เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 201 เข้าสู่ระบบ! ทิพยอํานา จชนิดที่สามของซูฉิน!

ตอนที่ 201 เข้าสู่ระบบ! ทิพยอํานา จชนิดที่สามของซูฉิน!

Sign in Buddha’s palm 201 เข้าสู่ระบบ! ทิพยอํานา จชนิดที่สามของซูฉิน!

ในช่วงเวลานี้

ศิษย์ทุกคนของตําหนักเทพเจ้าหิมะที่อยู่ในวังน้ําแข็งก็พลันรู้สึกได้ถึงความเย็นที่เสียดแทงลึกลงไปถึงกระดูก

“ไม่ดีแล้ว”

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

“เจ้าตําหนัก เจ้าตําหนักโกรธเกรี้ยวอย่างหนักเลย”

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะรีบคุกเข่าลงอย่างเร่งรีบ มิกล้าที่จะเงยหน้าขึ้น

ในสายตาพวกเขา เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเปรียบเสมือนเทพสูงส่ง ควบคุมชีวิตความเป็นความตายของศิษย์ทุกคนไว้ในกํามือ

หากเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะโกรธเกรี้ยวก็ราวกับท้องฟ้าถล่มลงมาใส่พวกเขา

“ทําไมเจ้าตําหนักถึงโกรธขึ้นมา ในช่วงสิบปีมานี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้านี่นา…”

ศิษย์หลายคนงงงวย

“เป็นไปได้หรือไม่ที่มันเกี่ยวพันกับผู้สืบทอด?”

ใบหน้าของศิษย์บางคนเปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้ เทพธิดาได้รับคําสั่งจากเจ้าตําหนักให้ไปสํารวจสถานที่พิพาทตามคําทํานายของสํานักชะตาฟ้า พร้อมๆกับศิษย์นิกายใหญ่อีกหลายคน

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็โกรธเกรี้ยว ศิษย์หลายคนอดที่จะคาดเดาไม่ได้ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกัน

บรรดาศิษย์ที่คาดเดาไปตามนี้ก็เริ่มไม่สบายใจกันยกใหญ่

ในส่วนลึกของวังน้ําแข็งเกือบจะกลายเป็นน้ําแข็งเกือบทั้งหมด ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นมหาศาล

“เจ้า…เจ้าตําหนักไว้ชีวิตด้วย…”

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะที่เข้ามารายงานเรื่องดวงไฟของเทพธิดามอดดับ รู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งที่อ เลือดและแก่นแท้แห่งพลังไหลเวียนช้าลง แม้แต่สติก็เริ่มไม่ชัดเจน

แม้ว่าวิชาส่วนใหญ่ที่ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะฝึกฝนจะเป็นธาตุน้ําแข็ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเพิกเฉยต่อความหนาวเย็นได้

“ท่านเจ้าตําหนัก ความแข็งแกร่งของเจ้าตําหนักเพิ่มขึ้นอีกแล้ว…” ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองกัน ร่องรอยความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะในตอนนี้ เพียงแค่ไอพลังก็ทําให้เกิดผลกระทบมากถึงเพียงนี้ แม้จะยังไม่แตะระดับนภาชั้นที่เจ็ดขั้นสูงสุดในขอบเขตตํานานยุทธ แต่เกรงว่าคงอีกไม่ห่างไกล

“อื้ม!”

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเหลือบมองสาวกคนนั้น ไอพลังค่อยๆลดลง และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปเอาเทียนดวงไฟชีวิตของหลิงเอ๋อมา”

“เจ้าค่ะ”

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะตัวสันกลัว รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น นางก็ถือเชิงเทียนที่ดูคล้ายจะทํามาจากผลึกน้ําแข็งเดินเข้ามา

“มันดับแล้วจริงๆ”

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะมองดูแล้วนิ่งเงียบไป

เมื่อดวงไฟแห่งชีวิตดับลง หมายความว่าเจ้าของดวงไฟได้ดับสูญโดยสมบูรณ์ แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็มิรอดพ้น

“มันเป็นใคร มันเป็นใคร?!!”

แม้เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่คําพูดนั้นเผยจิตสังหารออกมาอย่างแผ่วเบา

เทพธิดาปิงหลิงเป็นลูกศิษย์ที่นางเลือกสรรเป็นการส่วนตัว เพื่อฝึกฝนให้เป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะคนต่อไป

อาจกล่าวได้ว่า เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะใช้ความพยายามอย่างมหาศาลไปกับปิงหลิง

แต่ตอนนี้ปิงหลิงกลับตายไปแล้ว?

“เจ้าตําหนัก”

ในเวลานั้น ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างก็กัดฟันและพูดขึ้นว่า “เทพธิดาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของนภาชั้นที่สามควบคู่ไปกับวิชาลับของตําหนักเทพเจ้าหิมะของพวกเรา แม้ว่าจะพบเข้ากับตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สี่ทั่วๆไป การหลบหนีก็คงมิใช่ปัญหา…”

“ถ้าเข้าใจไม่ผิด ท่านเจ้าตําหนัก การที่สามารถสังหารเทพธิดาได้ อย่างน้อยๆ ความแข็งแกร่งก็ต้องใกล้เคียงกับระดับผู้นํานิกาย”

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเปิดปากพูด วิเคราะห์ความเป็นไปได้

“ผู้นํานิกาย?”

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะหรี่ตาลง ประกายแสงวาบผ่านดวงตา “หลิงเอ๋อมีสิ่งของช่วยชีวิตที่บรรพชนมอบให้ เมื่อถูกกระตุ้น แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็ไม่สา มารถตามนางได้ทัน”

เสียงของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะดับไป

รูม่านตาของเหล่าผู้อาวุโสก็หดตัวลง

“ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ใช่บรรพชนของนิกายใหญ่บางแห่ง ที่ตื่นขึ้นมาเพื่อลงมือกับเทพธิดาเช่นนั้นหรือ?”

“เป็นไปไม่ได้ คนเหล่านั้นอายุตั้งเท่าไหร่กันแล้ว หวงแหนชีวิตกันแค่ไหน? เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมสูญเสียอายุขัยที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อมาลงมือกับเทพธิดา”

“ถ้าอย่างนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรกันเล่า?”

ผู้อาวุโสหลายคนเริ่มโต้เถียงกันในทันที

ในเวลานั้น ผู้อาวุโสที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่แรกก็กล่าวขึ้นมา “บางทีเทพธิดาอาจจะไม่มีเวลาใช้สิ่งของช่วยชีวิต?”

คําที่กล่าวออกมา

ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากันและรู้สึกว่ามันก็เป็นไปได้มากเช่นกัน

“ไม่ทันได้ใช้?”

ดวงตาของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นประกาย

อันที่จริง ตัวนางเองก็คิดว่าเหตุผลนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดหาได้ยากเย็นแค่ไหนกัน แม้ว่าตัวตนเช่นนี้จะเคลื่อนไหวจริง ก็ควรจะลงมือกับผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนาง ส่วนเทพธิดาปิงหลิงนั้น

ระดับของปิงหลิงยังไม่คู่ควรให้ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดลงมือเอง

“แต่ว่า”

“มันถึงขนาดสามารถทําให้หลิงเอ๋อใช้สิ่งของช่วยชีวิตได้ไม่ทันการณ์”

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะครุ่นคิด

“เจ้าตําหนัก”

ผู้อาวุโสที่กล่าวเป็นคนสุดท้ายเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก แล้วจึงพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “มีศิษย์หลายคนของนิกายใหญ่ที่ไปยังสถานที่แห่งนั้นพร้อมกับ เทพธิดา”

“หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเทพธิดา พวกเขาย่อมรู้ดีกว่าเราแน่นอน แทนที่จะมัวแต่มาเดาว่าใครลงมือ ไปถามนิกายใหญ่สักสองสามแห่งดูไม่ดีกว่าหรือ…”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ดวงตาของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นประกาย ตบขาก้าวเท้าออกไป หายวับไปทันตา

ในช่วงเวลาที่เหล่านิกายใหญ่ในต่างดินแดนเกิดความวุ่นวายสับสนอยู่นั้น

ซูฉินเดินช้าๆ อยู่ภายในวังหลวง ตอนนี้เขาออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้ว ซูฉินไม่ได้วางแผนจะกลับไปฝึกต่อในทันที

“กระแสปราณฉี…”

ซูฉินยกมือขวาขึ้น ค่อยๆ คว้าหมับจับเข้าไปที่อากาศที่ว่างเปล่า

ทันใดนั้น ซูฉินก็คว้าจับหมอกในอากาศมาไว้ในฝ่ามือได้กลุ่มหนึ่ง

กลุ่มหมอกเหล่านี้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ดูเหมือนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และพยายามจะหนีออกจากฝ่ามือของซูฉิน

หากมีตํานานยุทธนิกายใหญ่ในต่างแดนได้มาเห็นฉากนี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าหมอกในมือของซูฉินคือจิตใจแห่งฟ้าดิน

จิตใจแห่งฟ้าดินและพลังฟ้าดินนั้นแตกต่างกัน

เมื่อเทียบกับพลังฟ้าดินแล้ว จิตใจแห่งฟ้าดินนั้นเป็นนามธรรมมากกว่า

มันเป็นเหมือนสสารชนิดพิเศษที่กระจายอยู่ใต้ผืนฟ้าเหนือผืนแผ่นดิน แม้จะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็ยังยากที่จะจับเค้าลางของมันได้

แต่ตอนนี้

ซูฉินกําลังเล่นกลุ่มหมอกในมือซึ่งมีจํานวนมากจนน่าตกใจ

“น่าเสียดาย

“ในรัศมีหลายสิบลี้นี้ มีจิตใจแห่งฟ้าดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ซูฉินสูดลมหายใจ จิตใจแห่งฟ้าดินกลุ่มนี้ก็ไหลเข้าไปในรูจมูกที่ละหย่อม

ขณะที่ซูฉินกําลังเดินทอดน่องอยู่ภายในวัง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันก็แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะสั่งห้ามไม่ให้กระจายข่าว แต่การต่อสู้นั้นก็สะเทือนฟ้าเกินไป ตํานานยุทธถึงห้าคนตกตายลง ทั้งยังมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน แม้จักรพรรดิถังต้องการจะปิดกั้นข่าวสาร แต่ก็ไม่สามารถกระทําได้

จะอย่างไรก็คงปิดเมืองฉางอันทั้งเมืองอย่างสมบูรณ์ไม่ได้

ข่าวจึงแพร่กระจายไปทั่ว ทั้งทวีปต่างก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง

“ตํานานยุทธหกคนมาที่เมืองฉางอันเพื่อต้องการจะปราบอาณาจักรถัง แต่ตํานานยุทธในเมืองฉางอันตวัดมีดเพียงไม่กี่ครั้ง ตํานานยุทธเหล่านั้นก็ล้มลงทีละคนราวกับใบไม้ร่วง?”

ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างอยู่ในอาการตกตะลึง

สิ่งนี้เกินขอบเขต เกินจินตนาการของพวกเขา

การต่อสู้ของเหล่าตํานานยุทธเกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าตัวตนระดับนี้ควรจะมีแค่คนเดียวในยุคๆ หนึ่งมิ ใช่หรือ

และตัวตนเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาถึงหกคนโดยที่ยังไม่ทันได้บอกความเป็นมา กลับถูกฆ่าตายอย่างรวดเร็วอยู่ภายในเมืองไปเสียแล้ว?

นี่มันน่าเหลือเชื่อมากเหลือเกิน!

“จริงอยู่ที่ล่าสุดราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนตกตายอยู่ภายในเมืองฉางอัน แต่ก็พอจะอธิบายได้ว่าเขาเพิ่งจะทะลวงขั้นขึ้นไปและระดับพลังยังไม่เสถียร แต่ยามนี้มีตํานานยุทธถึงหกคน ตํานานยุทธเมืองฉางอันทําเช่นไรกันถึงสังหารคนเหล่านั้นได้?”

จอมยุทธบางคนเอ่ยถามขึ้นมา

“เจ้าไม่เชื่ออั้นหรือ? ในเวลานั้นข้าอยู่นอกเมืองฉางอัน และเห็นตํานานยุทธทั้งหกเข้าปิดล้อมพระราชวังทั้งหมด พวกเขาใช้ท้องฟ้าเป็นเสมือนม้านั่งเอนหลัง”

“แล้วตํานานยุทธในวังหลวงก็ปรากฏตัวขึ้น ในเวลาต่อมาตํานานยุทธก็ตกตายไปห้าคน”

จอมยุทธคนดังกล่าวตบอกสาบานว่าเขาเห็นมาด้วยตาของตนเองจริงๆ

“ตายไปห้าคน แต่ทั้งหมดมีหกคนนี้ ไม่ใช่ว่าอีกคนรอดไปได้อย่างนั้นหรือ?” มีคนจับประเด็นบางอย่างได้ จึงกล่าวถามขึ้นมา

“ไม่ใช่”

“ตํานานยุทธที่เหลือรอดนั้น เป็นเพราะตํานานยุทธภายในวังหลวงจงใจปล่อยให้มีชีวิตรอด คงเพราะมีประโยชน์บางอย่าง ”

จอมยุทธที่กําลังเล่าอยู่นั้น หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลดเสียงของเขาลง “อีกประการหนึ่ง ในบรรดาตํานานยุทธทั้งหกที่มาเยือนเมืองฉางอัน หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นบรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิต…”

พูดออกมาได้เท่านั้น

ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในทันใด

บรรพบุรุษสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธตั้งแต่ สองร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือฝีมือ ย่อมอ ยู่ไกลเกินกว่าราชครูเหมิ่งหยวนจะเทียบได้

ขนาดชายผู้แข็งแกร่งในขอบเขตตํานานยุทธ ต่อหน้าตํา นานยุทธในวังถัง ก็ไม่มีความสามารถพอจะต้านทานได้ นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือไม่?

“ตํานานยุทธในอาณาจักรถังของพวกเรานั้นแข็งแกร่ง เพียงใดกัน…”

ในที่สุดก็มีจอมยุทธบางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

ไม่ว่าจะเป็นราชครูเหมิ่งหยวนหรือตํานานยุทธทั้งหก ในตอนนี้พวกเขาก็ดูอ่อนแอราวกับเด็กทารกเมื่ออยู่ต่อหน้าตํานานยุทธในวังหลวง

เมื่อเป็นเช่นนี้เหล่าจอมยุทธจึงอยากจะรู้ความแข็งแกร่งของซูฉินเป็นธรรมดา

“แข็งแกร่งเพียงใด?”

จอมยุทธที่ได้พบเห็นเหตุการณ์ต่อสู้ภายในเมืองฉางอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจังว่า “ความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัวนี้ คงจะมีเพียงตํานานยุทธ ที่ตกตายภายในเมืองฉางอันเท่านั้นที่ล่วงรู้ได้”

“หรือไม่ ตํานานยุทธเหล่านั้นก็คงไม่รู้เช่นกัน” จอมยุทธคนนั้นต่อเติมประโยคไปอีกหนึ่งประโยค เพียงแต่อยู่ในใจ

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้ล่วงรู้ว่าผู้คนนับไม่ถ้วน ต่างกําลังตกใจกับการที่เขาสังหารตํานานยุทธไปหลายต่อหลายคนอยู่ในขณะนี้

“ต้นไม้โบราณภายในเมืองเมฆาปีศาจไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไปแล้ว.”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะออกจากโถงพระราชวังใต้ดิน เข้ามาที่วังหลวง

ในโลกถ้ําปีศาจ ต้นไม้โบราณในเมืองเมฆาปีศาจเป็นที่รู้กันว่ามันคือกิ่งก้านแตกแขนงมาจากต้นไม้ปีศาจโบราณในส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจ ที่คอยแบกรับโลกทั้งใบเอาไว้อยู่

เดิมที่ซูฉินคิดว่ากิ่งก้านที่แตกแขนงออกมานี้จะสามารถสนับสนุนการลงชื่อเข้าใช้ของเขาได้นานหลายสิบปี

แต่ผลก็คือ ไม่ทันจะถึงสองปีด้วยซ้ํา “เต๋าสะสม” ก็หมดลงเสียแล้ว

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา ข้าก็ได้ลงชื่อรับของดีๆจากต้นไม้โบราณนี้มากมาย”

ซูฉินแตะปลายคาง แลดูพึงพอใจ

นอกเหนือจากการลงชื่อจนได้รับผลแก่นปีศาจนับพันแล้วก็ยังมีสมบัติอีกมากมาย เช่น ผลึกปราณปีศาจ หยดน้ํา มารสวรรค์ โลหิตเทพเจ้าปีศาจ และสมบัติอื่นๆอีกมากมาย

มีของหลายสิ่งในหมู่สมบัติเหล่านี้ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ามีดเทพเจ้าปีศาจเลย

“สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ปีศาจโบราณที่แท้จริง เกรงว่าพลังของมันอาจจะเทียบได้แค่หนึ่งในล้านส่วนของต้นหลักกระมัง ลงชื่อเข้าใช้ได้มากขนาดนี้ก็ค่อนข้างดีแล้ว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อปลอบใจตัวเอง

“ไม่รู้จริงๆ ว่าหากลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าต้นไม้ปีศาจโบราณของจริง จะได้สมบัติอะไรมาบ้าง”

ซูฉินรู้สึกถึงความเย้ายวนใจ

อย่างไรก็ตาม ซูฉินรู้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเข้าไปในส่วนลึกของโลกถ้ําปิศาจ

“ในโลกถ้ําปิศาจลงชื่อเข้าใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ดีไหมนะ?” ซูฉินหยุดและมองไปที่จัตุรัสหยกขาวที่อยู่เบื้องหน้า

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

ซูฉินยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นในใจ

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับทิพยอํานาจ เรียกลมเรียกฝน]

เสียงจักรกลที่แสนเย็นชาดังขึ้นด้านในหูของซูฉิน

“ทิพยอํานาจ?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท