เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
Sign in Buddha’s palm 246 (1) ปรับแต่งวิหารการสงคราม
สมบัติพื้นที่มิติเป็นของวิเศษชนิดหนึ่ง
พูดให้ชัดเจน อาวุธจิตวิญญาณอย่างเช่นธนูเก้าประกายและคมมีดเทพเจ้าปีศาจที่ซูฉินถือครองนั้นก็เป็นของวิเศษเป็นของวิเศษที่ใช้สําหรับการโจมตีไม่ใช่ของวิเศษที่มีพลังพื้นที่มิติ
ในการสร้างสมบัติพื้นที่มิตินั้น นอกจากจะต้องการผลึกหินมิติแล้วสิ่งที่จําเป็นยิ่งกว่าก็คือผู้สร้างจําเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับ พื้นที่มิติไม่เช่นนั้นต่อให้มีผลึกหินมิติมากเพียงไร ก็ไม่สามารถหลอมสร้างสมบัติพื้นที่มิติออกมาได้เพราะไม่มีทางที่จะเปิดพื้นที่ด้านในผลึกหินมิติได้เลย
แม้แต่ในช่วงเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ก็ยังไม่มีการค้นพบสมบัติพื้นที่มิติใด อย่างน้อยๆ ซูฉินก็ไม่พบในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งเอาไว้ เดิมที่เขาเองก็มีสมบัติพื้นที่มิติ แต่ของวิเศษนั้นได้รับความเสียหายเมื่อตอนที่เกิดสงครามกับโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทพเจ้าปีศาจกวาดสายตาจ้องมายังโลกมนุษย์ ไม่ต้องกล่าวถึงสมบัติพื้นที่มิติแม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกโจมตีจนสาหัส
และวิหารการสงครามแห่งนี้ควรจะนับเป็นสุดยอดสมบัติพื้นที่มิติแค่พื้นที่ที่ซูฉินเดินผ่านมาก็มีขนาดหลายสิบลี้แล้วถ้านับรวมพื้นที่ทั้งหมดภายในวิหารการสงคราม เกรงว่าคงมีรัศมีมากกว่าร้อยลี้เหมือนกับโลกขนาดย่อมๆอีกใบ
รู้หรือไม่ว่าสมบัติพื้นที่มิติของจ้าวทะเลบูรพาก็ใหญ่กว่าโพรงถ้ําโพรงหนึ่งไม่มากนัก และมักจะใช้สําหรับเก็บสมบัติที่สําคัญที่สุดเอาไว้จะมีขนาดกว้างใหญ่เหมือนอย่างวิหารการสงครามได้อย่างไร?
“สมบัติพื้นที่มิตินั้นช่างน่าเหลือเชื่อ แม้แต่สิ่งมีชีวิตก็ยังบรรจุใส่เข้าไปภายในได้ แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่โลกแห่งความจริงอยู่ดีไม่ว่ามันจะเต็มไปด้วยปราณฉีหรือจิตใจแห่งฟ้าดินมากมายเท่าไหร่ภายในนั้นแต่ก็ไม่มีทางรับรู้ได้ถึงวิถีแห่งฟ้าดินที่แท้จริงได้”
ซูฉันคิดอยู่กับตนเอง
ในการฝึกฝนวิทยายุทธที่อยู่ต่ํากว่าขอบเขตตํานานยุทธอาจจะไม่จําเป็นต้องสนใจวิถีแห่งฟ้าดิน แต่หากก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเรียบร้อยแล้วมันจําเป็นต้องทําความเข้าใจกับโลกหล้านี้ให้ชัดแจ้งแท้จริง
การเข้าใจโลกหล้าให้แจ่มชัด เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนอย่างยิ่งแม้ว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างจ้าวทะเลบูรพาก็กล่าวบอกมันออกมาให้เป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง จอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธหากต้องการทะลวงขั้นขึ้นไป จําเป็นจะต้องสัมผัสได้ถึงวิถีอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดิน
พูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ หากตํานานยุทธติดอยู่ภายในวิหารการสงคราม แม้ว่าเขาจะมีความสามารถมากเพียงไร เขาก็ไม่สามารถจะตัดผ่านคอขวดไปได้เพราะไม่มีเงื่อนไขที่เอื้ออํานวยให้ทะลวงผ่านขึ้น
ในอีกแง่ สภาพแวดล้อมภายในสมบัติพื้นที่มิตินั้นน่ากลัวยิ่งกว่าช่วงเงียบงันของกระแสปราณฉีเสียอีก ช่วงที่กระแสปราณเงียบงันมีเพียงพลังปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินเท่านั้นที่ลดลงแต่ก็ไม่ได้หายไปส่วนวิถีแห่งฟ้าดินยังคงมีอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แปลง
ความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามนั้นด้อยกว่ายุคที่มันรุ่งเรืองอย่างมาก นอกเหนือจากการเสื่อมถอยของพลังชีวิตและเลือดเนื้อของมันเองแล้ว อีกสิ่งเป็นเพราะวิหารการสงครามจํากัดหนทางที่มังกรปีศาจจะพัฒนาต่อจนหมดสิ้น
“ถ้ายังมีสมบัติพื้นที่มิติเช่นนี้อยู่ นิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด ก็จะต้องมีสมบัติพื้นที่มิติถูก ส่งต่อมาด้วยและมันอาจจะมีไพ่ลับที่มาจากช่วงกระแสปราณฉีเฟื่องฟูอยู่ก็ได้ ”
ความคิดของซูฉินผันผวน
ในตอนแรกที่เขาได้รู้มาจากนักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีว่าในต่างดินแดนนั้นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดหาได้ยากมากและมีเพียงบรรพชนผู้หลับใหลเท่านั้นที่ไปถึง
แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าที่นิกายใหญ่เหล่านี้สามารถอยู่รอดต่อมาได้ถึงทุกวันนี้เป็นเพราะมรดกตกทอดที่อยู่เบื้องหลัง
“มันก็แค่ ข้าต้องปรับแต่งวิหารการสงครามแห่งนี้ภายในหนึ่งเดือน…
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากการปรากฏขึ้นของวิหารการสงคราม มันจะอยู่ต่อไปได้อีกหนึ่งเดือน และหลังจากหนึ่งเดือนผ่านพ้น วิหารการสงครามจะหวนคืนสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่าอีกครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซูฉินต้องปรับแต่งวิหารการสงครามให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน มิ ฉะนั้น หากทําไม่สําเร็จภายในหนึ่งเดือน เกรงว่าเขาจะต้องรอวิหารการสงครามปรากฏขึ้นอีกครั้งจึงจะปรับแต่งต่อไปได้…
ตามกําหนดการที่วิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นในครั้งต่อไปอย่างน้อยก็อีกหนึ่งพันปีต่อจากนี้ และด้วยอัตราการเติบโตของซูฉินหลังจากผ่านไปพันปีก็คาดว่าคงจะกลายเป็นบรรพบุรุษเซียนไปเสียแล้วยังจะต้องการสมบัติพื้นที่มิติไปเพื่ออะไร?
