Sign in Buddha’s palm 51 กลับมาถึง
“อีกไม่ไกลแล้ว”
ซูฉินหยุดลงแต่ยังคงกลืนเม็ดยาต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่หรือโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของโอสถที่ซูฉินเก็บรวบรวมมาได้ตลอดการลงชื่อเข้าใช้กว่าสิบห้าปี
จากการลงชื่อเข้าใช้กว่าหลายปีที่ผ่านมา ซูฉินก็ได้เข้าถึงจุด ‘อิสรภาพทางการใช้โอสถ‘ มานานแล้ว เขาสามารถกินพวกมันได้โดยไม่กะพริบตาเสียด้วยซ้ำไม่ว่าเขาจะกินมันไปมากแค่ไหน
“เพียงแค่สกัดกั้นหิมะถล่ม เผชิญหน้ากับพลังฟ้าดิน ดูเหมือนจะทำให้ข้าเข้าใจพลังงานฉีแห่งโลกหล้าเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเลยไม่ใช่หรือนี่?”
จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ออกไปอย่างช้าๆ หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ พยายามซึมซับความรู้สึกเช่นนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการก้าวไปให้ไกลขึ้น นอกเหนือจากการแปรสภาพสามอย่าง คือ ร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายในแล้ว พวกเขายังต้องเข้าใจปราณฉีแห่งฟ้าดิน
เมื่อเทียบกันแล้วอย่างหลังท้าทายกว่าอย่างแรกมากนัก
เพราะไม่ว่าจะเป็นการแปรสภาพกายเนื้อ การแปรสภาพกำลังภายใน หรือการแปรสภาพ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ก็ล้วนมีช่องทางให้ก้าวเดิน
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งรู้ว่าตนควรจะเดินไปทางไหน
หากร่างกายอ่อนแอ ก็จงขัดเกลาร่างกาย
หาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ อ่อนแอ ให้ไปบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘
หากกำลังภายในไม่บริสุทธิ์พอ ก็ให้ชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์เสีย
สำหรับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หากต้องการจะแปรสภาพพลังทั้งสามให้สำเร็จ การตั้งใจบ่มเพาะอย่างเต็มที่ที่สุดก็มีโอกาสที่จะทำสำเร็จได้
แต่การเข้าใจถึงพลังฉีระหว่างฟ้าเบื้องบนและผืนดินเบื้องล่างนั้นช่างมืดมน
เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่เหล่ายอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่แปรสภาพทั้งสามครั้งได้แล้ว ต่างดิ้นรนพยายามกันจนตกตายไป
แล้วจะคว้าโอกาสนั้นไว้ได้อย่างไร?
จะเข้าใจพลังฉีแห่งฟ้าดินได้อย่างไร?
พลังฉีนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกลับและแสนจะลึกซึ้ง
ไม่มีทางเดินที่แน่นอนในการจะก้าวเดินไป
นอกจากนี้พลังฉีที่ยอดปรมาจารย์แต่ละคนต้องทำความเข้าใจนั้นก็แตกต่างกันออกไป ไม่สามารถมาชี้แนะกันในเชิงลึกได้
เดิมทีซูฉินกำลังรอให้กำลังภายในแปรสภาพสำเร็จ จากนั้นจึงจะสำรวจตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เพื่อดูพลังฉีให้กระจ่าง
อย่างไรเสียซูฉินก็มีช่วงชีวิตที่ยาวนานเหลือเฟืออยู่แล้ว
แต่ไม่คาดคิดว่ายามนี้ซูฉินได้พบโอกาสเผชิญหน้ากับพลังแห่งฟ้าดินเช่นนั้น ทำให้เขาสามารถรับรู้ เข้าใจถึงพลังฉีได้อย่างเจือจาง
กล่าวได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ตราบเท่าที่ซูฉินสามารถแปรสภาพกำลังภายในของตนเองจนเสร็จสิ้น เขาไม่น่าจะพบกับอุปสรรคใดๆ ในการเข้าสู้ขอบเขต ‘อรหันต์‘
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“มีความสุขจริงๆ โว้ย!”
ซูฉินมีความสุข เลือดลมสูบฉีดจนร่างกายร้อนระอุราวกับเตาเผาขัดกับโลกเบื้องนอกที่มีหิมะค่อยๆ ตกลงมา
เกล็ดหิมะทั้งหมดภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรโดยรอบ ลอยระเหยกลายเป็นไอไปอย่างรวดเร็ว
…
ภูเขาหวู่หนาน
เนื่องจากหิมะถล่ม ภูเขาหวู่หนานจึงแตกหักพลังทลาย แต่เนื่องด้วยภูมิประเทศที่มีความพิเศษ เขาหวู่หนานจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก
และในขณะนี้
ด้านใต้หิมะขาวโพลนมีร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา
ร่างนั้นหอบหายใจถี่ มองไปยังทิศทางที่เป็นฐานที่มั่นหลักของพรรคมาร ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ร่างนี้มีชื่อว่าคุนคง เป็นสาวกพรรคมาร
“ตายหมดแล้ว”
“ปรมาจารย์และผู้อาวุโสในพรรคตายหมดแล้ว”
เสียงของคุนคงสั่นสะท้าน ใบหน้ามืดมนราวกับเถ้าถ่าน
เมื่อวานนี้เขาเห็นกับตาตนเองว่าภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทาเข้าไปห้องโถงซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่าอาวุโสและประมุขพรรคมาร
ตอนนั้นคุนคงยังคิดอยู่เลยว่าพระหนุ่มผู้นี่มาเพื่อฆ่าตัวตายหรือไร
เป็นพระจากวัดเส้าหลินแต่ดันเข้ามาที่ฐานที่มั่นหลักของพรรคมารจะมีชีวิตรอดออกไปได้เยี่ยงไร?
อย่างไรก็ตาม
หลังจากที่เขาถูกทำให้สลบไป เขาฟื้นขึ้นมาแล้วเข้าไปดูในห้องโถง พบว่าเลือดไหลนองราวกับสายน้ำหลาก
ผู้อาวุโสของพรรคมารต่างนอนตายเป็นเบือในที่เกิดเหตุ
แม้แต่ประมุขพรรคที่ปิดด่านฝึกตนมาหลายวันเพื่อเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
เมื่อคุนคงเห็นฉากดังกล่าวหนังศีรษะเขาแทบจะระเบิดออก เขาวิ่งหนีออกจากฐานที่มั่นหลักของพรรคมารโดยไม่มีความลังเลใด เมื่อออกมาไกลมากพอเขาจึงซ่อนตัวอยู่ใต้หิมะพร้อมกับปกปิดลมหายใจของตัวเองด้วยวิชาลับ
คุนคงรู้สึกกลัวมาก
กลัวจริงๆ
สามารถสังหารผู้อาวุโสทั้งหมดในสามระดับบนของพรรคมาร รวมไปถึงประมุขพรรคได้อย่างง่ายดายหมดจด คุนคงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะสามารถทำได้?
“ภิกษุรูปนั้นหรือ?”
คุนคงตัวสั่นในทันใด
ก่อนที่ผู้อาวุโสของพรรคจะตกตายลง มีเพียงพระหนุ่มรูปนั้นเท่านั้นที่เข้าไปในห้องโถง
“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์!”
“พระรูปนั้นเป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์!!”
คุนคงกระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง
คุนคงคือสาวกพรรคมาร เป็นธรรมดาที่จะมีความรู้พื้นฐาน เช่นว่า สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวตนในระดับชั้นเดียวกันกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง
“พรรคมารจบสิ้นแล้ว…”
คุนคงหนาวยะเยือกในจิตใจ
แม้เขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่เมื่อข่าวการตายของผู้อาวุโสระดับสูงและประมุขพรรคมารได้แพร่กระจายออกไป ชะตากรรมของสาวกพรรคมารมีแต่จะถูกกวาดล้างโดยเหล่าพรรคฝ่ายธรรมะ
ฝ่ายธรรมะจะไม่ปล่อยโอกาสดีๆ อย่างนี้ไป และเข้ากำจัดพรรคมารให้หมดสิ้นเป็นแน่
“ข้าจะทำเช่นไรดี”
คุนคงก้มหน้าลงต่ำ
ในฐานะสาวกพรรคมาร วิชาบ่มเพาะของพรรคมารไหลเวียนอยู่ในกายของเขาและไม่สามารถซ่อนมันจากพรรคฝ่ายธรรมะได้
ยกเว้นคุนคงจะเลิกฝึกฝนไปทั้งชีวิต แล้วผันตัวไปใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนาอย่างสบายใจ
“ไม่ได้”
“ยังมีความหวังสำหรับพวกเราเหล่าพรรคมารอยู่!”
เมื่อคุนคงสิ้นหวังจนถึงขีดสุด จู่ๆ ก็ปรากฏความคิดขึ้น
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินผู้อาวุโสพรรคมารในสามระดับบนเล่าว่า ประมุขพรรคคนเก่าของพรรคมารนั้นทั้งยอดเยี่ยมและทรงพลัง แต่ท่านต้องการจะตัดผ่านระดับขั้นจึงออกจากพรรคมารไปหาที่ปิดด่านฝึกตน
และเพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้พรรคมารต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายธรรมะมาหลายสิบปีจนสูญเสียเขตแดนที่มีถึงสามภูมิภาคในตอนแรก ถูกบีบให้ถอยร่นมาอยู่ที่ยงโจว (ภูมิภาคยง)
เมื่อคิดสิ่งนี้ออกมา คุนคงก็ฟื้นคืนความหวังในใจกลับมา
หากเขาสามารถหาประมุขพรรคมารคนก่อนได้ และท่านกลับมาปกครองพรรคมารอีกครั้งหนึ่ง พรรคมารจะไม่จบสิ้น พรรคมารกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง
ด้วยวิธีที่ว่ามาพรรคมารจะทะยานสู่ฟากฟ้า ในเวลานั้นคงจะหาวิธีแก้แค้นพระนิรนามจากวัดเส้าหลินรูปนั้นได้ไม่ยาก!
“ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสกล่าวไว้ว่า เมื่อห้าสิบปีก่อนประมุขพรรคมารคนก่อนเดินทางไปยังทะเลทรายตะวันตกเพียงลำพัง นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของท่านอีกเลย”
“อาจกล่าวได้ว่า สถานที่ที่ท่านปิดด่านฝึกตนมีโอกาสที่จะอยู่ในทะเลทรายตะวันตกมากที่สุดใช่หรือไม่?”
คุนคงขบคิดอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว
ทะเลทรายตะวันตกนั้นกว้างใหญ่ มันคงเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรหากจะต้องตามหาใครสักคนในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้
แต่คุนคงไม่มีทางเลือกอื่น
มีเพียงการพาประมุขพรรคคนก่อนกลับมาเท่านั้นจึงจะสามารถจัดระเบียบพรรคมารขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้
…
ในเวลาเดียวกัน
ซูฉินก็รีบกลับมาที่วัดเส้าหลิน
มีพระสงฆ์คอยเดินตรวจตรารอบนอกวัดเส้าหลิน จอมยุทธธรรมดาๆ ไม่สามารถลอบเข้ามาได้ แต่สำหรับซูฉินนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใด
“ในที่สุดข้าก็มาถึงเสียที…”
ซูฉินมาที่ลานจิปาถะอย่างเงียบๆ กลับเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมา
แม้ว่าเขาจะเพิ่งออกจากวัดเส้าหลินไปเพียงสองวัน แต่มันช่างยาวนานในความรู้สึกราวกับผ่านไปนานหลายเดือน
“ดีกว่าเยอะเลย ที่ได้อยู่ในวัดเส้าหลิน…”
ซูฉินถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังเอื่อยๆ
“คงไม่มีใครรู้ว่าที่ผ่านมาข้าได้แอบออกไปข้างนอกมา”
ซูฉินตรวจสอบโดยรอบและคาดเดาในใจ
ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ที่อาศัยอยู่ในวัดมากว่าสิบห้าปี ซูฉินไม่จำเป็นต้องออกไปทำความสะอาดทุกวัน
ก่อนที่จะแอบออกไปในครานี้ ซูฉินได้เข้าพบหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่แล้ว เพื่อขอหยุดพักผ่อนสักวันสองวันด้วยเหตุผลว่ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูฉิน ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้ซูฉินหยุดพักเป็นการส่วนตัว
“ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว”
“ก็ไปศาลาพระคัมภีร์แล้วลงชื่อเข้าใช้เสียก่อนดีกว่า”
ซูฉินคิดขึ้นในใจอย่างเงียบเชียบ