เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่

ตอนที่ 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่

Sign in Buddha’s palm 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่

ที่หน้าพระราชวัง

ซูฉินยกมือขวาขึ้น และละอองจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดายุคปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะค่อยๆสลายตัวไป

ถ้าซูฉินไม่ได้ครอบครองอาณาเขตปิงหลิงอาจจะหนีไปได้จริงๆ แต่น่าเสียดาย ภายใต้อาณาเขตแห่งนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว อยากจะพลิกผืนปฐพีหรือทําลายโลกก็ทําได้เพียงแค่คิด

ไม่ว่าปิงหลิงจะเร็วแค่ไหนก็ไร้ความหมาย ยกเว้นจะสามารถพุ่งทะลุมิติ แหวกอาณาเขตออกไปได้

“เป็นคลื่นปราณที่น่าสนใจ…”

ซูฉินมองไปที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิง หรือจะบอกว่าเขามองคลื่นปราณที่ห่อหุ้มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเอาไว้ต่างหากจึงจะถูก

ด้วยคลื่นปราณอันนี้นี่เองที่ทําให้ปิงหลิงสามารถถอดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หนีออกจากร่างกายด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวได้

ซูฉินเหลือบมองครู่หนึ่งจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก

หากคลื่นปราณนี้สามารถชักนําร่างกายให้หนีไปด้วยได้ ซูฉินก็คงจะสนใจอยู่บ้าง แต่นี่หลบหนีได้เพียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ…..

ซูฉินจึงไม่สนใจที่จะพินิจพิจารณา

หลังจากที่ซูฉินเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเป็นเศษละออง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนักพรตในชุดคลุม แบบฉบับเต๋าเป็นคนสุดท้าย

จนถึงตอนนี้ ในบรรดาผู้ที่มาจากต่างดินแดน เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่

นอกจากซูฉินที่ยืนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้แล้ว ก็เหลือเขายืนอยู่อย่างเดียวดาย

“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

เมื่อเห็นซูฉินจ้องมองมา มือและเท้าของนักพรตในชุดคลุมเต๋าก็สั่นเทา

เพียงการเคลื่อนไหวไม่กี่กระบวนท่าของซูฉินก็เพียงพอที่จะกวาดล้างศิษย์นิกายใหญ่เหล่านั้นแล้ว โดยเฉพาะเทพธิดาคนปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ เห็นได้ชัดว่านางมีวิธีการหลบหนีบางอย่าง ยอมแม้กระทั่งละทิ้งร่างของนางเอง แต่ผลลัพธ์ก็คือหนีไม่พ้นเงื้อมมือของซูฉินอยู่ดี ซึ่งสําหรับนักพรตเต๋าผู้นี้ นี่ราวกับเป็นระเบิดลูกใหญ่ตกลงมาในจิตใจ

“เจ้ารู้หรือไม่ทําไมข้าถึงไม่สังหารเจ้า” น้ําเสียงของซูฉินราบเรียบ ไม่มีขึ้นไม่มีลง แต่เสียงที่มาถึงใบหูของนักพรตเต๋านั้นราวกับสายฟ้าฟาด

“ผู้อาวุโสคงต้องการจะทราบความบางสิ่ง” นักพรตเต๋าคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบด้วยความเคารพ

“ฉลาดใช้ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน “จงมากับข้า”

แม้ว่าซูฉินจะไว้ชีวิตนักพรตเต๋าด้วยเหตุผลนี้ แต่ที่มากกว่านั้นคือนักพรตเต๋าเป็นเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ที่ไม่มีเจตนาฆ่า

แม้ว่าจะมีการประมือกับหร่วนชิง เขาก็เพียงแค่ทดลองฝีมือกันเท่านั้น และหร่วนซิงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร

ไม่ช้า

หลังจากที่ซูฉินพูดคุยกับจักรพรรดิถังสองสามคํา เขาก็พาหร่วนซิง นักพรตเต๋า รวมถึงคนอื่นๆกลับไปยังพระราชวัง

จักรพรรดิถังประจําตําแหน่งเรียกระดมกําลังพลเพื่อเข้าแก้ไขความวุ่นวายที่เกิดจากตํานานยุทธทั้งหก

ภายในพระราชวังตะวันออก ซูฉินมองไปทางนักพรตเต๋าด้วยท่าทางน่าเกรงขาม กล่าวออกอย่างสบายๆ “บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มา”

“ขอรับ”

นักพรตเต๋าโค้งคารวะก่อนจะกล่าวออกมา “ข้ามีนามว่า เหยียนไฟ และมาจากสํานักเอกะวิถีในต่างดินแดน”

“สํานักเอกะวิถี” ใบหน้าของหร่วนชิงที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เจ้ารู้จัก สํานักเอกะวิถี” หรือ?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หร่วนชิงพร้อมกับเอ่ยถามเบาๆ

“นายท่าน สํานักเอกะวิถีมีชื่อเสียงมากในยุทธภพต่างแดน ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร?” หร่วนชิงกล่าวด้วยความเคารพ “แม้แต่ในหมู่นิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดน สํานักเอกะวิถีก็นับได้ว่าติดหนึ่งในห้าอันดับแรก”

“นักพรตแต่ละรุ่นของสํานักเอกะวิถี ต่างก็ทรงพลัง สามารถปราบปรามตํานานยุทธมากมายในต่างดินแดนได้”

“และได้ยินมาว่า เมื่อสามพันปีก่อน สํานักเอกะวิถีถึงกับให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีออกมาด้วยซ้ําไป”

หร่วนชิงอธิบายทุกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับ สํานักเอกะวิถี” อย่างรวดเร็ว

“เซียนเทพปฐพี่?”

“ดูเหมือนว่าสํานักเอกะวิถีนี่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว?”

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด

ในระดับของซูฉิน เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ดีว่าการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นยากเย็นเพียงใด

เมื่อหร่วนชิงได้ฟังความเห็นของซูฉินเกี่ยวกับสํานักเอกะวิถี หนังศีรษะของเขาก็ชาวาบ ในฐานะที่สํานักเอกะวิถีเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน ข้ามผ่านเวลามานานหลายหมื่นปี ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งกี่คนต่อกี่คนก้าวออกมาจากสํานักแห่งนี้ แต่ซูฉินกลับกล่าวว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง?

ยิ่งไปกว่านั้นหร่วนชิงยังสังเกตเห็นได้รางๆ ว่า ยามที่ซูฉินประเมินด้วยคําว่า “ค่อนข้างแข็งแกร่ง” ซูฉินเหมือนจะแสดงความคิดเห็นต่อเซียนเทพปฐพีแห่งสํานักเอกะวิถีเมื่อสามพันปีก่อน

ส่วนสํานักเอกะวิถี

ไม่รู้ว่าตนเองคิดมากไปเองรึเปล่า แต่หร่วนชิงแอบสังเกตเห็นว่าซูฉินไม่ได้สนใจนิกายใหญ่ในต่างแดนแห่งนี้เลย

นักพรตเต๋าเหยียนไห่ยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่ได้คิดมากอย่างที่หร่วนซิงคิด แต่ในตอนนี้ เหยียนไห่รู้ดีว่าชีวิตความเป็นความตายของตนขึ้นอยู่กับความคิดวูบเดียวของซูฉินเท่านั้น ไม่ว่าสํานักเอกะวิถีจะแข็งแกร่งเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์

“เล่าต่อไป”

ซูฉินเพียงถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก

สําหรับซูฉินแล้ว ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เป็นเพียงเรื่องของเวลา ไม่มีอะไรต้องกังวล

“ข้ามายังทวีปนี้พร้อมกับเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ศิษย์สายตรงของนิกายเฮยหยวนและคนอื่นๆ ได้มายังทวีปนี้ตามคําสั่งของครูบาอาจารย์เพื่อเข้าสํารวจพื้นที่จุดตัดที่มีการฟื้นฟูกระแสปราณฉีครั้งใหญ่”

เหยียนไห่กล่าวทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงจุดประสงค์ของตนเองและคนอื่นๆ เขาไม่กล้าหมกเม็ดสักเรื่องเดียว

เพราะเหยียนไห่รู้แก่ใจว่าต่อหน้าซูฉินผู้แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าผู้อาวุโสระดับสูง การกระทําการใดๆ เพราะคิดว่าตนฉลาดพอนั้นเท่ากับการแสวงหาความตาย

ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่การแสดงออกของหร่วนชิงกลับเปลี่ยนไปมากเมื่อได้ฟัง

โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าหญิงสาวในชุดขาวเป็นถึงเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวยิ่งขึ้น

“นายท่าน นายท่านเจอปัญหาร้ายแรงแล้ว…” หร่วนชิงพูดไปขนหัวก็ลุกพรึบ

เดิมที เขาคิดว่าคนที่มาที่นี่ในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายใหญ่ต่างดินแดน อย่างมากที่สุดก็คงเป็นศิษย์หลัก

หร่วนชิงไม่ได้คาดคิดว่าเหยียนไห่และคนอื่นๆ ต่างก็เป็นศิษย์สายตรงที่น่าภาคภูมิใจในยุคสมัยนี้

หร่วนซึ่งเข้าใจดีว่าคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของสิ่งใด

หากเป็นศิษย์ธรรมดา ถ้าซูฉินสังหารไป ก็เป็นเพียงแค่การสังหาร แม้ว่าเหล่าอาวุโสนิกายใหญ่จะไม่พอใจ แต่พวกเขาจะไม่มาขัดแย้งกับซูฉินเพียงเพื่อศิษย์ธรรมดาๆเป็นแน่

แต่ตอนนี้

คนเหล่านี้ใช่ศิษย์ทั่วไปที่ไหนเล่า?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปิงหลิงในฐานะเทพธิดายุคสมัยปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ได้รับการหมายมั่นให้เป็นเจ้าตําหนักในอนาคต การที่นางตกตายไปเช่นนี้ อย่างน้อยๆ เรื่องราวระหว่างซูฉินและตําหนักเทพเจ้าหิมะจะต้องไม่มีวันจบวันสิ้นเป็นแน่

ไม่มีแม้แต่คําว่าประนีประนอม

สําหรับศิษย์คนอื่นๆพวกเขาต่างก็เป็นศิษย์สายตรงจากนิกายใหญ่ แม้ศิษย์เหล่านี้จะไม่ได้มีคนเดียวในนิกาย แต่การสูญเสียไปหนึ่งก็เป็นเรื่องที่บอบช้ําไม่น้อย

การที่ซูฉินสังหารคนเหล่านี้เทียบเท่ากับการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนิกายใหญ่ในต่างแดน

มั่นใจในตัวซูฉิน แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวแล้วจริงๆ

ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ตัวคนเดียว จะสามารถต่อสู้กับนิกายใหญ่ในต่างแดนทั้งหมดได้หรือ?

“ไม่เป็นไร

ซูฉินโบกมือ ไม่ใส่ใจ

ตามที่เหยียนไห่ได้บอกมาในตอนนี้ ยอดฝีมือระดับสูงที่ สุดในนิกายใหญ่ก็เป็นเพียงตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่ห้า ไม่ก็นภาชั้นที่หก จะมากี่คนซูฉินก็เพียงตบจนแดดิ้นไปเสีย ให้หมด

ส่วนเหล่าบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกาย อาจจะมี บางคนที่ก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดและชั้นที่แปด แต่พลังชี วิตและเลือดเนื้อของพวกเขาเสื่อมถอยลงมากแล้ว ความ แข็งแกร่งก็ถดถอยอย่างหนัก

ในสายตาของหร่วนชิง นิกายใหญ่ในต่างแดนนั้นสูงส่งเทียมฟ้า แต่ในสายตาของซูฉินก็มองเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่กําจัดทิ้งไปได้ง่ายๆ

“จริงสิ การตายของเหล่าศิษย์เหล่านั้น พวกนิกายใหญ่คงไม่รู้หรอกกระมัง?” หร่วนชิงเหมือนได้พบแสงแห่งความหวัง และหันไปมองที่เหยียนไห่อย่างคาดหวัง

เหยียนไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาตามจริง “ข้าและศิษย์นิกายใหญ่ได้ประทับร่องรอยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงในดวงไฟแห่งชีวิต เก็บไว้ภายในส่วนลึกของนิกาย เมื่อตกตายอยู่ภายนอกนิกาย ดวงไฟแห่งชีวิตจะมอดดับลง และตอนนี้การตายของเทพธิดาปิงหลิงรวมถึงคนอื่นๆ อาจจะล่วงรู้ไปถึงนิกายของพวกเขาแล้ว…”

เมื่อหร่วนซึ่งได้ยินคํากล่าวนั้น มือเท้าของเขาก็เย็นเยียบ

“ไม่เป็นไร”

ซูฉินขัดจังหวะการสนทนาของหร่วนชิงกับเหยียนไห่ ก่อนจะถามตรงๆ “ข้าให้เจ้าสองทางเลือก ยอมจํานนหรือจะยอมตาย”

เมื่อเหยียนไห่ไม่ได้ยินคํากล่าวนั้น

แม้ว่าสถานะภายในสํานักเอกะวิถีของเขาจะไม่ได้สูงสุด แต่ก็ไม่ได้ต่ําตม และคงไม่ใช่การพูดเกินจริงหากกล่าวว่าเขาเองก็เป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์

แต่ตอนนี้เมื่อต้องเอาศักดิ์ศรีมาเปรียบเทียบกับชีวิต เหยียนไห่ก็อยู่สภาวะลังเลสองจิตสองใจ

“ผู้อาวุโส ข้าเลือกยอมจํานน” ในท้ายที่สุด เหยี่ยนไห้ก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโค้งคํานับ

ไม่ใช่ทุกผู้ทุกคนที่หาญกล้าเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย โดยเฉพาะตํานานยุทธผู้สูงส่ง ผู้ที่สามารถเพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก พวกเขาจะเต็มใจตายได้อย่างไร?

เพียงความคิด ซูฉินก็ได้แบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา ส่วนหนึ่ง ฝังลงไปในร่างกายของเหยียนไห่

“คารวะนายท่าน” เหยียนไห่นั่งลงก้มหัวให้กับซูฉิน

เมื่อเทียบกับหร่วนชิง เหยียนไห่รู้ดีกว่าเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินฝังมาในร่างนั้นเป็นการเชื่องโยงกับจิตใจโดยตรง ตราบที่หาญกล้ามีความคิดเป็นอื่น เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ย่อมระเบิดออกอย่างมิอาจเลี่ยง และทําลายจิตวิญญาณของเหยียนไห่จนสิ้น

“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”

ซูฉินโบกมือพร้อมกับกล่าวคํา

“ขอรับ”

เหยียนไห่และหร่วนชิงเหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะโก้งคํานับและหันหลังจากไป

หลังจากที่ทั้งสองจากไปอย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปทางต่างดินแดน ดวงตาของเขาสงบนิ่งเหม่อมองออกไปไกล

“นิกายใหญ่ สํานักระดับสูงในต่างแดน…”

หลังจากที่ซูฉินสังหารศิษย์นิกายใหญ่ต่างแดนหลายต่อหลายคนด้วยคมมีด

ในส่วนลึกของต่างแดน ภายในวังขนาดใหญ่ที่ทําจากผลึกน้ําแข็ง เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกําลังนั่งคุยอยู่กับเหล่าผู้อาวุโสหลายคน

“คราวนี้พวกเราจะต้องระวังให้ดีเรื่องสถานที่ในข้อพิพาท เรื่องราวนี้เกี่ยวพันกับมรดกหลายหมื่นปีของตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้า ”

เสียงของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นคมชัด แต่เยือกเย็นดุจภูเขาน้ําแข็ง

“รับคําสั่งเจ้าตําหนัก”

ผู้อาวุโสหลายคนที่ดูเคร่งขรึมกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับเจ้าตําหนักเทพเจ้า

พลังในที่แห่งนี้นั้นเริ่มไหลช้าลง ไม่เพียงเท่านั้น ปราณฉีที่มีมากมายไร้ที่สิ้นสุดของดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้เริ่มจะไหลออกไปอย่างกะทันหัน

สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก หัวหน้านิกายใหญ่ในต่างดินแดนต่างประชุมหารือกัน ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุป คําทํานายของสํานักชะตาฟ้าควรจะเป็นเรื่องจริง

พื้นที่จุดตัดสําคัญนั้นมีอยู่จริง

“ท่านเจ้าตําหนักไม่ต้องกังวลไป ปิงหลิงได้ไปยังพื้นที่จุดตัดสําคัญแล้ว นางต้องจัดการได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกําลังจะกล่าวคํา

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะก็รีบเข้ามา

“ท่านเจ้าตําหนัก ผู้อาวุโส แย่แล้ว แย่แล้ว” ศิษย์คนนั้นดูสับสนงุนงง มีร่องรอยของความหวาดกลัวแฝงอยู่

“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะขมวดคิ้ว มองไปยังศิษย์คนดังกล่าว

“ท่านเจ้าตําหนัก เจ้าตําหนัก ดวงไฟแห่งชีวิตของเทพธิดา…มอดดับแล้ว.” ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวด้วยน้ําเสียงอันสั่นเทา

คําที่กล่าวออกมา

ใบหน้าของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็กลายเป็นแข็งตึง

ในทันทีหลังจากนั้น อุณหภูมิภายในวังน้ําแข็งทั้งหมดก็ลดฮวบ โดยมีเจ้าตําหนักเป็นจุดศูนย์กลาง

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท