้เขานำตัวองค์ชายออกไปนอกพระราชวัง มันค่อนข้างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ธรรมดาเพียงใด
หากมีบางสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น เขาคงจะต้องตายสถานเดียว
“แต่ใครกันที่ป้องกันการลอบสังหารเอาไว้?”
หลิวกงกงขมวดคิ้วมุ่น
แม้ว่าจอมยุทธหลายคนที่อยู่ด้านหน้าจะตะโกนว่า ‘องค์ยูไล‘ เพื่อแสดงการเคารพบูชา
แต่หลิวกงกงก็ไม่ได้เชื่อถือในเรื่องนั้นเลย
ตัวเขาเพิ่งวิ่งมาถึงและไม่ทันได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงแห่งองค์ยูไล
หลิวกงกงเดินเข้าไปหามือสังหารหลายต่อหลายคนและเริ่มตรวจสอบบาดแผลของพวกมัน
เพียงเท่านั้น
เมื่อตรวจสอบจนหมด นัยน์ตาของหลิวกงกงก็หดตัวลงอย่างกะทันหัน
เพราะตกใจเมื่อพบว่ามือสังหารทั้งแปดคนในโถง ถูกทำลายอวัยวะภายในด้วยพลังที่แข็งแกร่งบางอย่างแทบจะพร้อมๆ กัน
“รุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลิงกงกงไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่าตัวเขาเองจะสังหารมือสังหารทั้งแปดคนได้ด้วยความแข็งแกร่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็คงไม่ได้น่าประหลาดใจเท่าใดนัก
แต่มันยากมากที่จะสามารถสังหารทั้งหมดลงแทบจะในเวลาเดียวกันเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีสองจอมยุทธในสามระดับบนอยู่ด้วย
จอมยุทธในสามระดับบน หรือแม้แต่จอมยุทธที่อ่อนแอที่สุดในระดับชั้นที่สามก็ต้องพบเจอกับการถูกกัดกร่อนโดยพลังปราณแห่งโลกมาแล้วทั้งสิ้น
ถึงเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะต่างชั้นกับศัตรูมาก แต่ก็จะไม่ถูกบดขยี้เหมือนเหยียบมดดั่งเช่นในตอนนี้
อย่างน้อยตัวหลิวกงกงเอง หากต้องการสังหารจอมยุทธระดับชั้นที่สาม ฝ่ายตรงข้ามก็ยังสามารถออกกระบวนท่าได้ถึงสองครั้ง
“นอกจากนี้มือสังหารคนสุดท้ายยังใช้วิชาต้องห้ามอยู่หลายวิชาก่อนจะตาย แต่มันก็ยังไม่รอด…”
หลิวกงกงรู้สึกเหลือเชื่อ
หากหลิวกงกงมองไม่ผิด มือสังหารคนสุดท้ายใช้วิชาต้องห้ามของวังหลวง ถึงแม้ผลข้างเคียงจะสูง แต่การเพิ่มพูนพลังเฉพาะหน้าจากการใช้วิชาเหล่านี้ก็น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ถ้ายอดฝีมือระดับชั้นที่สามใช้วิชาต้องห้าม เขาจะสามารถยกระดับพลังให้เทียบเท่าปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง
และในกรณีที่มือสังหารใช้วิชาต้องห้ามหลายต่อหลายชนิดในเวลาเดียวกัน
วิชาต้องห้ามทั้งหลายเมื่อซ้อนทับกัน หลิวกงกงรู้สึกได้ว่าในช่วงสุดท้าย ความแข็งแกร่งของมือสังหารนั้นอาจจะทะยานไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้ในช่วงสั้นๆ เลย…
อย่างไรก็ตาม
แม้จะทำเช่นนั้นแล้ว
อีกฝ่ายก็ไม่รอดพ้นไปจากความตาย
ตายโดยไม่แตกต่างไปจากมือสังหารในสามระดับกลางคนอื่นๆ
นี่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างของพลังฝีมือที่กว้างขวางดุจทะเลสาบอันกว้างใหญ่
“นี่เป็นไปได้ไหมว่าจ้าวกงกงเป็นคนลงมือ?”
หลิวกงกงสั่นสะท้านอยู่ในใจ และพลันนึกถึงขันทีชุดม่วงที่มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่าองค์ชายขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้”
“จ้าวกงกงต้องปกป้องอยู่ข้างพระวรกายขององค์จักรพรรดิเท่านั้น”
“และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกมาจากวังหลวง”
หลิวกงกงส่ายหัว
“ไม่ต้องไปคิดให้มากความแล้ว”
“ในเมื่อองค์ชายพวกนั้นเคลื่อนไหวแบบนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป”
“ข้าต้องรีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”
หลิวกงกงตั้งสติและคิดที่จะพาองค์ชายหลี่เชิงกลับวังโดยเร็วที่สุด
…
ในเวลาเดียวกัน
ที่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลซู
ซูฉินมองไปที่หลิวกงกงด้วยอาการสงบ