“ตามข้อความที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งเอาไว้ มีสอนวิธีการปรับแต่งวิหารการสงครามเอาไว้ด้วยกันสองวิธี วิธีแรกคือขัดเกลาที่ละนิดด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และวิธีที่สองคือควบคุมจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามด้วยอาณาเขต…”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณเทียมนั้นไม่ใช้สิ่งมีชีวิต มันเป็นเพียงจิตวิญญาณของอาวุธหรืออุปกรณ์วิเศษ มีเพียงสัญชาตญาณ ตัวอย่างเช่นธนูเก้าประกายของซูฉิน หรือแม้แต่คมมีดเทพเจ้าปีศาจก็มีจิตวิญญาณฝังอยู่ แต่อาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้ได้รับมาจากการที่ซูฉันลงชื่อเข้าใช้ จิตวิญญาณเทียมของอาวุธได้ถูกควบคุมไว้โดยซูฉิน เรียบร้อยไม่มีกระด้างกระเดื่องเลยแม้แต่น้อย
แต่หากผู้อื่นต้องการจะควบคุมคมอาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้แค่กล่าวถึงคมมีดเทพเจ้าปีศาจอย่างเดียวก็สามารถครอบงําตํานานยุทธส่วนใหญ่ได้แล้ว
แน่นอน
จิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามไม่ได้ชั่วร้ายเท่าคมมีดเทพเจ้าปีศาจทั้งยังถูกระยะเวลาอันยาวนานกัดเซาะเกาะกินจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามจึงอ่อนแออย่างมาก
แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสําหรับซูฉินที่จะค้นหาจิตวิญญาณเทียมโดยมีเวลาจํากัดเพียงแค่หนึ่งเดือน ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธต่อให้เป็นเซียนเทพปฐพี มันก็ยังยากเย็นประดุจปืนปายสู่ท้องฟ้า
“วิหารการสงครามอย่างน้อยก็มีพื้นที่เป็นร้อยลี้ หากต้องการขัดเกลาด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิบปีก็อาจจะยังไม่แล้วเสร็จ…”
ใบหน้าของซูฉินดูไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย
การขัดเกลาด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เพียงห่อหุ้มมันเอาไว้แต่ต้องทะลวงลึกไปถึงภายในวิหารการสงครามซึ่งใช้เวลานานจนเกินไป
“ตามที่ตราประทับของโหวหยานหรือเจ้าของวิหารการสงครามได้บอกเอาไว้ว่าจะมอบวิหารการสงครามให้แก่ข้าอันที่จริงก็คงจะฝืนใจอยู่ไม่น้อย…”
สีหน้าของซูฉินแปลกไป
หากเจ้าของวิหารการสงครามเต็มใจที่จะส่งมอบวิหารการสงครามมาให้ ก็ควรจะนําจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม มามอบให้แต่โดยดีแทนที่จะปล่อยให้ซูฉันค้นหาจิตวิญญาณเทียมด้วยตัวเองเช่นนี้
“ถ้าเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นหาจิตวิญญาณเทียมให้พบภายในหนึ่งเดือน แต่ข้านั้นต่างออกไป”
ซูฉันคิด ใบหน้าของเขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา
เขามีทั้งดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดที่สามารถตรวจจับพลังใดๆ ในโลกหล้านี้ หากเขาตั้งใจก็ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ปิดบังต่อหน้าเขาได้
ส่วนจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม ตราบใดที่มันยังคงอยู่ภายในวิหารก็ไม่สามารถหลบลี้หนีการตรวจจับของซูฉินไปได้
“มาเริ่มเลยเถอะ”
ซูฉินไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าเขาจะมั่นใจแต่ก็ไม่ควรประมาท
หวิ่ง!!!
กระแสผันผวนที่ไม่อาจอธิบายได้กระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทางโดยมีซูฉินอยู่เป็นศูนย์กลาง
ในเวลาเดียวกัน ซูฉินก็เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ และใช้วิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเพื่อมองไปยังทุกซอกทุกมุมภายในวิหารการสงครามอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาต่อมา นอกจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆวันแล้วซูฉินก็ใช้เวลาทั้งหมดไปเพื่อค้นหาจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม
แม้ว่าวิหารการสงครามจะมีพลังปราณและจิตใจแห่งฟ้าดินเหลือเฟือเผลอๆ มากเสียยิ่งกว่าเกาะหยิงโจว แต่งานเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการปรับแต่งวิหารการสงคราม ตราบใดที่ปรับแต่งวิหา รการสงครามสําเร็จทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตกเป็นของซูฉิน เหตุไฉนจะ ต้องสนใจจิตใจแห่งฟ้าดินเพียงอย่างเดียวเล่า?
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เจ็ดวันผ่านไปภายในพริบตา
ในช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆ ซูฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่าในที่สุดข้าก็เจอตัวเจ้าแล้ว”
ซูฉินเหยียดมือขวาออกมาคว้าจับไปยังอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าทันใดนั้นก็มีรัศมีบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของซูฉิน