เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 240 กําเนิด

ตอนที่ 240 กําเนิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 240

Sign in Buddha’s palm 240 กําเนิด

ยอดเขาคุนหลุน

ชายผิวคล้ํานั้นมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว แต่ภายในระยะร้อยจ้างห่างจากตัวของเฉียนขู่ มันกลับกลายเป็นฝุ่นผงไปอย่างเงียบๆ

“นี่คือ?!”

แม้ว่าชายผิวคล้ําจะเป็นเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม เขาได้เดินตามเส้นทางปกติ กําลังภายในได้แปรสภาพเรียบร้อย แค่เพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอที่จะกวาดล้างกลุ่มยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้แล้ว และแม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารเขาในเวลาอันสั้นเช่นนี้

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายต่างชําเลืองมองกัน สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมราวกับผิวน้ําที่สงบนิ่ง เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่งที่ชายผิวคล้ําได้ตกตายลงอย่างกะทันหันเช่นนี้

“เป็นเฉียนขู่จากวัดเส้าหลินจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

หญิงชราที่ถือไม้ค้ํายันสงบใจลงแล้วกระซิบถาม

“เฉียนขู่?”

ท่าที่ของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ข้อสงสัยของหญิงชราไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียที่เดียว ฉากที่เห็นนั้นเกิดขึ้นในระหว่างที่ชายผิวคล้ํากําลังจะโจมตีเฉียนขู่ ถ้าทุกคนไม่ได้อยู่ที่นี่ ใครจะเชื่อถือเรื่องดังกล่าวบ้าง?

“เฉียนขู่ไม่ได้ทรงพลังขนาดนี้!” ชายชราในชุดแปลกตาส่ายศีรษะ แม้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะถูกระงับไว้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ แต่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ชัดว่าเฉียนขู่ยังไม่ได้แปรสภาพพลังเลยด้วยซ้ํา อย่างมากที่สุดก็เป็นชนชั้นแนวหน้าในระดับชั้นที่หนึ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงการสังหารชายผิวคล้ําเลย ต่อให้ป้องกันการโจมตี ยังเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

“ไม่ใช่เฉียนขู่…”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าหันหน้าไปมอง สายตาตกลงบนแผ่นลัหงของหลีหว่านและซูฉิน ไอพลังของหลีหว่านนั้นอ่อนแอกว่าเฉียนขู่ ส่วนของซูฉิน..

ในตอนนี้ซูฉินหันหลังให้กับทุกคน แม้แต่หญิงชราก็มองเห็นแค่แผ่นหลังของซูฉินเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างมากสําหรับหญิงชราคือ ซูฉินนั้นเหมือนกับคนธรรมดา แต่คนธรรมดาที่ไหนจะสามารถยืนอยู่บนยอดเขาคุนหลุนในเวลานี้ได้? เกรงว่าคงถูกแรงกดดันบดขยี้เป็นชิ้นๆไปแล้ว

“เฉียนขู่….”

“วัดเส้าหลิน…”

สีหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายต่างก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ราวกับพวกเขากําลังครุ่นคิดอะไรอยู่ รูม่านตาของพวกเขาพลันหดแคบลง

และในตอนนั้น

เฉียนขู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายผิวคล้ําที่พุ่งเข้ามาหาเขาเมื่อครู่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด มันสร้างแรงกดดันให้ตัวเขามากจริงๆ หากไม่มีซูฉินอยู่ด้านข้าง เฉียนขู่คงจะหันหลังวิ่งหนีไปนานแล้ว

แม้ว่าเฉียนขู่จะเป็นศิษย์วัดเส้าหลินและเคยอ่านเพียงคัมภีร์ในวัดตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเอาชนะได้ เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้หุนหันพลันแล่น

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ลงมือ…” เฉียนขู่โค้งคารวะซูฉินอย่างสุดซึ้ง

ชายผิวคล้ําเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ในตอนนี้เขากลับกลายเป็นเพียงฝุ่นผง มีเพียงอรหันต์เช่นซูฉินเท่านั้นที่ทําได้

เพียงเท่านั้น

สิ่งที่เฉียนขู่ไม่รู้คือการกระทําของเขาทําให้เกิดคลื่นพายุภายในใจยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลาย

“ผู้ทรงสมณศักดิ์”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายพากันสั่นสะท้านในใจ แทบจะคุกเข่าลงไปเสียเดี๋ยวนั้น

พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอรหันต์ที่ว่ากันว่าได้ออกจากวัดเส้าหลินและข้ามน้ําข้ามทะเลไปยังดินแดนอื่นเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้ได้มาอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา

“ข้าควรจะคิดได้ว่าเฉียนขู่ที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่งแต่กล้ามาที่นี่ จะต้องมีที่พึ่งพิง และที่พึ่งพิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวัดเส้าหลินนั้นก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์…”

หญิงชราที่ถือไม้เท้า ยิ้มออกมาอย่างขมขึ้น และย่างเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอยู่ห่างซูฉินออกไปหนึ่งร้อยจ้าง

ในขณะที่เฉียนขู่คิดว่าหญิงชราต้องการจะแก้แค้นให้ชายผิวคล้ํา หญิงชราที่ถือไม้เท้าก็ดูนอบน้อมและโค้งคารวะ จากนั้นจึงกล่าวว่า “น้อมคารวะผู้ทรงสมณศักดิ์”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจํานวนมากที่เหลืออยู่ เมื่อได้เห็นฉากนี้ ก็คล้ายกับตื่นขึ้นจากความฝัน แอบสบถให้กับคําเยินยอของหญิงชราในใจ จากนั้นต่างก็เดินไปด้านข้างหญิงชรากัน ที่ละคนแล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “น้อมคารวะผู้ทรงสมณศักดิ์

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดต่างก้าวไปหยุดด้านหน้า และโค้งคํานับอย่างเคารพ ราวกับพบเทพเจ้า

ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เรื่องที่วัดเส้าหลินให้กําเนิดอรหันต์นั้นแพร่กระ จายไปทั่วโลกมาเนิ่นนาน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดในที่แห่งนี้ล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว เมื่อได้พบอรหันต์ตัวเป็นๆจะกล้าดูหมิ่นได้เยี่ยงไร?

“ลุงสาม…..”

หลีหว่านกะพริบตา แน่นอนว่านางรู้ว่าซูฉินนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ในตอนนี้ท่าที่เคารพนอบน้อมของเหล่ายอดยุทธพวกนี้ทําให้นางรู้สึกทําตัวไม่ถูกไปเล็กน้อย

“หือ?”

“ บนยอดเขาคุนหลุนนั้นมีเต๋สะสมเพียงพอให้ข้าลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียว?”

ซูฉินถอนหายใจ ไม่ได้สนใจยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายที่กําลังโค้งคํานับเขาอยู่เลย

เมื่อวานเขาได้ลงชื่อเข้าใช้ครั้งแรกบนยอดเขาคุนหลุนและได้รับ “ลูกท้อบ้าน” มา เขาคิดว่าจะสามารถลงชื่อเข้าใช้และได้ลูกท้อบ้านเช่นนี้ต่อไปอีกได้ ถ้าเขาได้รับลูกท้อบ้านนี้หลายสิบลูกติดต่อกัน และใช้มันอย่างต่อเนื่อง เขาก็จะได้รับอายุขัยนับหมื่นปี นับเป็นกําไรที่มหาศาลอย่างมาก

แต่น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ในวันนี้ก็กลับมาอีกครั้ง แต่ซูฉินก็ได้พบว่ายอดเขาคุนหลุนไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป

“เป็นไปได้ไหมว่าเขาคุนหลุนแห่งนี้ไม่ใช่เขาคุนหลุนในตํานาน?” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

ถ้าเป็นจริงตามตํานานต้นกําเนิดหมื่นขุนเขา นี่คือดินแดนแห่งทวยเทพ เป็นไปได้อย่างไรที่” เต๋าสะสมจะหมดลงยามเมื่อซูฉินลง ชื่อเข้าใช้ไปได้เพียงครั้งเดียว?

ลูกท้อบ้านที่สามารถยืดอายุขัยได้พันปีเป็นสิ่งล้ําค่า แต่ก็ไม่ได้ดีเท่ากับฝ่ามือยูไลหรือภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่บนเกาะหยิงโจว ซูฉินก็ยังลงชื่อเข้าใช้ได้ตั้งหลายสิบครั้ง แต่นี่คือเขาคุนหลุนเชียวนะ?

“กระแสปราณฉีกําลังฟื้นคืน แผ่นฟ้ากําลังสูงขึ้น แผ่นดินกําลังขยายออก ทวีปนี้กําลังขยายตัวออกไปทุกขณะ บางทีเขาคุนหลุนที่แท้จริงอาจจะปรากฏขึ้นเมื่อกระแสปราณฉีเข้าสู่จุดรุ่งเรือง”

ซูฉินคิดอยู่ในใจ

ที่จริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กระแสปราณฉีก็ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ หลายสถานที่ก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ไม่ธรรมดา ซูฉินอยู่ในเมืองฉางอัน สามารถรับรู้ความเป็นไปในโลกหล้า รู้สึกได้ว่าบางสถานที่กําลังจะเกิดบางสิ่งขึ้นอย่างคลุมเครือ

ในขณะที่ซูฉินกําลังคิดเรื่องนี้อยู่

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายที่กําลังก้มลงคํานับ ซูฉินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นยืน ทั้งหมดต่างยังคงคํานับอย่างเคารพนบนอบอยู่อย่างนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน

หลังจากที่ซูฉินยืนยันอีกครั้งว่าเขาคุนหลุนไม่สามารถลงชื่อเข้า ใช้ได้ เขาก็ค่อยมองไปที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

งหลาย

เมื่อเห็นซุฉินหันมามองพวกเขา เหล่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่นําโดยหญิงชราถือไม้เท้าก็ตกใจ และรีบกล่าวเสียงดังอีกครั้งว่า “คารวะผู้ทรงสมณศักดิ์”

“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง กล่าวคําออกมาเบาๆ

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน แน่นอนว่าเขาได้ค้นพบกลุ่มยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดกลุ่มนี้มาตั้งนานแล้ว

เพียงแค่ไม่ได้อยากจะสนใจเท่าไหร่

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้ต่างเป็นตัวตนที่สูงส่งบนโลกใบนี้ แต่ในสายตาของซูฉินก็ไม่ได้ต่างไปจากมดแมลงมากนัก แน่นอนว่าเขาไม่จําเป็นต้องใส่ใจอะไรมากเกินจําเป็น

“วิหารการสงครามนี้ควรส่งมอบมาให้ข้า พวกเจ้ามีความเห็นใดไหม?”

ซูฉินมองไปที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลาย และในที่สุดก็เปิดปากพูดออกมา

ไม่ว่าเขาจะมองไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพเพียงครั้งเดียว หรือเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพพลังได้สามครั้ง ทุกคนล้วนก้มศีรษะลงและกล่าวคําวนซ้ําไปซ้ํามา

“ไม่มีความเห็นใด ไม่มีความเห็นใด”

ตามกฏของวิหารการสงคราม อนุญาตให้คนยี่สิบคนเข้าไปได้ แต่ตอนนี้ซูฉินเพียงคนเดียวกลับต้องการครอบครองที่ว่างทั้งยี่สิบแห่ง ซึ่งเรียกได้ว่าเอาแต่ใจอย่างยิ่ง

แต่ก็เท่านั้น

ถึงเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดคําว่า “ไม่” แม้แต่หญิงชราที่ถือไม้เท้าก็ยืนอยู่ตรงจุดเดิมด้วยความเคารพ

ทุกคนรู้ดีว่าตราบใดที่พวกเขามีความคิดเป็นอื่น เกรงว่าจะซ้ํารอยบทเรียนของชายผิวคล้ําเมื่อครู่

แต่ในบรรดายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด บางคนก็ยังมีความไม่เต็มใจภายในหัวใจพวกเขาอยู่บ้าง

อายุขัยของพวกเขากําลังจะหมดลง ต่างหวังว่าวิหารการสงครามจะช่วยให้พวกเขาได้พัฒนาระดับต่อไป แต่ตอนนี้ความหวังนั้นกลับถูกซูฉินฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดี จะให้พวกเขาเต็มใจได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม ต่อให้คนเหล่านี้มีความขุ่นข้องหมองใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงมันออกมา กลับก้มหน้าก้มตาลงพื้นแทน

“วิหารการสงครามนั้นเป็นโอกาสอันหายากในรอบพันปี มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอย่างท่านผู้อาวุโสเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้า….” ขณะที่หญิงชราถือไม้เท้ากําลังจะพูด

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ครืน!

คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ไหลทะลักออกมาอย่างช้าๆ และฉากอันงดงามก็ค่อยๆ เผยออกมาบนยอดเขาคุนหลุน

“นั่นคือ?”

ใบหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดต่างเปลี่ยนไป ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น

บนยอดเขาคุนหลุน เห็นเป็นวังอันวิจิตรตระการตาค่อยๆ โผล่ออกมา ราวกับภาพลวงตาที่แปรเปลี่ยนเป็นความจริง

ตัววังนั้นกว้างใหญ่ เพดานด้านบนโถงถูกสลักไว้ด้วยรูปดวงดาวในดาราจักร มีพืชพันธุ์ไม้แปลกๆ จํานวนนับไม่ถ้วนขึ้นอยู่ทุกมุมของวัง

“วิหารการสงคราม

“วิหารการสงครามถือกําเนิดแล้ว”

เมื่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตกใจจนอธิบายไม่ถูก

เขารู้เพียงวิธีที่วิหารการสงครามจะโผล่ออกมาจากบันทึกโบราณ แต่ในบันทึกโบราณเพียงกล่าวว่า โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า” ซึ่งฟังดูแล้วจับต้องไม่ได้อย่างยิ่ง จะมาเทียบกับการได้เห็นด้วยตาตนเองได้อย่างไร?

ฉากที่เกิดขึ้นนั้นราวกับหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง แทบจะทําลายมุมมองความรู้ความเข้าใจของจอมยุทธทั้งหลายในที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น

ในสายตาของจอมยุทธส่วนใหญ่ แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ตํานานยุทธหรืออรหันต์ที่สามารถต่อกรกับคนนับล้านได้ แต่อย่างไรตํานานยุทธก็ยังคงมีระยะห่างเมื่อเทียบกับเทพเซียน

แต่ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาได้เห็นวิหารการสงครามอันยิ่งใหญ่โผล่ออกมา จู่ๆจอมยุทธทั้งหลายต่างก็มีความคิดผุดขึ้นในใจ

สิ่งที่เรียกว่าเทพเซียนนั้น เป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเพียงใดกัน?

“ว่ากันว่าส่วนลึกของวิหารการสงครามมีความลับอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ แต่น่าเสียดายที่มีมังกรปีศาจคอยคุ้มกันตลอดเวลา เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความลับนั้นได้ )

หญิงชราที่ถือไม้เท้าสงบใจลง ระงับร่องรอยความโลภที่เกิดขึ้นในใจตน

แม้ว่าวิหารการสงครามจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะแตะต้องได้

ก่อนหน้านี้ซูฉินได้ทิ้งคําพูดเอาไว้ ประกาศความเป็นเจ้าของวิหารการสงคราม หากพวกเขาที่เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดยังคงคิดฝันถึงวิหารการสงคราม ก็พูดได้อย่างเดียวว่าช่างไม่รู้จักความตายเสียแล้ว

“บางทีเมื่อวิหารการสงครามเบิดออก ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์อาจจะสามารถเดินทางไปยังส่วนลึกของวิหารการสงครามนี้ได้ ” หญิงชราที่ถือไม้เท้าก็พลันนึกถึงบางสิ่ง และเหลือบมองไปที่ซูฉินอย่างระมัดระวัง

แม้ว่าตอนนี้นางจะหมดสิ้นความคิดที่จะเข้าไปภายในวิหารการสงครามแล้ว แต่นางก็ยังอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเกี่ยวกับวิหารการสงคราม เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่เหล่าจอมยุทธต่างหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันเข้าไปในวิหารการสงคราม และไม่มีใครผ่านมังกรปีศาจไปยังส่วนลึกของวิหารการสงครามได้

“แต่ว่า มันมีมังกรปีศาจคอยปกปักรักษาอยู่ ผู้ทรงสมณศักดิ์ ” อีกความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของหญิงชรา

และในขณะที่ทุกคนกําลังให้ความสนใจวิหารการสงครามอยู่นั้น ซูฉินก็แสดงความประหลาดใจออกมาบนใบหน้า

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท